WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Thursday, September 22, 2011

ผอ.ประชาไท เบิกความศาลแจงระบบดูแลเว็บบอร์ด สืบพยานนัดหน้า 11 ต.ค.

ที่มา ประชาไท

ระบุเว็บบอร์ดได้รับความนิยมเพิ่มกว่า 10 เท่าหลังเหตุรัฐประหาร ยันทีมงานมีมาตรการที่เข้มงวด ให้ความร่วมมือไอซีทีในการลบข้อความไม่เหมาะสมโดยตลอด ชี้เหตุเล็ดรอดเพราะเว็บบอร์ดข้อความทะลักจากสถานการณ์ร้อนหลังเหตุการณ์ 7 ตุลา

21 ก.ย.54 ที่ห้องพิจารณาคดี 910 ศาลอาญา ถนนรัชดา มีการสืบพยานจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ 1167/2553 ซึ่งอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนางสาวจีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการเว็บไซต์ประชาไท ภายใต้มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน ในความผิดตามมาตรา 15 ของพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดกเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 กรณีที่มีผู้อ่านโพสต์ข้อความไม่เหมาะสมในเว็บบอร์ด

ทั้งนี้ มาตรา 15 ระบุความผิดของ ‘ตัวกลาง’ เจ้าของพื้นที่ซึ่งจงใจ สนับสนุนหรือยินยอมให้มีการกระทำความผิดในการโพสต์ข้อความที่เป็นความผิด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการสืบพยานจำเลยอันได้แก่ นางสาวจีรนุช มีผู้แทนจากสถานทูตประเทศต่างๆ รวมถึงนักข่าวต่างชาติจำนวนมากเข้าสังเกตการณ์คดี และศาลได้นัดสืบพยานครั้งหน้าในวันที่ 11 ต.ค.54

ผอ.ประชาไท เบิกความว่า เว็บบอร์ดของประชาไทเปิดดำเนินการตั้งแต่ปี 47 เพื่อเป็นพื้นที่ส่งเสริมเสรีภาพในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อมูลข่าว สารของประชาชน จนถึงเดือนกรกฎาคม 2553 คณะกรรมการและทีมงานได้ตัดสินใจปิดให้บริการ เนื่องจากโดนฟ้องคดีและเกรงจะเกิดปัญหาอีกระหว่างการต่อสู้คดี อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนสำคัญของเว็บบอร์ดประชาไทคือ หลังการรัฐประหาร 2549 ที่มีผู้เข้าใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดกว่าสิบเท่าตัว โดยในปี 50-51 มียอดคนอ่าน 20,000-30,000 คนต่อวัน มีคนตั้งกระทู้ใหม่ราว 300 กระทู้ต่อวัน และมีการโต้ตอบแสดงความเห็นในกระทู้ต่างๆ เฉลี่ยแล้ว 2,800-2,900 ความเห็นต่อวัน ข้อความที่ถูกฟ้องนั้นเป็นของผู้ใช้นามแฝง ‘เบนโตะ’ ซึ่งโพสต์ในเดือนต.ค.51 ถือเป็นข้อความลำดับที่ 1,193,245 และหากเปรียบเทียบปริมาณการโพสต์ข้อความและการปิดข้อความไม่เหมาะสม จะพบว่าประชาไททำการปิดกั้นข้อความราว 3%

นอกจากนี้พยานยังยกตัวอย่างอีเมล์ที่เจ้าหน้าที่จากไอซีทีทำการส่ง URLs ของข้อความที่ไม่เหมาะสมจากเว็บต่างๆ เพื่อให้ผู้ดูแลเว็บต่างๆ ทำการปิดกั้น เมื่อนับและเปรียบเทียบสัดส่วนตั้งแต่ ส.ค.-พ.ย.51 แล้ว จะพบว่า URLs ที่เป็นของประชาไทนั้นมีเพียง 0.8% เท่านั้น

จีรนุช เบิกความในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดำนินคดีว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหาจากกรณีของผู้โพสต์ข้อความที่ใช้นามแฝง ว่า ‘เบนโตะ’ ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมีจดหมายเรียกตนไปสอบปากคำในเดือนพ.ย.51 ตนก็ได้ตรวจสอบหมายเลขกระทู้ตามแจ้งและเมื่อพบข้อความดังกล่าวก็ดำเนินการลบ ข้อความทันที และไปให้ปากคำในฐานะพยาน ไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาตน แต่ทราบในภายหลังเมื่อได้รับเอกสารแจ้งการฟ้องคดีในเดือนธ.ค.51 จากนั้นมีการบุกจับกุมที่สำนักงานในวันที่ 6 มี.ค.52 เบื้องต้นให้การปฏิเสธและได้รับการประกันตัว ต่อมาวันที่ 7 เม.ย.52 เจ้าหน้าที่ได้แจ้งความผิดข้อหาเดียวกันอีก 9 กระทง จาก 9 URLs รวมเป็น 10 กระทง ซึ่ง 9 กระทงที่แจ้งเพิ่มเติมเป็นข้อความที่มีผู้โพสต์ไว้นานแล้วและไม่มีข้อมูล อยู่ในระบบแล้ว จึงไม่สามารถตรวจสอบได้ นอกจากนี้ในสำนวนของเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ระบุรายละเอียดของข้อความทั้ง 9 แต่อย่างใด

