ที่มา Thai E-News
โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
7 สิงหาคม 2554
"สรรเสริญ"ยอมรับเอกสารลับศอฉ.รั่ว อายมีคนเผยแพร่แต่ไม่อายที่ฆ่าผู้ชุมนุม
พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีที่มีการนำเอกสารลับของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ที่มีคำสั่งนรม.10 เม.ย. 53 ให้ขอคืนพื้นที่กลุ่มชุมนุมคนเสื้อแดง บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ มาเผยแพร่ทางเวปไซต์และในสื่อหนังสือพิมพ์บางฉบับ ว่า ต้องถามคนที่นำออกมาเปิดเผยว่ามีเจตนาอะไรกันแน่ แต่อย่างไรก็ตามยอมรับว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารของศอฉ.จริง
หาก อ่านเนื้อหาในเอกสารดังกล่าวจะพบว่ามีเนื้อหาเดียวกับที่ได้แถลงการณ์ต่อ สาธารณะแสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ศอฉ.ทุกนายทำตามขั้นตอนและกรอบของกฎหมาย รวมทั้งรายละเอียดข้อปฏิบัติก็เป็นไปตามระเบียบข้อกฎหมายหลักสากลในการ สลายกลุ่มผู้ชุมนุม
“อย่างไรก็ตามยันยันว่าสิ่งที่ศอฉ.ดำเนินการนั้น ได้คำนึงถึงความปลอดภัยของ ประชาชนที่อาจจะถูกทำร้ายจากลุ่มคนชุดดำที่แฝงตัวปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม ความจริงแล้วเจ้าหน้าที่ทหาร เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายมีเกียรติมีศักดิ์ศรี ถ้ามีคนหนึ่งคนใดนำเอาเอกสารความลับทางราชการออกมาเปิดเผยและตัวท่านก็เป็น คนหนึ่งที่อยู่ในองค์กร ไม่รู้สึกละลายใจบางเลยหรือ มีความจงรักภักดีต่อหน่วยงานของตนเองอยู่หรือไม่” พ.อ.สรรเสริญ กล่าว
อภิสิทธิ์หนูไม่รู้ชิ่งให้เทือกรับเต็มๆ
นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กล่าวปฏิเสธว่า ไม่ทราบเพราะเป็นเรื่องของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง กำกับดูแล ศอฉ.อยู่ และไม่มีการส่งเรื่องมาให้ดู จึงไม่รู้ว่าเป็นเอกสารอะไร ควรนำเอกสารนี้ไปให้นายสุเทพ เผื่อจะรู้
ทั้งนี้แม้ในเอกสารจะเปิดเผยว่านายอภิสิทธิ์ในฐานะเป็นนรม.เป็นผู้สั่งการก็ตาม
ก่อน หน้านี้ในการปราศรัยทิ้งทวนที่ราชประสงค์ก่อนเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม นายสุเทพกล่างวตอนหนึ่งว่า หากพรรคเพื่อไทยชนะได้ตั้งรัฐบาล หากจะเช็กบิลให้มาเล่นงานตน นายอภิสิทธิ์ไม่เกี่ยวข้อง
เทือกรับเป็นคนสั่ง เฉไฉรัฐบาลใหม่ใช้เป็นเหตุตามเช็กบิล
วันนี้ (7 ส.ค.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีต ผอ.ศอฉ.ได้แถลงข่าวชี้แจงกรณีที่มีหนังสือพิมพ์บางฉบับได้มีการเปิดเผย เอกสารลับว่า ศอฉ.สั่งการให้เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธปฏิบัติการต่อผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง ระหว่างวันที่ 10-13 เม.