ที่มา vattavan
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
ถึงแม้สหรัฐอเมริกา จะส่งหน่วยรบพิเศษ บุกเข้าไปสังหาร โอซามา บิน ลาเดน (Osama Bin Laden) ผู้ก่อการร้ายบันลือโลกได้สำเร็จเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่ยังมีการถามไถ่กันมากว่า
“ทำไมสหรัฐอเมริกา จึงใช้เวลานานนัก?”
ครับ...ใช้เวลาถึง 10 ปี!
คำตอบที่ได้รับ อาจมีเหตุผลต่างๆมากมาย แต่จะให้คำอธิบาย เป็นที่ถูกใจหรือพอใจ ของผู้ถามหรือไม่นั้น คงจะต้องตกเป็นดุลยพินิจของผู้ถามเอง
อย่างไรก็ตาม ที่เราเห็นกันชัดเจน คือ “ความมุ่งมั่น” ของชนชาติสหรัฐอเมริกา นั่นคือ
เมื่อใดใครก็ตาม ที่ทำให้อเมริกันเจ็บ เสียหาย หรืออับอาย พวกเขาไม่ยอมเด็ดขาด และพร้อมจะกระโจนลงสู่สนามของการตามไล่ล่า อย่างไม่ท้อถอย จนกว่าพวกเขาจะชนะ หรือพอใจแล้วเท่านั้น!
ตรงนี้ จะเรียกว่าเป็นสันดานของคาวบอย หรือเลือดนักสู้ของอเมริกันชน เพราะบรรพบุรุษของพวกเขา ตั้งประเทศมาได้ ก็ด้วยการต่อสู้ ฝ่าฟันโดยแท้
บรรพบุรุษอเมริกันนั้น มุ่งมั่นบุกไปข้างหน้า ด้วยนโยบายที่รู้จักกันว่า Frontier คือ เมื่อผู้อพยพขึ้นดินแดนจากฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติคได้แล้ว บางส่วนก็มุ่งหน้าไปยังฝั่งปาซิฟิก อย่างที่เคยมีภาพยนตร์ ที่รู้จักกันในชื่อ How the West Was Won ซึ่งแสดงให้เห็นว่า
ปู่ ย่า ตา ทวดของพวกเขา จะต้องผ่านความยากลำบาก ของเส้นทางที่ทุรกันดาร อุดมไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ และการต่อต้านเจ้าของถิ่น อย่างอินเดียนแดง แต่ในที่สุด
อเมริกันชนก็สามารถเอาชนะอุปสรรคทั้งปวง และตั้งประเทศได้อย่างมั่นคง และพัฒนาประเทศ จนเจริญก้าวหน้า ขึ้นมาเป็น...
ผู้นำของโลก!
การใช้เวลาในการไล่ล่า เพื่อเอาคืน หรือล้างแค้น ซึ่งจบลงด้วยการสังหาร โอซามา บิน ลาเดน บิน หรือจะเรียกโดยใช้วาทกรรมงดงามว่า เป็น การทวงคืนความยุติธรรม ที่ประธานาธิบดีโอบามา ใช้คำว่า
Justice has been done.
