ที่มา มติชน
วันที่ 20 ก.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชาญชัย สงวนวงศ์ ผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์ ข่าวหุ้นธุรกิจ ได้ทำหนังสือถึง ประธานคณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ เพื่อแจ้งลาออกจากการเป็นภาคีสมาชิกสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ มีเนื้อหาในจดหมาย ดังนี้
ข่าวหุ้นธุรกิจลาออกจากสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ
ไม่ขอร่วมสมคบคิดทำลายล้างเพื่อนร่วมวิชาชีพ
20 กันยายน 2554
เรียน ประธานคณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ
เรื่อง แจ้งลาออกจากการเป็นภาคีสมาชิกสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ
ในฐานะภาคีสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ และให้ความร่วมมือกับการทำหน้าที่และกิจกรรมของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ด้วยดีตลอดมา
กระผม ในฐานะตัวแทนของภาคีสมาชิกประกอบด้วยหนังสือพิมพ์ ข่าวหุ้นธุรกิจ ขอแจ้งต่อคณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ว่า ขอลาออกจากการเป็นภาคีสมาชิกของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2554 เป็นต้นไป
เหตุผลหลักในการลาออก เกิดจากเป็นที่ประจักษ์ในข้อเท็จจริงว่า มีพฤติกรรมบางประการที่ได้ส่อให้เห็นถึงการละเมิดต่อเจตนารมณ์ของการจัดตั้ง เพื่อเป็นองค์กรควบคุมกันเอง และส่งเสริมเสรีภาพและความรับผิดชอบยกระดับผู้ประกอบวิชาชีพหนังสือพิมพ์และ กิจการหนังสือพิมพ์ให้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีล่าสุดที่ปล่อยให้บุคคลภายนอก ซึ่งคณะกรรมการการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ มีมติเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2554 แต่งตั้งเป็นคณะอนุกรรมการเฉพาะเรื่องสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีข่าวอีเมลซึ่งปราศจากที่มาชัดเจน ซึ่งมีผู้อ้างว่าเป็นของบุคคลในพรรคเพื่อไทยระบุว่า มีการจ่ายสินบนให้กับสื่อมวลชนบางคน ซึ่งปรากฏว่าได้เกิดพฤติกรรมที่ประหนึ่งสมคบคิดเพื่อทำลายล้างเพื่อนร่วม วิชาชีพกันอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
คณะอนุกรรมการเฉพาะเรื่องสอบสวนข้อเท็จจริงฯ ไม่เพียงแต่ไม่ดำเนินการให้บรรลุภารกิจหลักเพื่อค้นหาข้อเท็จจริงอย่างถึง ที่สุดว่า มีการรับหรือจ่ายสินบนให้กับบุคคลที่ปรากฏในอีเมลดังกล่าวหรือไม่ แต่กลับดำเนินการเบี่ยงเบนหัวข้อสอบสวนตามชอบใจ เมื่อบุคคลไม่ปรากฏหลักฐานความผิด ก็ขยายไปกล่าวหาองค์กรบางแห่งที่ตกเป็นเป้าหมายไว้ก่อนแล้วแทน ดำเนินการสอบสวนลับหลังโดยไม่เปิดโอกาสให้องค์กรที่ถูกกล่าวหาได้ชี้แจงข้อ เท็จจริง รวมทั้งใช้วิธีการสอบสวนและสรุปผลอย่างขาดตรรกะและความรู้ความเข้าใจในการ ประกอบวิชาชีพหนังสือพิมพ์ตามหลักอาชีวปฏิญาณที่ยึดถือกันมายาวนานว่า "ข้อเท็จจริงในข่าวสารเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ความเห็นเป็นอิสระ"
ไม่เพียงเท่านั้น บุคคลบางคนในคณะอนุกรรมการฯ ยังได้แสดงพฤติกรรมน่าเคลือบแคลงด้วยการขยายผลการสอบสวนดังกล่าวเพื่อ ประโยชน์ทางการเมืองของคนบางกลุ่ม ซึ่งแทนที่ผู้มีบทบาทในสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติบางคน แทนที่จะจะท้วงติง กลับแสดงการสนับสนุนอย่างออกนอกหน้า โดยไม่คำนึงถึงระเบียบข้อบังคับ และพยายามรวบรัดตัดความว่า คณะกรรมการของสภาฯ ได้รับรองความชอบธรรมของผลการสอบสวนโดยปริยาย ผ่านการประชุมลับเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2554 ไปแล้ว
พฤติกรรมดังกล่าว ยืนยันชัดเจนว่าหลักการและเจตนารมณ์ของการจัดตั้งเพื่อเป็นองค์กรควบคุมกัน เอง และส่งเสริมเสรีภาพและความรับผิดชอบยกระดับผู้ประกอบวิชาชีพหนังสือพิมพ์และ กิจการหนังสือพิมพ์ได้ถูกทำลายลงไป อย่างมีเจตนาสมยอมให้อิทธิพลการเมืองภายนอกเข้าแทรกแซงให้เกิดการทำลายล้าง เพื่อนร่วมวิชาชีพด้วยกันเองอย่างเปิดเผย มิได้แสดงความกระตือรือล้นจะจัดการแก้ไข รวมไปถึงดำเนินการระงับความเสียหายของผู้ได้รับผลกระทบจากข้อกล่าวหาที่ปน เปื้อนอคติของบุคคลภายนอก
โดยหลักอาชีวปฏิญาณ ความขัดแย้งหรือจุดยืนทางความเห็นที่ไม่ตรงกันในวงการสื่อ ไม่เคยถูกถือเป็นเรื่องผิดปกติ เพราะเป็นส่วนหนึ่งของเสรีภาพทางวิชาชีพ เป็นสิ่งที่ได้รับการเคารพในเกียรติยศของกันและกันมาเสมอมา ความพยายามใดๆ ที่จะขยายผลไปสู่การใส่ร้ายป้ายสีเพื่อทำลายล้าง เป็นพฤติกรรมเกินเลยที่ไม่อาจยอมรับได้
ที่ผ่านมา ตัวแทนของหนังสือพิมพ์ ข่าวหุ้นธุรกิจ ซึ่งร่วมปฏิบัติหน้าที่ในคณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ได้รับรู้และพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อธำรงมาตรฐานและเจตนารมณ์เมื่อครั้ง ก่อตั้งต่อไปอย่างสมเกียรติ แต่เมื่อยังคงมีพฤติกรรมดื้อรั้นและแฝงเร้นอันส่อไปในทางละเมิดต่อปฏิญญาของ จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพที่ยึดถือปฏิบัติมา ก็ไม่มีความจำเป็นต้องร่วมอยู่ในขบวนการสมคบคิดอีกต่อไป
แม้ว่าหนังสือพิมพ์ ข่าวหุ้นธุรกิจ จะมิได้เป็นภาคีสมาชิกของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติอีกต่อไป แต่ก็ยังขอตั้งปณิธานว่า จะยังคงธำรงรักษาเจตนารมณ์และอาชีวะปฏิญาณอย่างเต็มกำลัง จะทำหน้าที่สื่อมวลชนที่สุจริต และพร้อมให้สังคมตรวจสอบความโปร่งใสในการปฏิบัติงานได้ทุกเวลา และให้ความร่วมมือกระทำการในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและประชาชนส่วนใหญ่
จึงเรียนมาด้วยความเคารพ
นาย ชาญชัย สงวนวงศ์
ผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นธุรกิจ