WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Friday, August 26, 2011

เจาะใจ"ลีลาวดี"จากคนวงการบันเทิงสู่นักการเมืองไฟแรง หวังเดินเกมแนว"สมัคร"ฝ่าความขัดแย้ง"เหลือง-แดง"

ที่มา มติชน













รับชมข่าว VDO ชมคลิป

ผ่านช่วงการเลือกตั้งมาไม่เท่าไหร่ เผลอแป๊บเดียว ทุกคนก็ได้เห็นโฉมหน้านายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีไปแล้ว


รวมถึงส.ส.ที่เข้ามาทำงานในพื้นที่ โดยเฉพาะการที่ได้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้หญิง ซึ่งถือว่าเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ทางการเมืองไทย

โดย ก่อนหน้านี้โหราศาสตร์หรือหมอดู ก็ได้ทำนายว่า "ผู้หญิง" จะได้รับชัยชนะจากการแข่งขันอีกด้วย แม้ไม่ได้ฟันธงว่าด้วยอิทธิพลของวันเดือนปีเกิดหรือความสามารถในการทำงาน

นอกจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แล้ว ก็ยังมีอีกหลายๆ คน ที่เข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองในฐานะผู้หญิง และหนึ่งในนั้นก็คือ ดร.ลีลาวดี วัชโรบล ส.ส.พรรคเพื่อไทย เขต 5 (ดุสิต-ราชเทวี) หลังชนะ น.ส.จิตภัสร์ จากพรรคประชาธิปัตย์ แบบเฉียดฉิว

ใครจะไปเชื่อล่ะว่า จากอดีตรองนางสาวไทย เมื่อปี 2528 และใช้ชีวิตอยู่ในวงการบันเทิงมาก่อน จะหันเหชีวิตเข้าสู่วงการการเมืองได้!!!


ดร.ลีลาวดี วัชโรบล หรือเรียกสั้นๆ ว่า "ลี" ให้สัมภาษณ์กับ "มติชนออนไลน์" ถึงบทบาททางการเมืองและก้าวสู่เส้นทางการเมือง ว่า การเข้าสู่วงการการเมืองก่อนหน้านี้ไม่ง่ายเลย เพราะทำงานตรงนี้มา 10 ปีแล้ว และเคยลงสมัครครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ.2544 ที่เขตจตุจักร ครั้งที่ 2 ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย. พ.ศ. 2549 ได้ลงรับสมัครเลือกตั้งป็น ส.ส. กรุงเทพมหานคร เขต 12 ในสังกัดพรรคประชากรไทยอีก แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง ต่อมาครั้งก่อนหน้านี้ ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. พ.ศ. 2550 ได้ลงสมัครเลือกตั้งอีกครั้งในสังกัดพรรคพลังประชาชน เขต 1 กรุงเทพฯ แต่ก็ไม่ได้รับเลือกตั้งอีกเช่นกัน

ลีลาวดี จบการศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาจากโรงเรียนจิตรลดา ปริญญาตรี คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปริญญาโท คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และปริญญาเอก ภาควิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

จากเส้นทางดาราสู่นักการเมือง

คุณ ลีเล่าย้อนว่า จากวงการบันเทิงก่อนหน้านี้ ตนได้ใช้ชีวิตเต็มที่ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติของคนทั่วไป ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ พอออกจากวงการบันเทิง ก็มาเรียนรู้ในเรื่องของการปฏิบัติธรรม ใช้ธรรมะเลิกอบายมุข พอประสบความสำเร็จ ก็ถูกเชิญไปเป็นวิทยากร บรรยายให้คนอื่นฟัง พอทำได้ระยะหนึ่ง ก็มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง คือนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี มาบอกถึงการทำงานตรงนี้ โดยท่านบอกว่า วันหนึ่งเราก็จะหยุด เพราะคนจะจำไม่ได้ว่าใครคือลีลาวดี เล่นหนังเรื่องอะไร เกิดไม่ทัน คำพูดต่อมาก็คือว่า ทำไมไม่มาทำงานทางการเมือง ซึ่ง ตอนนั้น ตนมองภาพการเมืองว่าเป็นสีดำ เคยจำได้ว่าไปเลือกตั้งอยู่ครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ไม่เคยไปเลือกตั้งอีกเลย มองภาพการเมืองแล้วไม่อยากไปยุ่งเกี่ยว มองว่าเป็นเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์ของกลุ่มคนที่ไม่อยากให้ความสำคัญ