แต่ไม่ว่าจะใช้ วลีใดก็ตาม แต่ดูเหมือนว่า การสิ้นชีพของ โอซามา บิน ลาเดน จะเป็นที่สะใจของอเมริกันชน และในขณะเดียวกัน ก็ทำให้ผู้นำอีกหลายชาติ ต่างแอบถอนใจลึกๆ ด้วยความโล่งใจ ที่ผู้ก่อการร้ายสนั่นโลกคนนี้ จบชีวิตลงเสียได้
อย่างไรก็ตาม การไล่ล่าที่ใช้เวลายาวนานอย่างนี้ ไม่ได้เกิดกับสหรัฐอเมริกา แต่เพียงชาติเดียวเท่านั้น เพราะปฏิบัติการของชนชาติอิสราเอล ในการตามล่าผู้ก่อการร้ายกลุ่ม ‘Black September’ ก็ห้าวหาญ และใช้เวลานาน ไม่แพ้กันเท่าใดนัก
วันนี้ เลยอยากนำปฏิบัติการไล่ล่า ที่ผ่านมาผ่านมา เกือบ
40 ปี แล้ว ฉายย้อนให้ท่านผู้อ่านได้เห็นกันอีกครั้ง
เมื่อวันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 1972 ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนี กลุ่มผู้ก่อการร้ายชาวปาเลสไตน์ ที่ชื่อว่า ‘Black September’ ได้แฝงตัวเข้าไปในหมู่บ้านนักกีฬา พวกวายร้ายได้จับนักกีฬาอิสราเอล 11 คนเป็นตัวประกัน ท่ามกลางสายตาสื่อมวลชนจากทั่วโลก
ผู้ก่อการร้ายกลุ่มนี้ เรียกร้องให้ปล่อยนักโทษ 250 คนเพื่อแลกกับชีวิตนักกีฬา หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง ตำรวจเยอรมนีตัดสินใจลงมือช่วยเหลือตัวประกัน แต่เกิดความผิดพลาดอย่างฉกรรจ์ กลุ่ม Black September รู้ทัน เลยหันไปถล่มตัวประกัน นักกีฬาอิสราเอลถูกฆ่าตายเกลี้ยง
เรื่องนี้...ช็อคโลก!
ความโศกเศร้าเสียใจ ครอบคลุมชาวอิสราเอลไม่นาน พวกเขาได้แปรเปลี่ยนมัน ให้เป็นความโกรธเกรี้ยวอย่างรุนแรง และเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีหญิง โกลด้า แมร์ (Golda Meir) ตอบโต้แบบฉับพลันทันที ด้วยการโจมตีทางอากาศ ถล่มค่ายผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์แหลกลาญ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 200 คน
ยิ่งไปกว่านั้น คุณย่าโกลด้า แมร์ ยังสั่งการตรงไปหน่วยปฏิบัติการลับของอิสราเอล ที่รู้จักกันในชื่อ มอสสาด (MOSSAD) จัดส่งมือสังหารไปทั่วยุโรป และตะวันออกกลาง โดยมีภารกิจในการสืบค้นและจัดการกับกลุ่มผู้ต้องสงสัย ที่พัวพันกับการสังหารหมู่ที่มิวนิก
ภารกิจมรณะนั้น รู้จักกันในนาม Operation Wrath Of God (ปฏิบัติการพระเจ้าพิโรธ) ครั้งนี้ ผู้บริหารระดับสูงของมอสสาด
เอง ก็ไม่เคยปริปาก หรือแพร่งพรายให้สาธารณชน ได้รับรู้เรื่องปฏิบัติการนี้แต่อย่างใดเลย
(บ้านเราน่าจะเอาเป็นตัวอย่าง เพราะนักการเมืองและข้าราชการ ล้วนแล้วแต่คุยโตโอ้อวดเกินเหตุ ทั้งๆที่ปฏิบัติงานยังไม่สำเร็จ แต่คุยจนฝ่ายตรงข้ามเขารู้ และตั้งรับได้ทัน!)
