ที่มา ประชาไท
“สนธิ ลิ้มทองกุล” ชี้จะเกิดวิกฤตน้ำมันแพงอาจถึงลิตรละ 50 บาท แถมวิกฤตอาหาร ภัยพิบัติโลกร้อน แผ่นดินไหว สึนามิ กำลังจะเป็นชีวิตประจำวัน ถ้ามีนักการเมืองเลวอย่างนี้ประเทศจะฉิบหาย เมืองไทยต้องมีผู้นำยุคใหม่ พร้อมกล่าวหา “อภิสิทธิ์” รับงานฝรั่งมาเฉือนแผ่นดินไทยเพราะถือสัญชาติอังกฤษ อัดตอนรับราชการไม่ได้แจ้งว่าถือสองสัญชาติจะถือว่าแจ้งเท็จหรือไม่
สนธิพยากรณ์จะเกิดวิกฤตน้ำมัน โลกร้อน แผ่นดินไหว สึนามิกำลังเป็นชีวิตประจำวัน
เมื่อเวลาประมาณ 20.50 น. วันที่ 24 มี.ค.นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวปราศรัยบนเวทีสะพานมัฆวานรังสรรค์ โดนนายสนธิ ได้กล่าวถึงปัญหาวิกฤติของโลกที่จะส่งผลกระทบทำให้ประเทศไทยได้รับความเสีย หายว่า วิกฤติแรกคือน้ำมันมีแต่จะขึ้นราคาเพราะมีการสูบขึ้นมาใช้จนใกล้จะหมดแล้ว ขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันมีมากขึ้น เพราะคนชั้นกลางเพิ่มขึ้นทั่วโลก ประเทศที่ส่งออกน้ำมันก็ต้องเก็บน้ำมันไว้ใช้ในประเทศของตัวเองมากขึ้น นอกจากนี้โรงกลั่นน้ำมันและท่อส่งน้ำมันในประเทศต่างๆ ที่ใช้มา 30 ปี ถึงเวลาจะต้องเปลี่ยนโดยใช้เงินประมาณ 10 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ค่าใช้จ่ายตรงนี้จะถูกนำมาบวกในราคาน้ำมัน เพราะฉะนั้นราคาน้ำมันมีแต่จะสูงขึ้น และมีโอกาสแตะลิตรละ 50 บาทในปีหน้า
นอกจากนี้เมื่อดูสถิติการเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ทั่วโลก ปี ค.ศ.1000 – 1700 เกิดขึ้น 7 ครั้ง เฉลี่ยทุกๆ 100 ปี เกิดขึ้น 1 ครั้ง ช่วงปี ค.ศ.1700-1800 ช่วง 100 ปี เกิด 6 ครั้ง ค.ศ.1900-1950 เพียง 50 ปี เกิดขึ้น 7 ครั้ง ค.ศ.1950-2000 ช่วง 50 ปีต่อมาเกิด 12 ครั้ง และ ค.ศ.2000-2011 เพียง 10 ปี เกิด 8 ครั้งแล้ว แปลว่าภัยพิบัติโลกร้อน แผ่นดินไหว สึนามิ กำลังจะเป็นชีวิตประจำวันของพวกเรา เพราะมันจะเกิดขึ้นในปริมาณที่ถี่ขึ้นกว่าเดิมมาก ขณะเดียวกันก็มีความแปรปรวนของฝน อุทกภัยก็รุนแรงขึ้น ภัยแล้งก็รุนแรงขึ้น น้ำทะเลก็ท่วมและกัดเซาะชายฝั่งมากขึ้น กรุงเทพฯ จมลง ถ้ามีน้ำเหนือหลากเหมือนปี 2538 กรุงเทพฯ จะจมอยู่ใต้น้ำอย่างน้อย 6 เดือน
ชี้ถ้ามีนักการเมืองเลวประเทศจะฉิบหายต้องมีผู้นำยุคใหม่
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกันอาหารทั่วโลกจะขาดแคลน เพราะการใช้พลังงานมากทำให้เกิดภัยพิบัติมากขึ้น พื้นที่การเกษตรลดน้อยลง สิ่งเหล่านี้คือวิกฤติที่จะมาซ้ำเติมประเทศชาติ ถ้าเรามีนักการเมืองหรือระบบการเมืองที่เลวอย่างนี้ประเทศไทยมีแต่จะฉิบหาย อย่างเดียว เมืองไทยจำเป็นต้องมีผู้นำยุคใหม่ ต้องมีระบบการปกครองที่ไม่มัวแต่ด่ากันในสภา ต้องขุดแก้มลิงทุกเมือง ขุดคลองระบายน้ำลงทะเล ให้ทุกหมู่บ้านทุกตำบลมีสระเก็บกักน้ำของตนเอง ซึ่งนักการเมืองปัจจุบันไม่ทำ ถึงจะทำก็เพื่อทำมาหากินบนภัยพิบัติความทุกข์ยากของประชาชนเหมือนเดิม ไม่มีวันแก้ภัยพิบัติได้เลย
