ที่มา มติชน
ในประเทศ
ภาย หลังกรณีร้อนจากผลการสอบสวนของ "คณะอนุกรรมการเฉพาะเรื่องตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีการส่งอีเมลของนักการเมืองระบุการให้เงิน และผลประโยชน์แก่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน" ที่ออกมาระบุว่าการนำเสนอข่าวสารและบทความในช่วงหาเสียงเลือกตั้งของหนังสือ พิมพ์ "ข่าวสด-มติชน" นั้น น่าจะมีความเอนเอียงในการก่อให้เกิดประโยชน์แก่พรรคเพื่อไทยอย่างเป็นระบบ
ก็มีเสียงสะท้อนจากเพื่อนร่วมวิชาชีพสื่อมวลชนหลายรายเกิดขึ้นตามมา โดยเสียงแรกๆ ที่ดังขึ้น นั้นมีที่มาจากฝั่งเนชั่น
เมื่อ "กนก รัตน์วงศ์สกุล" ผู้อำนวยการส่วนงานผู้ประกาศข่าว และ "นิธินันท์ ยอแสงรัตน์" บรรณาธิการอาวุโสฝ่ายบริหาร บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้แสดงความเห็นต่อกรณีดังกล่าวในช่วงเวลาใกล้ๆ กัน
แต่ด้วยมุมมองที่ผิดแผกจากกันอย่างสิ้นเชิง ดังนี้
กนกได้เขียนบันทึกลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว 2 ชิ้นติดต่อกัน เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม
โดยบันทึกชิ้นแรกมีชื่อว่า "ชาตินี้อย่าหวังจะได้เหรียญสิบจากกู" ซึ่งระบุว่า
"ผล การตรวจสอบอีเมลปริศนาจาก นายวิม รุ่งวัฒนะจินดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ไม่สงสัยเลยว่าทำไมพรรคประชาธิปัตย์ถึงพ่ายแพ้หมดรูป เพราะพรรคนี้ต้องสู้กับนักธุรกิจการเมืองที่รวยที่สุด มีคดีฉ้อโกงมากที่สุด สู้กับกฎหมู่ สู้กับการปล่อยข่าว-ปลุกระดม และสู้กับ ข่าวสด มติชน ไทยรัฐ ชาตินี้ผมจะไม่เสียตังค์ซื้อ น.ส.พ. ทั้ง 3 ฉบับนี้ แม้ไปเจอกล้วยแขกที่ขายตามสี่แยก ถ้าเห็นถุงใส่กล้วยแขกเป็น น.ส.พ. 3 หัวนี้ ผมก็จะไม่ซื้อกล้วยแขกเจ้านั้นด้วย"
ขณะที่บันทึกชิ้นต่อมามี ชื่อว่า "เสียชาติเกิดเป็นนักหนังสือพิมพ์" ซึ่งนักอ่านข่าวชื่อดัง เขียนชื่นชมผู้สื่อข่าวจากสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่ง ที่ตั้งคำถามหลายข้อกับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จนนายกรัฐมนตรีต้องเดินหนี รวมทั้งสอบถามชื่อและสังกัดของนักข่าวรายนั้นจากคณะติดตามนายกฯ
ก่อนจะเปรียบเปรยว่า
"ยัง มีน้องๆ นักข่าวอีกหลายคน ที่ถามอย่างมีเกียรติภูมิ มีศักดิ์ศรี มีสำนึกแยกแยะดี-เลวได้ ไม่เหมือนไอ้นักหนังสือพิมพ์หัวหงอกที่ทรยศวิชาชีพ อุตส่าห์ก่อตั้งหนังสือพิมพ์คุณภาพมา 30 กว่าปี ต้องมาเสียผู้เสียคน เดี๋ยวนี้เห็นหนังสือพิมพ์หัวนี้วางอยู่ จะถ่มถุย...ยังเสียดายน้ำลาย"
ส่วนนิธินันท์ได้เขียนข้อความต่อเนื่องกันหลายสิบประเด็นลงในสถานะเฟซบุ๊กของตนเอง ซึ่งมีรายละเอียดส่วนหนึ่งดังนี้
"เห็น ด้วยว่าผลสอบมีปัญหา อ่านแล้วคลื่นไส้มาก สรุปว่าถ้าเป็น "พวกเรา" ทำอะไรก็ถูกหมด ดีหมด ถ้าทำท่าว่าไม่ใช่พวกเรา พวกมันต้องทุจริตแน่ๆ สื่อเชียร์พรรคประชาธิปัตย์ เชียร์กลุ่มอภิสิทธิ์ชนออกนอกหน้า หรือด่าพรรคเพื่อไทยและชาวบ้านที่ไม่เอาด้วยกับอภิสิทธิ์ชนอย่างสาดเสียเท เสีย ใส่ร้ายป้ายสีเขาชนิดไม่มีความเที่ยงธรรมแม้แต่น้อยก็ได้ ไม่เป็นไร ไม่มีปัญหา ถือเป็นสื่อดีวิเศษ แต่สื่อที่ทำต่างจากนี้ มีปัญหา พวกมันมีแนวโน้มโกง เลว..."
