WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Thursday, September 22, 2011

สัมภาษณ์วัฒน์ วรรลยางกูร รัฐประหาร 5 ปี ยังมีศัตรูของระบอบประชาธิปไตย

ที่มา ประชาไท

ประชาไทสัมภาษณ์ วัฒน์ วรรลยางกูร นักเขียนผู้ร่วมขบวนการคนเสื้อแดงตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา เขาเห็นว่า ภารกิจของคนเสื้อแดงยังไม่ลุล่วง กลุ่มอำนาจที่เป็นศัตรูต่อระบอบประชาธิปไตยยังคงอยู่ และไม่เห็นทิศทางการปรับตัวของอำนาจเหล่านี้



ครบรอบ 5 ปีรัฐประหาร ขณะนี้มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชนส่วนใหญ่แล้ว ยังมีสิ่งใดที่ประชาชนยังไม่บรรลุอีกหรือ

“ความรู้สึกในเวลานี้ อย่างเมื่อวานนี้ (18 ก.ย.54) คนเสื้อแดงก็มากันเยอะมาก มันก็สะท้อนว่า พวกเขายังไม่มั่นใจว่าการใช้สิทธิในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของเขาจะเป็น ที่ยอมรับของกลุ่มอำนาจต่างๆ มันยังมีการฮึ่มๆ ฮั่มๆ ว่าจะมีการรัฐประหาร บอกว่ารัฐบาลที่คนเลือกมาแล้วด้วยเสียงส่วนใหญ่ จะมีอายุแค่ไม่กี่เดือน ซึ่งเป็นความรู้สึกที่มีพื้นฐานเหตุผลชัดเจน ไม่ใช่การวิตกไปเอง คนถึงต้องออกมา เพราะว่า กลุ่มที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับระบอบประชาธิปไตย เขาก็ยังมีอำนาจ มีกำลังอยู่ ยังสามารถคุมกำลังในกองทัพได้อยู่ ยังสามารถโน้มนำหรือชี้นำในกลุ่มพนักงานตุลาการได้อยู่ เป็นเรื่องที่คนเขารู้กันทั่วไปแล้ว

เพราะฉะนั้นคนมีความไม่เชื่อมั่นว่าผลการเลือกตั้งของเขาจะเป็นที่เคารพหรือยอมรับของกลุ่มอำนาจที่อยู่นอกระบบระบอบประชาธิปไตย

ก็เห็นกันว่า อำนาจนอกระบบประชาธิปไตยก็ยังอยู่ และพร้อมที่จะเข้ามาทุบทำลายด้วยการรัฐประหารได้อีก ถ้าหากว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั้นมีการทำงานที่พลาดพลั้งไป

พูดง่ายๆ ว่าภารกิจของคนเสื้อแดงที่ออกมาต้านรัฐประหารเมื่อ 5 ปีที่แล้วยังไม่ลุล่วง หมายถึงกลุ่มอำนาจเดิมๆ ที่มีผลต่อการโค่นอำนาจของประชาชน ยังมีอิทธิพลอยู่ในการเมืองไทย

“ใช่ครับ มันเหมือนนิยายที่ผู้ร้ายยังไม่ตาย ผู้ร้ายยังมีฤทธิ์มีเดช ยังสามารถสำแดงเดชเมื่อใดก็ได้ อันนี้คือความจริงในขณะนี้ ถึงแม้ผู้ร้ายจะเป็นกลุ่มชนชั้นที่มีอายุมากแล้วก็ตาม”

ภายใน 5 ปีมานี้ คุณมองเห็นไหมว่า ประชาชนได้แสดงให้เห็นว่าตัวเองเป็นกลุ่มอำนาจกลุ่มหนึ่ง ที่มีพลังกลุ่มและเข้ามามีพื้นที่ทางการเมืองมากขึ้นแล้ว

ประชาชนมีความเหมาะสมที่จะมีพื้นที่ในทางการเมืองตรงนี้ เพราะก่อนหน้านั้นประชาชนเองไม่ค่อยเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างชัดเจน เท่าไหร่ แต่รอบนี้ ในรอบ 5 ปีมานี้ มันชัดเจนว่าประชาชนเขามีความตื่นตัวขึ้นมา แสดงความเป็นเจ้าของอำนาจ แสดงความเป็นตัวตนของปวงชนชาวไทย ซึ่งตรงนี้ชัดเจน ถึงจะชัดเจนอย่างไร ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ชนชั้นผู้มีอำนาจ ชนชั้นอภิสิทธิ์ชน ชั้นชั้นที่เขาเคยได้ผลประโยชน์จากความไม่เป็นประชาธิปไตย จากระบอบอภิสิทธิ์ จากระบอบศักดินา จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช เขาจะไม่ยอมปล่อยมือไปง่ายๆ เขาก็จะหาวิธีซิกแซกลดเลี้ยวอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งในทางกฎหมายบ้าง ในทางด้านการเลือกตั้งบ้าง มันก็เป็นเรื่องที่แบบว่า ยังต้องต่อสู้ต่อไป คือนิยายเรื่องนี้ยังไม่จบ ผู้ร้ายก็ยังอยู่แต่พระเอกก็เข้มแข้งขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น coming soon โปรแกรมหน้าสนุกแน่