ภาพ ที่เห็นใหม่ก็คือ การเมืองไม่ได้เป็นอย่างนั้น เป็นเรื่องของคนเก่ง ทำงานด้านการประสานงาน เมื่อเจอคนยากคนจน สิ่งที่ทำได้ไม่ใช่แค่เอาเงินในกระเป๋าที่เรามีไปให้ ซึ่งเป็นเพียงแค่เป็นปัจจัยเล็กๆ แต่ถ้าทำงานการเมือง เราได้ไปช่วยอย่างแท้จริง สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด พอเห็นภาพแบบนี้แล้วก็น่าสนใจ เมื่อเราทำงานกับเด็ก กับชุมชนแล้ว ก็ได้เห็นปัญหาหลายๆ อย่าง ช่วงนั้นไฟแรงด้วย อีกทั้งบรรยากาศที่เราได้ไปเจอข้างหน้าไม่รู้เป็นอย่างไร เราก็คิดว่าสนุก

หลัง จากมีโอกาส ในขณะนั้นคือพรรคประชากรไทย โดยคุณสมัครชนะแบบถล่มทลาย จึงคิดเอาเอาไอเดียเรื่องเยาวชน ที่มองว่าเด็กเมื่อว่างมากก็ฟุ้งซ่าน ฉะนั้นจึงคิดกิจกรรม ที่สามารถสร้างรายได้ เพื่อเรียกความสนใจ ก็เลยคุยกับคุณสมัคร ว่าทำโครงการดรุณเศรษฐี ทำให้เด็กมีรายได้ ทำเวลาว่างให้เกิดประโยชน์ จึงดำเนินโครงการดังกล่าวนั้น และเสมือนเป็นเริ่มทำงานการเมืองทีละนิดด้วย

เริ่ม ต้นการเมืองจริงๆ แล้ว ถือว่ามือใหม่มาก ทำอะไรไม่เป็น ยิ่งอยู่ในพรรคเล็ก อยากมากก็แค่ลงพื้นที่ เมื่อชินกับการลงพื้นที่ ก็ได้เรียนรู้ เห็นการปราศรัย พบปะพูดคุย เจอปัญหา แล้วเอามาแก้ไข ครั้งเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเมื่อปีพ.ศ.2549 ตนจึงได้รับโอากาสอีกครั้ง โดยการย้ายตามคุณสมัคร มาอยู่พรรคพลังประชาชน เนื่องจากเป็นเขตใหญ่เขตรวม ในพื้นที่ดุสิตไม่แพ้ แต่แพ้เขตชั้นใน ทำให้คะแนนรวมแพ้ตาม คุณสมัครก็ให้โอกาสอีกครั้ง ไปเป็นเลขารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์) ในรัฐบาลของคุณสมัคร ช่วงนั้นจึงถือว่า เป็นโอกาสในการเรียนรู้งานการเมือง มีโอกาสเข้าร่วมประชุม ติดตามต่างๆ มากมาย อีกทั้งได้เห็นปัญหาการศึกษา


การทำงานอย่างต่อเนื่อง-ทีมงานเข้มแข็ง คือชัยชนะครั้งนี้

ชัย ชนะครั้งนี้ ต้องมองเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกก็คือ ตนและทีมงาน ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า ในพื้นที่เขต 5 นั้นมี ส.ก. และ ส.ข. เข้มแข็งมาก แล้วเป็นทีมงานที่อยู่ในพื้นที่มาอย่างยาวนาน ในการช่วยแก้ปัญหากับประชาชน ทำให้ประชาชนรัก เพราะลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง หรือเรียกว่าตลอด 4 ปีที่ผ่านไม่ได้ทิ้งพื้นที่เลย และมีผลงานที่ประชาชนยอมรับ ส่วนเขตราชเทวียอมรับว่าใหม่มาก ต้องชื่นชมว่า บุคคลที่เคยเสนอตัวในนามของพรรคได้ทำงานอย่างต่อเนื่อง บวกกับนโยบายของพรรคด้วย ที่สามารถตอบโจทย์กับพี่น้องประชาชนได้