สายลับ มอสสาด รู้จัก Black September ดีว่าเป็นกลุ่มลับ ที่แยกตัวออกมาจาก องค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ (พีแอลโอ) และบรรดาสมาชิกในองค์การแห่งนี้ ก็ต่อสู้กับอิสราเอลมานานหลายทศวรรษ
มอสสาดใช้ความพากเพียร ในการสืบค้นรายชื่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการสังหารหมู่ที่มิวนิก และในที่สุดก็ได้รายชื่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องถึง 26 คน
หน่วยสืบราชการลับของอิสราเอล ได้ตามล่าคนเหล่านี้ ไปยังดินแดนต่างๆ ทั้งในยุโรปและตะวันออกกลาง อย่างทรหดอดทน และในที่สุดก็ตามสังหารคนเหล่านี้ได้หมด เหลือหัวหน้าคนสำคัญชื่อ
Ali Hassan Salameh (อาลี ฮัสซัน ซาลาเมห์)
เมื่อ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1974 สองปีหลังจากการสังหารหมู่ที่มิวนิก นายยัสเซอร์ อาราฟัต ผู้นำปาเลสไตน์ และทีมงานของเขา ที่ได้รับเชิญไปยังสหประชาชาติ และสิ่งทำให้หน่วยสืบราชการลับมอสสาด ถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด เพราะบุคคลที่ยืนอยู่เคียงข้างกับนายอาราฟัตนั้น ก็คือ
อาลี ฮัสซัน ซาลาเมห์!
การปรากฏกายของฆาตกรอย่าง ‘ซาลาเมห์’ เสมือนเป็นการตบหน้าเจ้าหน้าที่มอสสาด ซึ่งกำลังเฝ้าดูทางโทรทัศน์...
ฉาดใหญ่!!
มอสสาด ออกปฏิบัติการจองเวร ด้วยการตามไล่ล่า อาลี ฮัสซัน ซาลาเมห์ อย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ก็ไม่ปรากฏวี่แววของคนที่ฝ่ายอิสราเอล ต้องการตัวอย่างยิ่ง
เขาเงียบหายไป...นานถึงห้าปี
แต่แล้ว...พระเจ้าก็เข้าข้างฝ่ายผู้ไล่ล่า เพราะในเดือนมกราคม ค.ศ. 1979 สายลับของอิสราเอล ก็พบว่า…
ซาลาเมห์ อยู่ในเมืองเบรุต
และแล้ว...วันตายของผู้ก่อการร้ายปาเลสไตน์ตัวกลั่น ก็มาถึงจนได้ เพราะเมื่อ 22 มกราคม ค.ศ. 1979 รถของซาลาเมห์และองครักษ์ ถูกระเบิด ขณะกำลังแล่นผ่านจุดสังหาร ทำให้หน่วยสืบราชการลับอิสราเอล สามารถปิดตำนาน ‘การสังหารหมู่ ในมหกรรมกีฬาโอลิมปิก’ ลงได้อย่างสมบูรณ์แบบ
พวกเขาล้างแค้น ได้สำเร็จแล้ว!!!
ปฏิบัติการของชาติใหญ่อย่างสหรัฐ ที่รู้สึกเจ็บปวด จากการโจมตีของผู้ก่อการร้าย อัลกออิดะห์ (Al- Qaeda) ในเหตุการณ์ 9/11 หรือชาติที่ไม่ใหญ่ไม่โต แต่มีหัวใจแห่งการต่อสู้อย่างอิสราเอล ในกรณีการสังหารหมู่ในกีฬาโอลิมปิก สิ่งที่ทั้งสองชาติมีสิ่งที่เหมือนกัน นั่นคือ
ความมุ่งมั่น...ที่จะจัดการ กับผู้ก่อการร้าย!
ท่านผู้อ่าน ที่เคารพ
ทราบกันบ้างไหมครับว่า ประเทศไทยเรานั้น เคยได้รับคำชมเชยจากชาวโลก เมื่อคนร้ายปาเลสไตน์กลุ่ม Black September ได้เข้ายึดสถานทูตอิสราเอล เมื่อ 28 พฤศจิกายน 2515 (ปีเดียวกัน กับเหตุการณ์ที่มิวนิก)
รัฐบาลไทยในขณะนั้น สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างเรียบร้อย โดยไม่เสียเลือดเนื้อ ซึ่งชาวโลกได้ยกย่อง และได้แนะนำ ชาติที่ประสบปัญหาแบบเดียวกัน คือ
เมื่อชาติใดมีสถานการณ์ตัวประกัน ให้ดูการแก้ไขปัญหาของประเทศไทย ไว้เป็นตัวอย่าง ที่รู้จักกันในชื่อ
Bangkok Solution!