มองในแง่พัฒนาการการมีส่วนร่วมทางการเมือง โดยเฉพาะจากกลุ่มคนเสื้อแดง คุณเห็นอะไรที่ยังไปไม่ถึงจุดที่ควรจะเป็นหรือควรต้องปรับปรุงอะไรอีกไหม

ก็มีความไม่อิ่มอกอิ่มใจบ้างในเรื่องของแนวทางการต่อสู้ กลุ่มหนึ่งต้องการเรียกร้องการปฏิวัติประชาธิปไตย แต่กลุ่มหนึ่งก็อยู่ในกลุ่มของปฏิรูปประชาธิปไตย อยากที่จะประนีประนอม อยากที่จะใช้เพียงการต่อสู้ในเชิงของระบอบรัฐสภาเท่านั้น แต่ถ้าเราไปดูประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงของระบอบสังคมของโลก การเปลี่ยนแปลงต้องมาในทุกพื้นที่ ทั้งในสภาผู้แทนฯ ในระบอบรัฐสภาและนอกระบบรัฐสภา คือข้างถนนริมถนน มันต้องประสานกันไป แล้วไม่ใช่ว่าพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งจะสำคัญกว่ากัน มันอยู่ที่ความเหมาะสม บางปีบางเดือน พื้นที่ในสภาสำคัญกว่า บางปีบางเดือน พื้นที่ริมถนนมีความสำคัญมากกว่า เพราะฉะนั้นจะต้องปรับให้มันลื่นไหลไปตามความเป็นจริง ไม่ใช่ตายตัว ตายตัวก็คือว่า พอตัวเองได้เป็น สส.ได้เป็นผู้แทนฯ เป็นรัฐมนตรีแล้วก็อยากจะบังคับให้สู้อยู่แต่ระบอบรัฐสภาเท่านั้น ซึ่งมันไม่ใช่ หากเราดูจากบทเรียนของประวัติศาสตร์สากลมาแล้ว

สิงที่ท้าทายคนเสื้อแดงมากกว่าอำนาจนอกระบอบ อาจจะเป็นเรื่องความรู้สึกว่าตัวเองได้เป็นเสียงส่วนใหญ่แล้ว ได้มีอำนาจในสภาแล้ว อย่างนั้นหรือเปล่า

ก็คือว่า คนเราพอได้รู้สึกว่าตัวเองได้เป็นเจ้าของออำนาจอธิปไตยแล้ว แล้วก็ลุกขึ้นมาแสดงตัวตนของตัวเองแล้ว ตอนนี้พูดตรงๆ ว่าผมเองก็เบาใจลงไปเยอะ เพราะว่ามันไม่มีการต่อสู้ครั้งไหนที่จะมีคนเข้าร่วมมากเท่าครั้งนี้ การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2553 ก็เป็นการเลือกตั้งที่พรรคการเมืองใช้ทุนรอนน้อยมาก เพราะว่าคนเสื้อแดงช่วยกันลงเรี่ยวลงแรง ลงเงินด้วยลงแรงด้วย ลงความคิด ลงหัวใจ นี่มันเป็นปรากฏการณ์ที่ดีมาก เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลัง 14 ตุลา สมัยที่พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทยชนะเลือกตั้ง หรือสมัยก่อน 2500 ที่พรรคสหชีพ พรรคที่อยู่ฝ่ายของปรีดี พนมยงค์ได้รับการเลือกตั้ง การเมืองที่ดีมันเกิดขึ้นแล้ว เพียงแต่ว่าฝ่ายที่เป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยม เป็นฝ่ายไดโนเสาร์ ไม่อยากให้ปรากฏการณ์นี้คงอยู่หรือขยายตัวขึ้น แล้วก็พยายามทำลาย ใส่ร้ายป้ายสี แล้วในที่สุดก็ทุบทิ้งด้วยการใช้รัฐประหาร เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องที่คนเห็นกันมากแล้วล่ะ ผมเลยไม่รู้สึกหนักใจ และมีความหวังว่าในชั่วชีวิตของผม จะได้เห็นประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงเสียที ผมเบื่อมากเลยตลอดชีวิตที่เห็นการรัฐประหาร การเป็นประชาธิปไตยแบบอีแอบ คือมีมือที่มองไม่เห็น ความจริงก็มองเห็นแต่พูดไม่ได้ มาบงการ มาบิดผันผลการเลือกตั้ง มาบิดเบือนอำนาจ มาล้วงลูก จนกระทั่งมาทุบทำลายด้วยการรัฐประหาร ถ้าทำอย่างนั้นอีก ความรุนแรงจะเกิดขึ้น ผมช่วยไม่ได้นะครับ และฝ่ายที่ทำตัวเป็นศัตรูประชาธิปไตยจะไม่มีที่อยู่ที่ยืนในประเทศนี้ ผมขอเตือนเอาไว้ เพราะว่าพลังประชาชนตื่นตัว เติบโต ขยายตัวมากขึ้นแล้ว และมีบทเรียนแล้ว ถ้าหากท่านอยากจะอยู่กับสังคมไทยต่อไป ท่านก็ต้องรู้จักปรับตัวเองบ้าง นี่ผมพูดอย่างไม่มีความหวังอะไรเลยครับ