ย.53 ว่า ตนไม่สามารถคาดเดาเจตนารมณ์ที่แท้จริงของผู้รายงานข่าวนี้ แต่เห็นว่าอาจทำให้ประชาชนเข้าใจความจริงในเรื่องนี้คลาดเคลื่อนและเข้าใจ ผิดต่อผู้สั่งการ และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติการได้ ตนจึงต้องการชี้แจงว่า 1.เอกสารคำสั่งการได้ตัดวันที่ที่สั่งการออกไปไม่นำมาแสดงไว้ แต่เขียนคำบรรยายว่าสั่งการในเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน 53 โดยเน้นว่าเป็นคำสั่งอนุญาตใช้ปืนในเหตุการณ์คืนพื้นที่ 10 เมษาฯ พร้อมกับ ขีดเส้นใต้สีแดง โดยเน้นข้อความในคำสั่งให้ใช้อาวุธทำการยิงเมื่อปรากฏภัยคุกคาม หรือกลุ่มติดอาวุธให้ใช้อาวุธต่อเป้าหมายตามข้อ 2.1 ในระยะ 30-50 เมตร และให้เล็งส่วนล่างของร่างกายตั้งแต่เข่าลงมา หากผู้อ่านมีเวลาอ่านเฉพาะส่วนที่พาดหัวข่าว ที่เน้นขีดเส้นใต้สีแดงไว้ จะเข้าใจเอาได้ว่าในวันที่ 10 เมษายน 53 ทาง ศอฉ.ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ใช้ปืนยิงประชาชน
นายสุเทพกล่าวว่า คำสั่งปฏิบัติการที่นำมาลงแสดงในหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ เป็นคำสั่งที่ลงวันที่ 13 เมษายน 2553 สั่งการหลังเกิดเหตุกรณีคนชุดดำนำอาวุธสงครามมาฆ่าเจ้าหน้าที่ และประชาชน เมื่อ 10 เมษายน 53 เป็นคำสั่งที่ออกมาภายหลังเหตุการณ์ร้ายแรงครั้งนั้น ถึง 3 วัน ซึ่งเหตุที่ ศอฉ.ต้องสั่งการเช่นนี้เพราะเหตุการณ์ในวันที่ 10 เม.ย.มีคนชุดดำแฝงตัวปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง นำอาวุธสงครามร้ายแรงชนิดต่างๆ มายิงใส่เจ้าหน้าที่ และประชาชน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 26 คน บาดเจ็บประมาณ 800 คน ถือเป็นความสูญเสียที่รุนแรง ศอฉ.จำเป็นต้องระงับยับยั้งป้องกันไม่ให้เหตุเกิดขึ้นอีก แต่ปรากฏว่าหลังจากวันที่ 10 เม.ย.เหตุการณ์รุนแรงยังไม่ยุติ คนชุดดำถืออาวุธร้ายแรงยังปะปนแฝงตัวอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม ทำการก่อเหตุร้ายต่อเนื่องแทบทุกวัน ศอฉ.จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ใช้ “ปืนลูกซอง” ซึ่งเป็นอาวุธที่ไม่ร้ายแรง สามารถควบคุมการยิงได้เพื่อป้องกันตัวเจ้าหน้าที่เอง และประชาชนผู้บริสุทธิ์ ให้รอดพ้นจากภัยการคุกคามของคนชุดดำที่ติดอาวุธ
อีก ทั้งในคำสั่งยังระบุเรื่องการควบคุมวิถีกระสุนควบคุมความเสียหายที่จะ เกิดขึ้น โดยให้ดำเนินการโดยไม่มุ่งประสงค์ต่อชีวิตของเป้าหมาย เพื่อระงับ ยับยั้งคนร้ายที่ถืออาวุธคุกคาม ชีวิตเจ้าหน้าที่และประชาชน ต้องการเพียงเพื่อป้องกันเจ้าหน้าที่และประชาชนผู้บริสุทธิ์เท่านั้น จึงมีคำสั่งชัดเจนว่า ในการใช้อาวุธให้เล็งยิงส่วนล่างของร่างกายตั้งแต่เข่าลงมา
“ขอย้ำ ว่า สำเนาคำสั่งที่พาดหัวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น เป็นคำสั่งการในวันที่ 13 เม.ย. ไม่ใช่ 10 เม.ย.อย่างที่เขาพยายามจะให้ผู้อ่านเข้าใจผิด และการสั่งการอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธ “ปืนลูกซอง” มุ่งหมายเพื่อควบคุมความสูญเสีย ไม่ต้องการให้เสียหายร้ายแรง”