หมายถึงการไม่เสียเลือดเนื้อ ในกรณีที่มีการจับกุมตัวประกัน โดยนำผลสำเร็จแบบ “กรุงเทพ” เป็นเป้าหมายสำคัญ!!
มาถึงยุคนี้ ผมอยากให้พวกเรา หันมาดูการก่อการร้ายที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง ในเขตสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของเราบ้าง ซึ่งเราได้มีปฏิบัติการปราบปราม ติดต่อมายาวนานหลายปี แต่ผมเองกลับมีความรู้สึก ว่า
ความมุ่งมั่นของพวกเรา...มีน้อยไป!
ปฏิบัติการของ “ผู้ก่อการร้าย” แท้ๆ พวกเรายังบิดเบือน เรียกให้ฟังนุ่มนิ่ม เป็นเพียง...
“ผู้ก่อความไม่สงบ!”
พวกเรา ‘ขี้ขลาด’ ไปหรือเปล่า!?
การปราบปรามผู้ก่อการร้าย ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ดำเนินการมาจนกระทั่งบัดนี้ ทางการของเรายังไม่รู้ว่า
หัวหน้าผู้ก่อการร้ายนั้น...คือใคร?
อยู่ที่ไหนกันแน่?
นอกจากนั้น ปัญหาที่สำคัญอย่างยิ่งอีกเรื่องหนึ่ง คือ เรายังไม่รู้ว่า มันเป็นการก่อการร้าย โดยมีวัตถุประสงค์...
เพื่อการ “แยกดินแดน” จริงหรือไม่?
เวลานี้ ปฏิบัติการที่ภาคใต้ ซึ่งกระทำมานานหลายปีแล้ว และได้ผลาญงบประมาณของชาติไปแล้ว นับแสนล้านบาท แต่กลับดูเหมือนว่า
ปฏิบัติการก่อการร้าย ของกลุ่มหัวรุนแรง ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง สามารถช่วงชิงความริเริ่มในปฏิบัติการ ทำให้รัฐต้องเป็นฝ่ายคอยตามแก้ และที่สำคัญ นั้น...
เวลานี้ ภาพชักจะชัดเจนขึ้นมาทุกทีแล้วว่า เรื่องของ
“การแยกดินแดน” น้ำหนักชักจะน้อยลงไปทุกที แต่การค้ายาเสพติด และการแสวงหาผลประโยชน์โดยทุจริต จากการดำเนิน “ธุรกิจมืด” ต่างหาก คือ
ต้นตอ...ปัญหาที่แท้จริง!
ในการเข้าต่อตีกับผู้ก่อการร้าย อิสราเอลได้คิดยุทธวิธี และเทคนิคใหม่ๆ รวมทั้งการลอบสังหาร ขึ้นมาใช้ ใน Operation Wrath Of God หรือปฏิบัติการพระจ้าพิโรธ แต่บ้านเรายังคงใช้ยุทธวิธีเดิมๆ ในการแก้ไขปัญหา จนมีผู้คนพูดกันว่า
ฝ่ายทหารที่ควบคุมปฏิบัติการ มุ่งที่จะ “เลี้ยงไข้” การก่อการร้าย เพียงเพื่อผลประโยชน์ทางงบประมาณ
ใช่หรือเปล่า?
หรือทางฝ่ายทหาร ที่ได้รับมอบอำนาจ ให้จัดการเรื่องนี้ ขาดความสามารถจริงๆ?
อะไรกันแน่?
