ที่มา Thai E-News
โดย ดร.พิทยา พุกกะมาน อดีตเอกอัครราชทูต
17 เมษายน 2554
ขณะนี้ ผมยังทำธุระอยู่ที่ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นปลายฤดูซากุระ จึงขอส่งบทความเกี่ยวกับดอกซากุระซึ่งมีหลักปรัชญาของพุทธศาสนามาเล่าสู่กันฟัง
มาดอกซากุระเป็นดอกไม้สีขาวอมชมพูที่ขึ้นบนต้นเชอร์รี่ที่คนญี่ปุ่นเรียกว่าต้นซากุระ ต้นไม้ประเภทนี้ มีต้นกำเนิดในประเทศญี่ปุ่น เกาหลี และจีน แต่ในปัจจุบันหาดูได้ในหลายประเทศที่มีอากาศหนาวเย็นเหมือนญี่ปุ่น
เทศกาลชมดอกซากุระเป็นประเพณีเก่าแก่ที่ถือกำเนิดในยุคนาราในญี่ปุ่น คือระหว่างปี คศ. ๗๑๐ ถึง ๗๙๔ ซึ่งก่อนยุคสุโขทัยของเราหลายปี
ในปัจจุบัน เทศกาลชมดอกซากุระถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่ดีงามของญี่ปุ่น ซึ่งมีขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิ คือในต้นเดือนเมษายนของทุกปี
ในช่วงนี้ คนญี่ปุ่นจะอาศัยอากาศที่เริ่มอุ่นขึ้น และพากันออกมาชมดอกซากุระกับเพื่อน ๆ สมาชิกในครอบครัว และคนรัก โดยนั่งรับประทานอาหารและดื่มสาเกญี่ปุ่น รวมถึงร้องรำทำเพลงใต้ต้นซากุระอย่างสนุกสนาน
ในมุมมองของทางปรัชญา ดอกซากุระถือเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตของมนุษย์ซึ่งสอดคล้องกับหลักศาสนาพุทธที่สอนว่า ไม่มีอะไรในโลกที่ยั่งยืนจีรัง โดยเฉพาะชีวิตของมนุษย์ที่มีการเกิด แก่ เจ็บ และตาย
ดอกซากุระจะบานพร้อม ๆ กันในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนเมษายน โดยจะมีอายุเพียงไม่กี่วันก็จะร่วง หากมีฝนและลม ดอกซากุระก็จะร่วงเร็วขึ้น
ฉะนั้น ชีวิตของดอกซากุระตั้งแต่การผลิบานจนถึงการร่วงโรยก็เปรียบเสมือนความไม่เที่ยงของชีวิตมนุษย์เราซึ่งเป็นหลักคำสอนของพระพุทธองค์
อีกทั้งยังเป็นปรัชญาชีวิตของนักรบซามูไรในสมัยก่อน ชีวิตของนักรบซามูไรไม่มีความจีรังเพราะจะต้องจบชีวิตเมื่อใดก็ได้ ไม่ด้วยการทำสงครามก็ด้วยก็ผลีชีวิตด้วยตนเองตามแนวทางของบูชิโด
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ดอกซากุระเป็นดอกไม้ที่ไม่จีรัง ในยามบานก็จะมีลักษณะและสีที่สวยงามยิ่งนัก แต่อีกไม่นานก็ต้องจบชีวิตลงอย่างกระทันหันและน่าใจหาย
ปรัชญาของพุทธศาสนา หรือปรัชญาของดอกซากุระนี้ สอนให้คนญี่ปุ่นรู้จักอดทน รู้จักปลงต่อภัยธรรมชาติเช่นแผ่นดินไหวและซึนามิ และยอมรับสัจจะธรรมแห่งชีวิตซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติ จะฝืนธรรมชาติไม่ได้
คนไทยควรเรียนรู้จากญี่ปุ่นในเรื่องของสัจจะธรรมแห่งชีวิต คือ ไม่มีอะไรที่อยู่ได้อย่างยั่งยืนจีรัง ทุกอย่างที่สร้างขึ้นได้ก็ต้องดับได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจที่ได้มาโดยไม่ถูกต้อง
***************
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:รัฐนาวาจะต้องไปรอด