นอก จากนี้ยังมีการนำสำเนาคำสั่งวันที่ 10 และ 13 เม.ย.มาลงแสดงไว้ แต่ได้มีการขีดเส้นใต้เฉพาะข้อความบางส่วน เพื่อให้คนอ่านเข้าใจผิดในทำนองว่า ศอฉ.ตั้งใจสั่งการให้เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธ นอกจากนั้นยังอาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดได้ว่าเป็นคำสั่งการในเหตุการณ์เดียว กัน ทั้งที่ความจริง ศอฉ.ได้สั่งการห้ามเจ้าหน้าที่ใช้อาวุธโดยเด็ดขาด ให้ใช้เฉพาะอุปกรณ์ควบคุมฝูงชน คือ โล่ กระบอง รถฉีดน้ำ แก๊สน้ำตา และปืนลูกซองที่ใช้กระสุนยาง ทั้งนี้ ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนการควบคุมฝูงชนที่เป็นสากลอย่างเคร่งครัด
แต่ ปรากฏว่า ในวันที่ 9 เมษายน 53 กลุ่มผู้ชุมนุมนับหมื่นคนได้บุกโจมตีเจ้าหน้าที่ที่รักษาการณ์อยู่ที่สถานี ดาวเทียมไทยคม ลาดหลุมแก้ว ใช้ก้อนหิน ไม้ มีด เป็นอาวุธทำร้าย เจ้าหน้าที่บาดเจ็บนับร้อยคน และได้ยึดอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ไปเป็นจำนวนมาก การที่มีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บในเหตุการณ์ที่สถานีไทยคม เมื่อ 9 เม.ย.53 และอาวุธประจำกายถูกฝ่ายผู้ชุมนุมยึดไปหลายร้อยรายการ ก่อให้เกิดความกังวลว่าอาจมีการนำอาวุธนั้นมาทำร้ายเจ้าหน้าที่ ศอฉ.จึงมีคำสั่งอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธได้ แต่ต้องใช้เพื่อการป้องกันตนเองและประชาชนที่เจ้าหน้าที่ให้ความคุ้มครอง เท่านั้น
“ในคำสั่งที่อนุญาตให้ใช้อาวุธเพื่อป้องกันเจ้าหน้าที่และ ประชาชนนั้น ได้สั่งการชัดเจนว่า ใช้อาวุธได้เฉพาะในกรณีที่มีผู้กระทำผิดซึ่งหน้า และใช้อาวุธเพื่อป้องกันตนเอง และประชาชน เท่านั้น และระบุชัดเจน ใช้อาวุธเฉพาะเพื่อป้องกันอันตรายที่ใกล้จะถึงตัวเป็นอันตราย ต่อชีวิตเจ้าหน้าที่ และ ประชาชนที่สำคัญ ได้สั่งการชัดเจนว่า “หากจำเป็นต้องใช้อาวุธ ต้องใช้ตามลำดับขั้นที่กำหนดไว้”
นายสุเทพ ยืนยันว่า ศอฉ.ปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ปกป้องชีวิตของเจ้าหน้าที่ และประชาชนให้รอดพ้นจากภัยคุกคามจากผู้ก่อเหตุร้าย การสั่งการต่างๆ ของ ศอฉ.เป็นไปเพื่อเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาของบ้านเมือง มุ่งหมายรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ไม่มีเจตนาร้ายต่อประชาชน ศอฉ.ได้กำหนดมาตรการในการระงับ ยับยั้งเหตุร้ายต่างๆ โดยพยายามให้มีความเสียหายน้อยที่สุด และเมื่อเหตุการณ์ร้ายนั้นผ่านพ้นไปเป็นเวลาปีเศษแล้ว รัฐบาลชุดที่แล้วได้ตั้งคณะกรรมการที่เป็นคนกลางทำการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จ จริงทั้งหมดเพื่อรายงานต่อประชาชนต่อไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีรัฐบาลใหม่ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดเชื่อมโยงกับบรรดาผู้ก่อเหตุ และผู้ต้องหาก่อการร้ายหลายคนก็ได้เป็น ส.