สิ่ง หนึ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ ขณะลงพื้นที่เราสามารถตอบและอธิบายความได้ว่า ทิศทางและนโยบายของพรรคเพื่อไทยจะไปในทิศทางไหน เมื่อเขาเห็นและเชื่อ เขาก็เลือกเรา ให้เราไปทำหน้าที่แทนเขา เอาปัญหาในพื้นที่ไปแก้ไข นี่จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราได้คะแนน โดยเฉพาะในเขตที่เป็นน้องใหม่อย่างราชเทวี ขณะเดียวกันเขตดุสิต ก็ทำให้เรามีฐานคะแนนที่แน่นขึ้นจากการหาเสียงของเรา

ขณะ ที่ ครอบครัวมีส่วนสนับสนุนอย่างมาก เพราะงานการเมืองต้องยอมรับว่าใช้ปัจจัยสูง เราอาสาทำงานการเมือง ไม่มีผลประโยชน์ตามมา ไม่มีบริษัทที่มีรายได้เข้ามา หรือเป็นจุดตั้งต้นในการทำงานทางการเมืองของตน ก็ต้องบริหารปัจจัยเยอะมาก แต่โชคดีที่มีคุณแม่ให้สนับสนุน เป็นอดีตนักธุรกิจ เคยทำธุรกิจมาก่อน ก็พอมีสมบัติเก่าอยู่บ้างคอยเป็นทุนให้ลูกสาวได้ทำงาน

ทั้ง นี้ ในการทำงานในพื้นที่ เราต้องบริหารจัดการแบบไม่ฟุ่มเฟือยมาก ไม่ใช้จ่ายมาก เราก็สามารถอยู่ได้ บวกกับปัญหาในพื้นที่เราไม่จำเป็นต้องใช้เงินอย่างเดียว ใช้การประสานงานเป็นหลัก เอางบประมาณต่างๆ เข้าไปบริหารจัดการ ขณะเดียวกัน การทำงานนั้นเรารับนโยบายจากพรรค ผ่านการประชุมภาคมากกว่า เอาข้อมูลผู้ใหญ่ให้คำแนะนำในการทำพื้นที่มาเล่าในวงประชุม แล้วเอาข้อแนะนำต่างๆ ไปปฏิบัติ


"สมัคร" คือนักการเมืองตัวอย่าง

จริงๆ การทำงานการเมือง เราดูทุกคนเป็นตัวอย่าง แล้วเอาข้อดีของทุกคนมาใช้ และเอาจุดแข็งมาเป็นแนวทางในการปฏิบัติ เพราะอย่างที่เรียนตอนต้นว่า ชอบคุณสมัคร ในฐานะที่เป็นคน "มือไม่มีแผล" มีความกล้า และคนดีๆ ก็มีเยอะ แต่คนดีแล้วกล้าที่จะออกมายืนหยัดในสิ่งที่ตนเองเชื่อมั่นมีน้อย บวกกับกระแสสังคมที่ไหลแรง ทำให้คนที่กล้ายืนหยัดในสิ่งที่ตนเองคิดว่าดีนั้นหายากในสังคม ส่วนมากก็มองว่าอย่าไปยุ่งกับเขา กลัวซะมากกว่า ซึ่งทำให้สังคมเสื่อม

