ที่มา มติชน
เมื่อวันที่ 24 กันยายน พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีชันสูตร 13 ศพ จากการสลายการชุมนุม ได้เรียกประชุมชุดพนักงานสืบสวนสอบสวนที่ห้องประชุมปารุสกวัน 1 พล.ต.ต.อนุชัยกล่าวว่า ได้เรียกประชุมคณะสืบสวนสอบสวนเพื่อพิจารณาสำนวน 13 ศพ เมื่อวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษส่งสำนวนให้ บช.น.ดำเนินการ ตาม ป.วิอาญา มาตรา 150 วรรค 3 หลังรายงานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากนั้นได้รับมอบหมายให้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนขึ้นมารับผิดชอบเพื่อ ดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยจะมีการกำหนดกรอบแนวทางการปฏิบัติและการแบ่งงาน รวมทั้งร่วมแสดงความคิดเห็นเพื่อให้ดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว บริสุทธิ์ และเป็นธรรม
ผู้สื่อข่าวถามว่า กดดันหรือไม่ที่ญาติผู้ตายให้ความหวังอยากให้คดีอยู่ที่ บช.น.มากกว่าดีเอสไอ พล.ต.ต.อนุชัยกล่าวว่า ชุดพนักงานสืบสวนสอบสวนรับผิดชอบในเรื่องสำนวนชันสูตรพลิกศพ แต่สำนวนคดีอาญาหลักก็ยังความรับผิดชอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ตนคิดว่าคณะทำงานคงไม่หนักใจเพราะเราทำงานกฎหมาย
เมื่อถามว่า คดีทั้ง 13 ศพ มีเร่งรัดคดีไหนหรือไม่ พล.ต.ต.อนุชัยกล่าวว่า ตามกฎหมายการสอบสวนสำนวนชันสูตรพลิกศพได้กำหนดกรอบระยะเวลาการทำงานในแต่ละ คดีไว้ว่า จะต้องดำเนินการให้เสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันที่เจ้าพนักงานทราบเรื่อง แต่เรื่องนี้ได้ผ่านพ้นมาเป็นระยะเวลานานแล้วและเป็นกรณีที่สอบสวนชันสูตร พลิกศพตาม ป.วิอาญามาตรา 150 วรรคแรก เพราะตอนนั้นยังไม่พบว่าการตายเกิดจากการกระทำของเจ้าพนักงาน คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนก็จะเริ่มนับหนึ่ง ในวันที่ 19 ก.ย. วันที่กรมสอบสวนคดีพิเศษส่งสำนวนมาให้
เมื่อถามว่า ถ้าพิสูจน์ออกมาตรงกับดีเอสไอว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ขั้นตอนต่อไปนั้นจะต้องชี้ไปถึงผู้ที่สั่งการหรือไม่ พล.ต.ต.อนุชัยกล่าวว่า ภารกิจของคณะสืบสวนสอบสวนชุดนี้มีหน้าที่สอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานให้ได้ความ ว่า ผู้ตายเป็นใคร ตายที่ไหน ตายอย่างไร ใครเป็นคนทำให้ตาย โดยดำเนินการร่วมกับพนักงานอัยการ ซึ่งจะมีการประสานงานกัน ภารกิจจะเสร็จสิ้นเมื่อส่งสำนวนให้พนักงานอัยการ จากนั้นพนักงานอัยการก็จะส่งสำนวนให้ศาลไต่สวนการตาย เราคงไม่มีอำนาจหน้าที่ในการที่จะสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้องใคร