ส.ในสังกัดพรรครัฐบาล ผู้ต้องหาก่อการร้ายบางคนอาจได้เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้ รัฐบาลเป็นผู้กุมอำนาจรัฐจะสั่งการให้สอบสวนดำเนินคดีต่อตนซึ่งเป็นผู้รับ ผิดชอบสั่งการในการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองในเหตุการณ์ที่ผ่านมา ซึ่งตนพร้อมที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงตามกระบวนการยุติธรรมทุกข้อหา
เปิดรายละเอียดเอกสารลับ แง้มไต๋ยังมีทีเด็ดอีกหลายชุดตามมา
ก่อน หน้านี้เมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา มีผู้อ้างตนว่าเป็น"คณะกรรมการทหารตำรวจประชาธิปไตย ๒๕๕๔"ได้เปิดเผยเอกสารทางราชการฉบับหนึ่ง โดยแจ้งว่า เพื่อความจำเป็นต้องหยุดยั้งมิให้ผู้ทรงอำนาจทางทหารในปัจุบันกระทำการสร้าง มูลเหตุคดีจากการเลือกตั้งอันนำไปสู่การยุบพรรคเพื่อไทยโดยเร็วไวที่สุด ซึ่งเป็นการทำลายชาติและกองทัพได้อีกต่อไป จึงขอส่งมอบหลักฐานเอกสารการสั่งการในการสังหารประชาชนเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๓ ให้กับประชาชนทั้งประเทศเพื่อดำเนินการตามกฏหมาย กับผู้ทรงอำนาจทางทหารดังนี้
๑.วิทยุด่วนภายใน ๑๐ เมษายน ๒๕๕๓ (ลับมาก) คำสั่งศอฉ. กห.๐๔๐๗.๔๕/๔๒ ลงนามโดย รอง นรม.(รองนายกรัฐมนตรี) ตามเอกสารที่แสดงให้ดู ในเอกสารชุดที่ ๑ จำนวน ๒ หน้า และเอกสารชุดที่ ๒ จำนวน ๑ หน้า เป็นวิทยุด่วนมากใน ๑๓ เมษายน ๒๕๕๓ ลงนามโดย ผบ.ทบ.ดังนี้
เอกสารชุดที่ ๑ และ ๒ ขยายความตามที่ทหารได้รับคำสั่งดังนี้
๑.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเป็นผู้สั่งการให้ศอฉ.ใช้กำลังทหารที่มีอาวุธเข้าผลักดันกลุ่มผู้ชุมนุมใน ๑๐ เมษายน ๒๕๕๓ ตั้งแต่ ๑๓.๓๐น. โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณรองนายกรัฐมนตรี เป็นคนลงนามในคำสั่ง และมีพล.ท.อักษรา เกิดผล ผช.เสธ.ฝยก. พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รอง.เสธ.ฝยก. และพล.อ.พิรุณ แพ้วพลสง เสธ.ทบ. และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมต.กห. เป็นผู้ลงนาม ตรวจร่างในคำสั่งดังกล่าว โดยมีความสำคัญของเนื้อหาดังนี้
๑.๑อนุญาตให้ทหารใช้อาวุธได้และใช้ยานเกราะรถ รสพ. (รถสายพานลำเลียงพล) ในการปฏิบัติการ
๑.๒ใช้แก๊สน้ำตาแบบวิตถาร คือ โปรยจากเฮลิคอปเตอร์
๑.๓ไม่มีมาตรการจากเบาไปหาหนัก เพียงแต่แจ้งว่า แจ้งเตือนด้วยวาจาแล้วยิงปืนได้เลย
๑.๔มีชายชุดดำเกิดขึ้นในระหว่างปฏิบัติการ
๑.๕มีพลซุ่มยิง ซึ่งยิงจากตึกสูงในพื้นที่ปฏิบัติการ (ซึ่งมีการสั่งการ แยกการจากคำสั่งฉบับนี้)
๒.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ได้สั่งการในวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๕๓ ซึ่งมีผลสืบเนื่องมาจนถึง ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ โดยการสั่งการครั้งนั้น ผลที่เกิดขึ้นคือ
๒.๑ทำให้ทหารเข้าใจว่ามีผู้ก่อการร้ายในกลุ่มผู้ชุมนุม