ส่วน แง่มุมในการทำงานทางการเมืองนั้น ถ้าเรายึดโยงปัญหาของประชาชน เราต้องกล้า ตนจึงยึดคุณสมัครเป็นตัวแบบในเรื่องของความกล้า ส่วนในเรื่องของความเก่ง ในการทำงานในพื้นที่มีหลายคน โดยเฉพาะ ส.ก. และ ส.ข. ซึ่งเป็นทีมงานของตน ยอมรับว่าเก่งในพื้นที่ เพราะการเรียนรู้อยู่ที่ประชาชน อย่างหลายคนในทีมงานที่เจอปัญหา ก็ไม่ได้ปล่อยให้ผ่านไป เจอแล้วแก้เลย เราไม่มีเลยที่รับปากแล้วจะไม่ทำ ส่วนใหญ่รับปากแล้วหาคำตอบในวันนั้น หรือใช้เวลาไม่นาน ตรงนี้จึงเป็นจุดแข็งของทีมงาน เลยเป็นจุดแข็งของตนด้วย ตรงนี้มากกว่าที่ประชาชนต้องการ บางทีอาจจะไม่สามารถแก้ไขได้ ก็ไปบอกว่าเพราะอะไร เขาจึงจะเข้าใจ เพราะความรู้ที่ไม่เท่ากัน อาจทำให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยได้ ทั้งที่เราต้องรับผิดชอบ

ตัวเราต้องมองข้ามความขัดแย้งของสังคมให้ได้ก่อน

เมื่อถามว่า การเข้ามาทำงานในช่วงที่มีความขัดแย้งทางการเมืองสูงนั้น มองอย่างไร ตรง นี้ความขัดแย้งทำให้ภาพของสังคมแตกแยก แต่ตนเชื่อว่า พื้นฐานจิตใจของทุกคนของคนไทยนั้นก็มีความรักแผ่นดินอยู่แล้ว รักตัวเอง รักอุดมการณ์ ถ้าเรามองข้ามความขัดแย้ง โดยที่เราไม่ต้องบอกคน แต่เราต้องมองข้ามก่อน ตนมั่นใจว่าทุกคนอยากจะหยุด และอยากจะก้าวเดินไปข้างหน้า ฉะนั้นเมื่อมีใครกระตุกขาให้เรายังวนอยู่กับที่ หรือวนอยู่กับเรื่องเก่าๆ โดยเฉพาะการที่เราไปวนอยู่ด้วยนั้น ก็แสดงว่าเราเป็นเครื่องมือของคนกลุ่มนั้น สำหรับสิ่งที่ตน ทีมงาน หรือคนในพรรคจะทำได้คือ เอาละ เราจะแก้ไขนะ เราขอโอกาสทำงาน

ฉะนั้น สิ่งที่เราจะอยู่ได้ต่อไปในอนาคต โดยไม่ต้องใช้เงินในการทำงาน นั่นก็คือผลงานในการทำงานวันนี้ เพื่อจะบอกว่าในอนาคตเราจะยืนอยู่ตรงนี้ได้หรือไม่ ทั้งนี้อนาคตทางการเมืองมันไม่แน่นอน ถ้าประชาชนเห็นเรามีประโยชน์ คนก็เลือกเราเองไม่ว่าอยู่พรรคไหนก็ตาม ขณะเดียวกันนโยบายของพรรคเราก็ต้องยึดโยงกัน เพราะเราไปรับปากกับเขาแล้วว่าเราจะทำ ถ้ารับปากแล้วไม่ทำ ส.ส.เองก็ใช้มาตราการในการขับเคลื่อนเหมือนกัน นี่จึงเป็นความรับผิดชอบ ขณะเดียวกันถ้ารับปากแล้วเราทำได้ ก็จะทำให้อนาคตทางการเมืองเราอยู่ได้ มีการตรวจสอบเป็นขั้นเป็นตอนได้ ยิ่งพรรคแข็งแรง ส.ส.ทำพื้นที่ สังคมก็จะขับเคลื่อน นั่นคือการทำงานภาคการเมือง ไม่ได้มีอำนาจอะไรที่มาทำให้ได้หรือไม่ได้