หันไปดู การสู้รบทางด้านเขมรกันบ้าง ตอนนี้ผู้คนก็วิพากษ์วิจารณ์ว่า ไทยเราไม่มี “ความมุ่งมั่น” ที่จะเอาชนะศึก ยิงกันไปก็ยิงกันมา และดูเหมือนว่า จะเป็นรองเขมรในเวทีระหว่างประเทศในทุกๆด้าน
ที่ย่ำแย่มาก ก็คือ
การอพยพผู้คน จากถิ่นฐานบ้านช่องเพื่อหนีตายจากภัยสงคราม อย่างที่ผมเล่าให้ฟังในคอลัมน์ก่อนหน้านี้ สร้างความเดือดร้อนลำบากให้กับราษฎรเป็นอย่างยิ่ง
ในการรบติดพัน ที่ผ่านมาร่วมครึ่งเดือนนั้น ผู้คนที่เดือดร้อนมาก กลายเป็นพี่น้องประชาชนคนไทยนับแสน บริเวณชายแดน!
เป็นเรื่องที่น่าแปลก ที่ผู้นำทหารของเรา กลับไม่ไปปรากฏกาย ให้ผู้คนบริเวณชายแดนได้เห็น แม้เพียงเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับทหารในบังคับบัญชา ผู้คนก็นินทาว่า
“อย่ามัวแต่คุยฟุ้งว่าไม่กลัวเขมร แล้วทำตาเหล่ตาเหลือก พูดจาข่มขู่ผู้คน อยู่แต่ในกรุงเทพฯเลยวะ ไม่มีใครเขากลัวเอ็งหรอก โน่น...ออกไปหน้าแนว ให้ผู้คนเขาเห็น บ้างซิโว้ยยยยยย!”
คนไทยใจร้อน ก็ ‘ปากไว’ อย่างนี้แหละ!!
น่าสังเกตว่า
ผู้คนที่อยู่แนวหลัง ก็ไม่สนใจกับการสู้รบชายแดน ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะทหารได้ก่อกรรมทำเข็ญ ด้วยการฆ่าคนไทยด้วยกันเป็นจำนวนมากเมื่อไม่นานมานี้ เพียงเพื่อช่วยให้รัฐบาลโลซกของนายมาร์ค มุกควาย อยู่ในอำนาจต่อไปได้เท่านั้น
ดังนั้น นอกจากเรายังไม่สามารถ เอาชนะประเทศเล็กๆ และยากจน อย่างเขมรได้แล้ว ยังมีเรื่องน่าอายอีกก็คือ
เขมรชิงประกาศ “ชัยชนะ” ไทย ล่วงหน้าไปแล้ว!
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้บังคับบัญชาทหาร ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์เสียหาย เพราะทหารในแนวหน้าเขาส่งเสียงเรียกร้อง ถึงความขาดแคลนในด้านต่างๆ เช่น อาหาร และยา ซึ่งผมได้ยินคุณวาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหาร บอกว่า
ทหารในแนวหน้าต้องการ ยาแก้คัน ผ้าผวยห่มนอน เพราะอากาศหนาว และต้องการอาหารสำเร็จรูป เนื่องจากทหารสองฝ่าย เผชิญหน้ากันในระยะใกล้ ไม่สามารถก่อไฟ หุงหาอาหารตามปกติได้ เพราะจะเป็นการเปิดเผยตำแหน่ง ให้ทหารเขมรรู้ที่ตั้ง และโดนบุกเข้าโจมตีได้ง่าย
มันเป็นไปได้ อย่างไรกัน!
เรื่องความขาดแคลนของทหาร ผมไม่อยากได้ยินเลย เพราะเป็นเรื่องทำลายขวัญกำลังใจ ของผู้อยู่หน้าแนวรบ และฝ่ายทหารเองก็มีงบประมาณมากมาย เพียงพอที่จะจัดแจงเสบียงกรัง เพื่อทหารแนวหน้าได้อย่างสมบูรณ์ โดยไม่ต้องให้ผู้สื่อข่าว อย่างคุณวาสนาฯ ออกมาร้องขอความอนุเคราะห์จากชาวบ้าน (ซึ่งพวกเขาก็ไม่ค่อยจะชอบขี้หน้าทหารอยู่แล้ว) ให้ช่วยส่งสิ่งของที่ขาดแคลน ให้กับทหารแนวหน้า
ผู้บังคับบัญชาทหาร ควรใส่ใจลูกน้องของตัว มากกว่านี้!