"สื่อทุกวันนี้ก็เหมือนกันหมด ไอ้เรื่องประเภทสื่อขายตัว รับเงิน ฯลฯ งี่เง่าเหล่านั้น มันเป็นคำใหญ่โตเอาไว้หลอกด่า เอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น ทุกสื่อทำมาหากินแบบธุรกิจ และอาจ "เลือกข้าง" แนวคิด อุดมคติทางการเมือง สิ่งที่จะพิสูจน์ว่าสื่อทำหน้าที่สื่อหรือไม่แม้คุณจะเลือกข้างก็คือ คุณรายงานข่าวรอบด้านอย่างเที่ยงธรรมเพียงใด หรือคุณระงับใจคุณไม่ให้อคติจนกลายเป็นไส่ร้ายป้ายสี สร้างข่าวขึ้นมาเองเพื่อให้ร้ายฝ่ายตรงข้ามอย่างไรมากกว่า ไอ้ประเภทมาชี้หน้าหาเรื่องกันว่า คนนั้นคนนี้เป็นสื่อเลวเพราะทักษิณ อันนี้ทุเรศ เพราะคนที่เชียร์ฝ่ายตรงข้ามทักษิณอย่างออกนอกหน้าก็มีเยอะ ทำไมไม่ด่ากันบ้างละคะ นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างของสองมาตรฐานในสังคมไทยที่ไร้หลักการ"
"เคสนาย วิม นึกๆ ก็ประหลาดใจนะ เขียนเมลถึงหัวหน้าตัวเอง "สั่งการ" ให้ไปบอกทักษิณอย่างนั้นอย่างนี้ มันไม่เป็น "ธรรมชาติ" มากๆ ใครสั่งทักษิณได้หรือ ทักษิณคนที่ภาพลักษณ์ชัดเจนว่า ไม่รู้จักนิ่ง ไม่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนนี่นะ สั่งได้ แถมเงินที่ว่าจ่าย "ซื้อนักข่าว" รายละสองหมื่นนี่ก็ "ตลกมาก" และอ่านในผลสอบก็ชัดๆ ว่า แต่ละคนที่ถูกกล่าวหานั้น ไม่ได้รับผิดชอบข่าวประจำวันของหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นๆ เลย มองดีๆ สิคะ มันเป็นรายการ "สร้างเรื่อง" "หาเรื่อง" ชัดๆ หาเรื่องและสร้างเรื่องบนความอ่อนไหวเชิงดรามาของคนไทยเรื่อง "อุดมคติและจริยธรรมอันยิ่งใหญ่ของคนดี""
"ที่กล่าวมานี้ไม่ ได้หมายความว่า สื่อ "รับเงิน-ขายตัว" เป็นเรื่องธรรมดาตามที่ว่ากันมาเป็น cliche (ความคิดที่คร่ำครึ/ข้อกล่าวอ้างซ้ำซาก) แต่หมายความว่า ข้อกล่าวหาอย่างนั้น เป็นเรื่องตลกไปเสียแล้ว สื่อก็ทำงานรับเงินเดือน บริษัทสื่อก็ทำธุรกิจ การทำงานสื่อก็เป็นองค์กร เป็นระบบกองบรรณาธิการ ดังนั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องประเภท นักการเมืองไปเรียกคนทำสื่อมาสักคน จ่ายเงินแล้วบอกว่า เขียนเชียร์ฉันหน่อยนะ เพราะรูปแบบอย่างนั้นเป็นเรื่องตื้นเกินไป
"ข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่ คือบริษัทสื่อรับเงินโฆษณา ฝ่ายธุรกิจซื้อพื้นที่สื่อลงโฆษณาสินค้าของตน ธุรกิจสื่อก็อยู่รอด และเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องรับซอง เป็นเรื่องธุรกิจ สมัยก่อน ฝ่ายโฆษณาไม่บอกฝ่ายบรรณาธิการว่าช่วยทำข่าวเรื่องนั้นเรื่องนี้ แยกกันเด็ดขาด แต่สมัยนี้ บางทีฝ่ายโฆษณาก็มาบอกฝ่ายข่าวว่าทำเรื่องนั้นนี้ให้บ้าง เส้นแบ่งข่าวกับธุรกิจมันก็ค่อยๆ บางลง
"พอถึงยุคการเมืองเข้ม ก็มีอีก สมัยที่รัฐบาลทักษิณยังไม่ถูกรัฐประหาร สื่อบางกลุ่มก็ไปประชุมร่วมกับฝ่ายจะล้มรัฐบาล วางแผนกันเสร็จสรรพ จะทำทุกวิธีล้มให้ได้ ฝ่ายธุรกิจที่เกลียดรัฐบาลก็สนับสนุนซื้อพื้นที่สื่อนั้น สื่อนั้นก็ได้โฆษณาจากฝ่ายธุรกิจที่เป็นพวกเดียวกัน พอรัฐบาลใหม่มา ก็มีงบฯ จากกระทรวงต่างๆ ให้สื่อมาจัดกิจกรรมหาเงินที่เรียกว่าจัด event อีก ถ้าไม่เกี่ยวกับทักษิณ ทำได้ ไม่มีผิดเลย ไม่มีการกล่าวหาใดๆ เลย เพราะบอกกันว่า นี่แหละธุรกิจ
"แต่พอจะหาเรื่องกัน ก็บอก นี่พวกทักษิณนี่ บริษัททักษิณ พรรคทักษิณมาซื้อพื้นที่สื่อนี้เยอะ มันต้องเข้าข้างทักษิณแน่เลย...อ้าว แล้วพวกที่ได้จากอีกฝ่ายละคะ พวกที่ร่วมประชุมวางแผนล้มรัฐบาลทักษิณล่ะ???