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ในเมื่อโลกจะเกิดวิกฤติอาหาร ทำไมไม่ให้ประเทศไทยเป็นครัวของโลกอย่างจริงจัง อย่ามีแต่ฝีปาก แต่ไปส่งเสริมอุตสาหกรรม เพราะมันหากินได้ง่าย โกงได้ง่าย ปีที่แล้วปตท.มีกำไร 1.5 แสนล้าน ปีนี้จะได้กำไรเหยียบ 2 แสนล้าน ถ้ากำไรส่วนนี้เข้าประเทศหมดเราไม่ว่า แต่ต้องแบ่ง 49 เปอร์เซ็นต์ไปเข้ากระเป๋านักการเมืองที่ถือหุ้นอยู่ นอกจากนี้ มันกระทืบซ้ำพี่น้อง ส่งออกก๊าซธรรมชาติแล้วก็บวกราคาแล้วส่งกลับเข้ามาขายให้พวกเราทันที ซึ่งบริษัทที่ส่งออกไปและน้ำเข้ามาก็เป็นของนักการเมือง มันหากินกับเราไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้ำมัน น้ำมันปาล์ม แก๊สหุงต้ม จึงเหมาะสมกับที่ตั้งฉายาว่าสัตว์นรก
เมืองไทยต้องเป็นประเทศเกษตรไม่ใช่อุตสาหกรรม ดังนั้นเลือกตั้งครั้งหน้าต้องโหวตโน
นายสนธิ กล่าวว่า เมืองไทยต้องการผู้นำที่จะมาแก้ไขปัญหาชาติบ้านเมืองที่ได้รับผลกระทบจากภัย พิบัติทั่วโลก และทำด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เงินทุกบาททุกสตางค์จะต้องลงสู่ประชาชน ทำให้ประเทศน้ำไม่ท่วม พืชผลออกมามาก กำหนดทิศทางไปสู่การเกษตร ไม่ใช่อุตสาหกรรม เมืองไทยทำแบบนี้ไม่ได้ ถ้ามีนักการเมืองแบบนี้อยู่ เพราะฉะนั้นการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งครั้งหน้าต้องโหวตโน คือไม่เลือกพรรคไหน เพื่อประท้วงนักการเมือง ให้โหวตโนทุกพรรค ไม่ว่าพรรคไหน
วันนี้สังคมไทย ถูกนายทุนครอบงำหมด พวกเราต้องรับใช้นายทุน แล้วนายทุนก็ไปครอบงำรัฐบาลอีกต่อหนึ่ง นั่นคือคณาธิปไตย เป็นการเมืองของหมู่คณะ คนจะเล่นการเมืองต้องมีพรรค และทุกคนต้องสังกัดพรรคเหมือนบริษัท ซึ่งจะทำให้สามารถใช้เงินซื้อได้ง่าย กลายเป็นธนาธิปไตย คือเอาเงินมาครอบ และก็จะจบลงด้วยโจราธิปไตย คือการเมืองของพวกโจร
นายสนธิ กล่าวว่า ภัยพิบัติของโลกที่ใกล้ตัวเราเข้ามามากขึ้น ความเป็นอยู่ที่แร้นแค้นมากขึ้น ถูกกดขี่จากนายทุนมากขึ้น เราจะยังทนนักการเมืองสัตว์นรกได้อย่างไร นี่ไม่นับการเฉือนดินแดนขายชาติอีก เพราะฉะนั้นเราต้องแสดงออกด้วยการโหวตโน บอกทุกคนว่าวิธีการที่จะประท้วงนักการเมืองสัตว์นรกคือการโหวตโน ไม่เว้นแม้แต่พรรคการเมืองเดียว เมืองไทยจะอยู่อย่างนี้ต่อไปไม่ได้ ถ้าไม่มีผู้นำที่เก่ง และเอาส่วนรวมเป็นตัวตั้ง นายอภิสิทธิ์วันนี้ ทักษิณเมื่อวาน นายสมัครเมื่อวาน ไม่เอาส่วนรวมเป็นตัวตั้ง แต่เอาส่วนตัวและอัตตาของตัวเองเป็นตัวตั้ง ประเทศจึงเสียหายมาทุกวันนี้
สงสัย “อภิสิทธิ์” รับงานฝรั่งมาเฉือนแผ่นดินไทยเพราะมีสองสัญชาติ