หวังว่า จะปรับปรุงเรื่องที่บกพร่องให้ดีขึ้น จะได้ไม่ต้องถูกนินทากล่าวหาว่า กองทัพของเรา เป็น
“กองทัพขอทาน”
มีเรื่องที่อยากจะขอร้องอย่างจริงจัง ไปยังทหารตัวนายว่า ระหว่างที่บ้านเรา ยังมีการศึกติดพัน ขอให้ท่านทั้งหลาย จงงดการเล่นกอล์ฟเอาไว้สักพัก เอาไว้หมดศึกเสือเหนือใต้แล้ว ค่อยเล่นกันใหม่ เพราะมันดูไม่ดีเลย
ลูกน้องไปรบ...ตัวนายเพลิดเพลินอยู่ในสนามกอล์ฟ!
ทุเรศว่ะ!!
นอกจากนั้น เรื่องความฟุ่มเฟือยต่างๆในกองทัพ เช่นการจัดงานราตรีหรูหรา แต่งทักซีโดฉุยฉาย อวดเหรียญตรากัน ในขณะที่ประชาชนกำลังลำบาก ในเรื่องค่าครองชีพ และมีสงครามติดพัน
ก็ไม่เป็นสิ่งที่ควรทำ!
ฉลองกันพอสมควรแก่เหตุ นิดๆหน่อยพอเป็นพิธีก็ดีแล้ว พอเห็นภาพความฟุ้งเฟ้ออย่างนี้ หลุดออกมาทางสื่อ เลยมีการแซวกันเจ็บๆว่า
“แต่งทักซีโด กินเลี้ยงกันหรูหรา ฉลอง F16 หลบ ป.ต.อ.เขมร แล้วชนกันตก ทีเดียว 2 ลำ หรือไงวะ!?”
นอกจากนั้น สถานการณ์ศึกใต้ยังพันตูกันอยู่ ทางด้านชายแดนตะวันออก ทหารไทยก็ยังจัดการกับเขมรไม่สำเร็จ เหตุการณ์ก็ลุกลามบานปลาย ชาวบ้าน ก็ยังหวาดผวา วิ่งหลบกระสุน หลบระเบิด นอนในหลุม กินในท่อ เพราะฝ่ายเขมรมันถล่มเอาไม่ขาดสาย อีกทั้งการพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง ดูโดยรวมแล้ว ก็ยังขาดประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้น การที่พวกท่านยังมาแสดงความฟู่แฟ่ฟุ่มเฟือย ให้ผู้คนที่เขากำลังเดือดร้อนได้เห็น มันทำลายความรู้สึกของชาวบ้าน เพราะเหมือนกับการเยาะเย้ยกัน...
...พี่น้องประชาชน...เขาจะสาปแช่งเอานะโว้ย!!
........................
ท้ายบท รบกันมาจะครึ่งเดือน ทหารไทยตายไปนับสิบ เจ็บอีกร้อย กับอีกหลายสิบ พี่น้องประชาชนกินนอนกัน อยู่ในท่ออย่างที่เห็น
ลองเปรียบเทียบกับ ภาพงานเลี้ยงหรูข้างบน ได้อารมณ์ดีชะมัดเลย
ยังมีกะใจ ฟุ่มเฟือยฟู่ฟ่ากันอีก ให้มันรู้ไป!!!
(***บทความประจำสัปดาห์ ตอน บิน ลาเดน ...ถึงทหารไทย! ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 7 พฤษภาคม 2554)