ที่มา ประชาไท
ทักษิณ ชินวัตรโฟนอินในงานแถลงนโยบายเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย รับถือสัญชาติมอนเตรเนโกร แต่จะไม่สละสัญชาติไทย ลั่นมีความจงรักภักดี และเพื่อไทยได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาลแน่
เช้าวันนี้ (23 เม.ย.) ที่ศูนย์ประชุม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เช้าวันนี้ (23 เม.ย.) มีการประชุมการแถลงนโยบายประกาศความพร้อมสู้ศึกเลือกตั้ง ของพรรคเพื่อไทย ได้มีคณะกรรมการบริหารพรรค ตลอดจนเจ้าหน้าที่พรรคเข้าร่วมประชุม โดยมีการกำหนดคำขวัญหาเสียงของพรรคว่า "ขอคิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อไทยทุกคนอีกครั้ง" โดยจะชูแนวนโยบายว่า "ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ คนเคยทำสนับสนุน”
ในเวลา 11.35 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร วีดีโอลิ้งค์ เข้ามาในงานแถลงเปิดตัวนโยบายของพรรค โดย พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยจะได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลแน่นอน และยืนยันถึงความจงรักภักดี และจะไม่สละสัญชาติไทย
"ผมเป็นคนไทยที่ถูกบังคับให้ถือสัญชาติมอนเตเนโกร แต่จะไม่สละสัญชาติไทย วันนี้ผมจะมาแนะนำนโยบายให้แก่พรรคเพื่อไทย ผมเริ่มจากไม่มีอะไรจนมารวยจากการทำกระดาษให้เป็นเงิน และผมจะทำกระดาษให้เป็นเงินแก่ประชาชน ผมมีฐานะแล้วเข้ามาการเมือง แต่สุดท้ายเขาก็ปล้นทรัพย์ไป ผมเป็นคนกตัญญูขอยืนยันว่านอกจากความจงรักภักดีของทั้ง 2 พระองค์ไม่เคยเปลี่ยนแปลงจากใจผม"
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ในปี 2549 เกิดการรัฐประหาร วันรุ่งขึ้นก็กล่าวหาผมไม่จงรักภักดี นี่คือการเมืองมันดุร้าย ความจงรักภักดีต่อในหลวงเป็นเรื่องอยู่ในใจทุกคนไม่ต้องแสดงออก ความวุ่นวายเกิดขึ้นเพราะหลายคนเอาความจงรักภักดีมาเกี่ยวการเมือง ตนเห็นด้วยกับการที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง เสนอให้ออกระเบียบการหาเสียงห้ามนำสถาบันมาเกี่ยวกับการเมือง นั่นคือนายประพันธ์ นัยโกวิทย์ กรรมการ กกต. ผู้จงรักภักดี ตนจะทำหน้าที่ด้วยความจงรักภักดี พระเจ้าอยู่หัวเป็นประมุข ตนถูกฝึกมาว่าคำสั่งของผู้บังคับบัญชาคือพรจากสวรรค์ จึงต้องเชื่อฟัง
พ.ต.ท.ทักษิณ ยังแสดงความมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลแน่นอน และจะจัดงานเฉลิมฉลอง 84 พรรษายิ่งใหญ่ ส่วนเรื่องประชาธิปไตย เวลานี้ประเทศไทยรั้งท้ายชาวบ้านเพราะผลสำรวจค่านิยมประชาธิปไตย พบค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 52 % แต่ไทยได้อยู่ที่ 32.1%
"ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาเราทำลายกันด้วยคำว่าไม่จงรักภักดี ผบ.ทบ.ออกพูดว่าอย่าบีบให้ต้องจับอาวุธ คุณออกมาพูดทำไมไม่มีใครกลัวใคร ผมกลับไปไม่มีใครทำร้ายราชบัลลังก์แน่นอน" พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว
ที่มา: เรียบเรียงจากเอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์