ทั้งนี้ เมื่อเดือนต้นปี 2554 ศาลได้พิพากษายกฟ้องคดีของ ‘เบนโตะ’ เนื่องจากไม่สามารถระบุได้ว่าจำเลยเป็นผู้โพสต์ข้อความ อย่างไรก็ตาม ไอซีทีระบุว่าข้อความของ ‘เบนโตะ’ ปรากฏอยู่ในระบบ 20 วันก่อนถูกลบ ซึ่งจีรนุช เบิกความว่า เหตุเกิดเนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงสถานการณ์ร้อนทางการเมืองหลัง เหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 ซึ่งมีการสลายการชุมนุมหน้าทำเนียบ จำนวนกระทู้และการแสดงความคิดเห็นในเว็บบอร์ดสูงมาก เป็นไปได้ที่จะมีการตรวจสอบที่ไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะหากไม่มีผู้แจ้งลบ อย่างไรก็ตาม กระทู้ของ ‘เบนโตะ’ นั้นมีผู้เข้าไปแสดงความคิดเห็นโต้ตอบเพียง 3 รายเท่านั้น

สำหรับระบบการตรวจสอบนั้น ผอ.ประชาไท เบิกความว่า มีผู้ดูแลหลักอย่างเป็นทางการคนเดียวคือตนเอง ต่อมาหลังมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นมากจากสถานการณ์การเมือง ประชาไทได้เพิ่มมาตรการต่างๆ หลายขั้นตอน คือ 1.จากเดิมคนทั่วไปโพสต์ได้ ก็เปลี่ยนเป็นต้องสมัครสมาชิก ซึ่งต้องยืนยันกับระบบผ่านอีเมล์ที่ใช้จริง 2.มีช่องทางให้รายงายแจ้งลบข้อความไม่เหมาะสม 3.ตั้งให้เป็นระบบลบอัตโนมัติหากสมาชิกจำนวน 3 คนเห็นว่าไม่เหมาะสม 4.มีการตั้งอาสาสมัครเพื่อช่วยดูแลและมีอำนาจในการปิดกั้นข้อความไม่เหมาะสม ทันที 5.มีการเปิดเผย IP Address (บางส่วน) ของผู้ใช้บริการพร้อมแจ้งว่าประชาไทจำเป็นต้องเก็บข้อมูลการจราร 90 วันตามกฎหมายและเจ้าหน้าที่สามารถเรียกดูได้ 6.กระทั่งท้ายที่สุดอนุญาตให้สมาชิกทุกคนมีอำนาจในการลบข้อความไม่เหมาะสม

ในส่วนของการประสานงานจากหน่วยงานรัฐนั้น ผอ.ประชาไท เบิกความว่า บางครั้งหากมีข้อความไม่เหมาะสมเล็ดรอด เจ้าหน้าที่ไอซีทีจะโทรมาแจ้ง ทางประชาไทก็จะดำเนินการตรวจสอบและลบทันที นอกจากนี้ต้นปี 2551 ทางไอซีทีและสำนักงานตำรวจแห่งชาติยังมีการเชิญประชุมผู้ดูแลเว็บต่างๆ หารือเรื่องการปิดกั้นข้อความไม่เหมาะสม ได้ข้อสรุปว่าหากไอซีทีพบข้อความไม่เหมาะสมจะแจ้งผู้ดูแลเว็บ หากยังไม่ดำเนินการปิดกั้น จะทำหนังสือเตือน หากยังไม่ดำเนินการอีกจะดำเนินการตามกฎหมาย แต่ข้อความของผู้ใช้นามแฝงว่า “เบนโตะ” ในเว็บบอร์ดประชาไทที่เจ้าหน้าที่ดำเนินคดีนั้น ไม่มีการแจ้งเตือนก่อนแต่อย่างใด และจนถึงปัจจุบันหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบก็ยังไม่มีการกำหนดมาตรการ แนวทางการพิจารณาข้อความไม่เหมาะสมที่ชัดเจน

สำหรับกติกาในเว็บบอร์ดประชาไท มีการกำหนดหลักเกณฑ์กว้างๆ คือ 1. ไม่ปิดกั้นความเห็นที่แตกต่าง 2.ไม่สนับสนุนให้มีการดูถูกศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ 3 ขอความร่วมมือไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย 4. ขอให้ปฏิบัติภายใต้หลักของกฎหมาย

มาตรา 14 ผู้ใดกระทําความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

(1) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบาง ส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน (2) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความ ตื่นตระหนกแก่ประชาชน (3) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการ ก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา (4) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่มีลักษณะอันลามก และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ (5) เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูล คอมพิวเตอร์ตาม (1) (2) (3) หรือ (4)

มาตรา 15 ผู้ให้บริการผู้ใดจงใจสนับสนุนหรือยินยอม ให้มีการกระทําความผิดตามมาตรา 14 ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตน ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทําความผิดตาม มาตรา 14