จาก เดิมที่อยู่วงการบันเทิง แล้วมาเป็นส.ส.ก็ยังงงอยู่ เพราะอยู่วงการบันเทิง รู้สึกว่าไม่ต้องสนใจใครก็ได้ รับผิดชอบงานของตัวเองเสร็จก็จบไป เรียน ใช้เงิน เมื่อย้ายการทำงานเป็นนักการเมือง ตัวเราไม่ใช่ของของเรา เมื่ออาสามาทำงานก็มองว่า หน้าที่ไม่ใช่แค่รับผิดชอบตัวเอง ครอบครัว แต่เราต้องรับผิดชอบกับคนที่เราอาสามาทำงานให้ นั่นก็คือคนในพื้นที่ มากกว่านั้น ตนถือว่าเป็นส.ส.ของคนทั่วประเทศด้วย ไม่ใช่แค่เฉพาะในพื้นที่อย่างเดียว เหมือนกับว่า เราต้องใช้ความรู้ ความสามารถของตนเองให้เป็นประโยชน์สูงสุด ถ้าเราคิดว่าได้เป็นแล้วสบาย ก็เท่ากับว่าโกงประชาชน ตนให้กำลังใจตัวเองกับสิ่งที่ยึดโยงการทำงานคือ ถ้าเราทำให้ประชาชน ก็เสมือนเป็นคุณของแผ่นดิน เป็นบุญต่อเราด้วย ก็เกิดกุศล อิ่มบุญ ก็คิดว่าทำประโยชน์ อีกอย่างก็ถือเป็นเกราะเตือนตัวเองด้วยว่า อันนี้ไม่ดีอย่าทำนะ

โอกาสของคนรุ่นใหม่ คือจุดเปลี่ยนทางการเมือง


ตนมองว่า ตอนนี้กำลังถึงจุดเปลี่ยนจริง ๆ เกิดจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่เป็นวัฎจักร เกิดแล้วดับไป จากเดิมที่รุ่นเก่ากุมอำนาจไว้ ดูเหมือนว่าส.ส.อยู่สูงกว่าประชาชน ปัจจุบันประชาชนต้องอยู่กลุ่มเดียวกับนักการเมือง หลายคนมาจากคะแนนของประชาชนจริงๆ ไม่ใช้เงิน หรืออำนาจใดๆ เชื่อว่าทำงานสายการเมืองเพื่อพื้นที่ เห็นตัวแทนที่ทำงานอิงประชาชน รู้ว่าตัวเองมาเพราะใคร เสมือนว่าเขาจะอยู่ไม่ได้ถ้าเขาไม่ทำงานเพื่อประชาชน ฉะนั้นความต้องการของคนกลุ่มใหญ่กำลังจะขับเคลื่อน นักการเมืองรุ่นใหม่ไฟแรงอยากทำงาน ขณะเดียวกันรุ่นเก่าที่ใช้แต่อำนาจ ใช้วาทกรรม กำลังจะหมดไป เราจะเห็นวาทกรรมที่ใช้แล้วได้ประโยชน์ถูกลดทอนลงไปมาก


ขณะที่เราอยากให้การเมืองเป็นอย่างไรนั้น ตอนนี้มีทีมส.ส.รุ่นใหม่ที่พร้อมจะขับเคลื่อนในทิศทางเดียวกัน เปลี่ยนพร้อมๆ กัน เห็นโอกาสใหม่ๆ เพราะการเมืองไม่ได้มืดดำเหมือนแต่ก่อนอย่างที่เราเคยเห็น กำลังเปลี่ยนเป็นสีใส อยากแต้มสีอะไรก็แต้ม แม้เราไม่มีต้นทุนทางการเมืองมาก่อน แต่หลายคนเริ่มเข้ามาตรงนี้ ความรู้ความสามารถก็ไม่ได้เยอะ แต่พอเจอปัญหาอะไรมาแล้วเอาปัญหานั้นมาแก้ ก็ทำให้เข้าถึงรากหญ้ามากกว่า เป็นการทำงานจากล่างขึ้นบน สะท้อนเสียงประชาชนได้ตรง


ส่วนการทำงานของตนหรือส.ส.คน อื่นๆ พรรคได้เปิดกว้าง ว่าใครทำงานหรือถนัดทางด้านไหน ก็เสนอตัวมาทำงาน คงไม่ได้บอกว่าต้องทำงานนั้นงานนี้ เดิมส.ส.ก็ต้องทำงานในพื้นที่ แล้วนอกเหนือจากพื้นที่ล่ะ ถนัดงานด้านไหนอีก ก็อาสาเข้ามาทำงานได้ ช่วยให้ข้อมูล แก้ปัญหาโดยใช้ข้อมูลไปเสนอ แล้วแต่ว่าเราจะเข้าไปทำงานหรือไม่เท่านั้นเอง