นายสนธิกล่าวว่าในสมัยรัชกาลที่ 5 อังกฤษและฝรั่งเศสคิดจะแบ่งแผ่นดินไทยกันคนละครึ่ง แต่ก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้นเสียก่อน ตอนนี้กำลังสงสัยว่านายอภิสิทธิ์จะรับงานต่อจากฝรั่งยุคนั้นมาเฉือนแผ่นดิน ไทยหรือไม่ เรื่อง 2 สัญชาติของนายอภิสิทธิ์ลึกซึ้งกว่าการมาด่ากัน 2-3 คำ กรณีนายอภิสิทธิ์นั้น เมื่อพ่อแม่ไปแจ้งสถานทูตไทยที่อังกฤษเพื่อแจ้งเกิดและได้สัญชาติไทยแล้วก็ ไม่ได้ไปยกเลิกสัญชาติอังกฤษ นายอภิสิทธิ์จึงน่าจะรู้ว่าตนเองมี 2 สัญชาติมาโดยตลอด แต่เวลาเข้ารับราชการ ไม่ได้แจ้งว่าตัวเองมี 2 สัญชาติ จะถือว่าแจ้งเท็จหรือไม่ โดยเฉพาะเวลาเข้ารับราชการทหารหรือราชการการเมือง ช่องสัญชาติจะต้องกรอก แต่นายอภิสิทธิ์กรอกสัญชาติไทยอย่างเดียว ไม่บอกว่ามีสัญชาติอังกฤษด้วย นี่คือการทำผิดกฎหมายอาญา
นอกจากนี้ ยังผิดหลักขัดกันแห่งผลประโยชน์ เมื่อมารับตำแหน่งทางการเมือง ต้องซื่อสัตย์เปิดเผยต่อประชาชน เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าเมื่อถึงคราวต้องตัดสินใจเวลาชาติไทยกับอังกฤษมี ปัญหาขัดแย้งกัน หรือถ้าต้องทำสัญญาทางราชการระหว่างไทยกับอังกฤษ นายอภิสิทธิ์จะยืนอยู่ข้างไหน นายอภิสิทธิ์อาจจะตอแหลว่ายืนอยู่ข้างไทย แต่ก็มีคำถามว่าทำไมยังไม่ถอนสัญชาติอังกฤษ หรือเมื่อถึงเวลาต้องประกาศสงครามกับอังกฤษ นายอภิสิทธิ์จะกล้าหรือไม่ นายสมัครพ้นจากตำแหน่งเพราะเป็นลูกจ้างบริษัทเอกชน ส่วนทักษิณต้องมีความผิดคดีอาญาเพราะให้เมียซื้อที่ดินจาก บสท. ถือว่าขัดกันแห่งผลประโยชน์ กรณีนายอภิสิทธิ์ถือสัญชาติอังกฤษก็เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ระเบียบราชการยังระบุว่าข้าราชการต้องเป็นสัญชาติไทยเท่านั้น แต่นายอภิสิทธิ์แอบซ่อนมาตลอด เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องเล็ก
อภิสิทธิ์ทำผิดไม่ต่างจากสมัคร-ทักษิณ แถมถือสัญชาติอังกฤษ จึงไม่มีสำนึกความเป็นไทย
สิ่งที่นายอภิสิทธิ์ทำผิดจึงไม่ต่างจากที่เขาอภิปรายนายสมัคร โดยพูดว่านักการเมืองต้องมีจริยธรรมที่สูงกว่าคนธรรมดา และนายอภิสิทธิ์ไม่ต่างจากทักษิณที่ซุกหุ้น ออกกฎหมายเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองทำให้ประเทศเสียหายเป็นแสนล้าน ทั้งสองคนจึงเลวเหมือนกัน
นายสนธิ กล่าวต่อว่า การที่นายอภิสิทธิ์ยังถือสัญชาติอังกฤษ เป็นไปได้หรือไม่ว่าการฉ้อฉลขี้โกงปัญหากัมพูชาก็เพื่อผลประโยชน์ของบริษัท ยักษ์ใหญ่ในอังกฤษ เช่น บริติช ปิโตรเลียม หรือผลประโยชน์อื่นๆ ที่ยังไม่โผล่ขึ้นมาแต่มีฐานจากการซ่อนสัญชาติอังกฤษเอาไว้ สรุปการถือ 2 สัญชาติของนายอภิสิทธิ์ผิด 1.ผลประโยชน์ขัดกัน 2.ปกปิดแจ้งเท็จเรื่องที่นักการเมืองต้องเปิดเผยเพื่อไม่ให้มีการซ้อนเร้นผล ประโยชน์อันมิควร 3.รัฐสนับสนุนให้คนไทยถือสัญชาติเดียวเท่านั้น ตอนที่ทักษิณถือสัญชาติมอนเตเนโกร คนในพรรคประชาธิปัตย์ก็บอกว่าในเมื่อเป็นคนมอนเตเนโกรไปแล้วจึงไม่ควรมายุ่ง เกี่ยวกับการเมืองไทยต่อไป ดังนั้นนายอภิสิทธิ์ก็ไม่ควรมายุ่งกับการเมืองไทยเพราะถือสัญชาติอังกฤษ 4.การถือสัญชาติใดเป็นทั้งสิทธิและหน้าที่ที่ทำให้คนๆ นั้น ผูกพันกับชาตินั้นๆ เพราะฉะนั้นกรณีกัมพูชานายอภิสิทธิ์ก็ใช้ความเป็นชาติอังกฤษมาพิจารณา จึงไม่มีสำนึกความเป็นชาติไทย นี่เป็นจุดตายของนายอภิสิทธิ์ที่ไม่มีนายกประเทศไหนทำ ที่มา:
เรียบเรียงจาก ASTVผู้จัดการออนไลน์