๒.๒อนุมัติให้ทหารใช้กระสุนจริงยิงต่อเป้าหมายได้ แม้จะสั่งว่าให้ยิงในระยะ ๓๐-๕๐ เมตร โดยทำการยิงต่ำกว่าระดับหัวเข่าลงมา
๓.ผลที่เกิดขึ้น
๓.๑มีผู้เสียชีวิตทั้งทหารและผู้ชุมนุมและสื่อมวลชนต่างประเทศ
๓.๒มีเหตุการณ์ทั้งภาพและเสียง มีทหารใช้กระสุนจริง
๓.๓มีพลซุ่มยิงซึ่งเป็นพลซุ่มยิงของทหาร
๓.๔หลังการปฏิบัติการมีผู้เสียชีวิตเกิดขึ้น แต่ปรากฏว่าไม่มีผู้เสียชีวิตคน
ใดแต่งกายชุดดำและมีอาวุธติดตัวอยู่ในขณะที่เสียชีวิต
๔.การวิเคราะห์
๔.๑สมมติฐาน เหตุใดพลซุ่มยิงถึงยิงผู้ชุมนุมที่ศีรษะได้อย่างแม่นยำจนเสียชีวิตและเหตุใดทหารและพลซุ่มยิงถึงไม่ยิงชายชุดดำ
๔.๒คำตอบจากข้อ ๓.๑ คือ มีการสั่งการลับให้มีชุดปฏิบัติการพิเศษของนปพ.ทบ. แต่งกายเป็นชายชุดดำเข้าสร้างสถานการณ์ (และถูกสวมรอยโดยชายชุดดำของพล.ต.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ซึ่งจัดกำลังจาก ฉก.นราธิวาส ตามแถลงการณ์ฉบับที่๒)
๔.๓ นายกรัฐมนตรี , รองนายกรัฐมนตรีและผบ.ทบ. แม้จะปฏิบัติภายใต้อำนาจ พรบ.ความมั่นคงและภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินก็ตาม บุคคลดังกล่าวทั้ง ๓ ย่อมอยู่ภายใต้กฏหมายรัฐธรรมนูญอันเป็นกฏหมายอันสูงสุด สั่งให้ทหารใช้กระสุนจริงยิงเข้าไปยังกลุ่มผู้ชุมนุมจนทำให้ผู้ชุมนุมเสีย ชีวิตและสภาพศพถูกกระสุนที่ศีรษะและหน้าอกเป็นส่วนใหญ่และไม่ปรากฏว่ามีชาย ชุดดำเสียชีวิตและพบอาวุธติดตัวผู้ตายแต่อย่างใด แม้ว่าหากมีผู้ก่อการร้ายจริง ถามว่า บุคคลทั้ง ๓ ตัดสินด้วยการให้ยิงได้เลยหรือ? และกลุ่มคนต่างๆเหล่านั้นเป็นคนไทยมิใช่หรือ? สั่งให้เค้าตายอย่างนั้นได้อย่างไร มีอำนาจมากขนาดนั้นหรือ?
๔.๔ไม่ ปรากฏการสั่งการหรือการปฏิบัติของ ศอฉ. โดยนายกรัฐมนตรี , รองนายกรัฐมนตรีหรือ ผบ.ทบ. ที่สั่งการทหารใช้น้ำฉีด ใช้แก๊สน้ำตา ตามหลักสากลที่นานาชาติใช้ดำเนินการต่อผู้ชุมนุม แต่มีการใช้แก๊สน้ำตา โปรยจากเฮลิคอปเตอร์ซึ่งมีที่เดียวในโลก
๔.๕เอกสารชุดที่ ๑ (เหตุการณ์ในห้วง ๑๐ เมษายน ๒๕๕๓) จำนวน ๓ แผ่นนี้ คือหลักฐานที่ยืนยันว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาและคณะกรรมการศอฉ. ต้องรับผิดชอบต่อผู้เสียชีวิตทั้ง ๙๑ ศพและผู้บาดเจ็บอีกกว่า ๒,๐๐๐ นาย และต้องยอมรับผิดต้องขอโทษต่อประชาชนและตกเป็นผู้ต้องหาในการสั่งการให้ สังหารประชาชน
ซึ่งแน่นอนว่าหากไม่ดำเนินการดังกล่าว คณะกรรมการทหารตำรวจประชาธิปไตย ๒๕๕๔ จะนำเอกสารชุดที่ ๒ ชุดที่ ๓ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงของการสั่งการเหตุการณ์ในห้วง ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ มาเสนอต่อประชาชนต่อไป
******
เรื่องเกี่ยวเนื่อง
-เอกสารทหาร2ฉบับมัดมาร์คแน่น โฆษณาชวนเชื่อขอใบอนุญาตฆ่า91ศพ รบเต็มอัตรากระสุนจริง-Sniper
-รายงานข่าวเชิงสืบสวน:เปิดเอกสารลับทหาร+รายงานคอป.ชี้ชัดไม่มีชายชุดดำ มีแต่ชายใจดำสังหาร92ศพ