"สื่อที่รับโฆษณาจาก ฝ่ายที่เกลียดทักษิณก็บอกว่า โอ๊ย ฉันเที่ยงธรรม ฉันไม่เชียร์ประชาธิปัตย์ออกนอกหน้าหรอก ซึ่งเขาก็อาจจะพยายามเที่ยงธรรมจริง แต่ถ้าอย่างนั้น ทำไมไม่คิดละคะว่า สื่อที่รับโฆษณาจากฝ่ายชอบทักษิณเขาก็พูดได้เหมือนกันว่าเขาเที่ยงธรรม
"เห็น ไหมว่า ความเกลียดทักษิณในสังคมไทยนี้มันทำให้คนไทยโง่และบ้ากันหมด ไร้หลักการโดยสิ้นเชิง แถมยังงี่เง่าพอที่จะยกหลักการหรูๆ คำพูดสวยๆ ใหญ่โตต่างๆ มาอ้างว่าตนเป็นคนดีกว่า มีจริยธรรมกว่า ไปข่มทับคนอื่นแบบไร้หลักการด้วย
"แน่นอนว่าคนก็อ้าง "อุดมการณ์" กันทั้งนั้น แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ นะ ควรจะตาสว่างฉลาดเฉลียว มองให้เห็นความแตกต่างระหว่างอุดมการณ์แบบอนุรักษนิยม ยอมจำนนให้อภิสิทธิ์ชนซึ่งอ้างตัวเป็นคนดีควบคุมดูแลประเทศ กับอุดมการณ์เสรีนิยมประชาธิปไตย ที่เชื่อมั่นและเคารพในเสรีภาพของปัจเจก เคารพในสิทธิเสียงของสามัญชน คนเกิดมามีเสรีภาพ เราก็มีสิทธิเลือกอุดมการณ์ของเรา มันเรื่องอะไรเอาสื่อไปมอมเมาผู้คนให้ยอมจำนน และสื่อที่อ้างอุดมการณ์เหล่านั้นก็ได้เงินสนับสนุนจากกลุ่มอนุรักษนิยม อย่างนี้จะถือว่า ขายตัวให้อนุรักษนิยมไหม หรือถือว่ามีอุดมการณ์ร่วมกัน"
"ถ้าอย่างนั้น มันเรื่องอะไรไปชี้หน้ากล่าวหาคนอื่นที่มีอุดมการณ์แตกต่างว่าขายตัว"
"ความ คิด cliche หนึ่งที่สื่อไทยใส่หัวคนในสังคมมาตลอดเพราะคนทำสื่อจำนวนหนึ่งก็ดัน "โง่" เชื่ออย่างนั้นจริงจังก็คือ คนซื้อได้ คนไม่มีหัวคิดเป็นของตัวเอง ใครคิดอะไรไม่เหมือนเรา ไม่คิดถึงสถาบันชาติในแนวเดียวกับเรา แปลว่า มัน "ขายตัว"...คิดอัตโนมัติกันแบบนั้น จึงไม่มีทางมองเห็นภาพรวมเลย ไม่เห็นประเด็นปัญหาจริงๆ เลย เพราะมันฝังหัวอยู่แค่นั้น ในกรอบจำกัดแค่นั้น..."
"แต่ตอนนี้ที่เราคิดว่าตลกมาก คือ วิธีและแนวคิดสอบสวนเรื่องสื่อรับสินบนจากพรรคการเมืองของสภาการหนังสือ พิมพ์ ซึ่งกำลังโกโซบิ๊กไปใหญ่โต และมีคนทำสื่อกระแสหลักจำนวนมากแสดงท่าทีว่าเราต้องเป็น "เด็กดี" เชื่อฟังสภา และคณะกรรมการสอบสวนของสภาซึ่งล้วนแต่มี "คุณวุฒิสูงส่ง"...เอิ่ม...นะ...ต้องเชื่อฟัง ต้องเคารพ แม้ว่าวิธีสอบสวนจะอคติขนาดนั้นน่ะนะ"