ที่มา Thai E-News
โดย สุระวิทย์ กลุ่มเรดแคมฟร๊อก
ที่มา Internet Freedom
ผมได้เข้าไปเยี่ยมนักโทษคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 54 ที่เรือนจำจังหวัดมหาสารคาม ตามคำร้องขอของน้องนกแดง เรดแคมฟร๊อก
น้อง นกแดงเป็นคนที่ให้ความช่วยเหลือ เยี่ยมเยียนผู้ต้องขังคนเสื้อแดงที่กรุงเทพอย่างสม่ำเสมอในนามบ้านกบแดง ช่วยเหลือผู้ต้องขังคนเสื้อแดงแม้จะพ้นข้อกล่าวหาหรือได้ประกันตัวแล้วก็ตาม ให้ที่พักก่อนกลับบ้าน ให้อาหาร ประสานงานกับองค์กรช่วยเหลือต่างๆ
น้อง นกแดงได้เล่าให้ผมฟังว่า หลักฐานในคำฟ้องผู้ต้องหาเผาศาลากลางมหาสารคามอ่อนมาก แต่ทำไมผลการตัดสินของศาลจึงออกมาให้จำคุกถึง 5 ปี 8 เดือนได้ ทั้งๆที่หลักฐานมีเพียงภาพที่พวกเขาเข้าร่วมชุมนุม และพยานบุคคลที่เป็นตำรวจ ก็ให้การว่าเห็นจำเลยอยู่ในที่ชุมนุมเท่านั้น
จาก ที่ผมได้เยี่ยมและพูดคุยกับผู้ต้องขังคนเสื้อแดงในเรือนจำจังหวัด มหาสารคามทั้ง 9 คนก็พบว่าพวกเขารู้สึกเจ็บปวดมากกับคำตัดสินเช่นนี้ พวกเขาจำผมได้ครั้งที่เป็นตัวแทนกลุ่มเรดแคมฟร๊อก นำเงินที่ทำกิจกรรมหารายได้จากการโยนโบลิ่งช่วยเหลือผู้ต้องขังคนเสื้อแดง และนำเงินมาแบ่งปันให้คนเสื้อแดงมหาสารคามคนละ 2,000 บาทรวมเป็นเงินที่ช่วยเหลือผู้ต้องขังเรือนจำมหาสารคามครั้งนั้น 20,000 บาท และเขายังจำผมได้
ในครั้งที่ทำกิจกรรมกลุ่มสองขาเพื่อประชาธิปไตย เมื่อผมและสมาชิกกลุ่มนำโดย คุณแป๊ะ บางสนานได้ไปปั่นจักรยานให้กำลังใจเยี่ยมเยียนคนเสื้อแดงทั่วภาคอีสาน โดยกิจกรรมในครั้งนั้น ทางกลุ่มสองขาเพื่อประชาธิปไตยจะเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังเสื้อแดงทุกจังหวัดที่ มีการคุมขังคนเสื้อแดง
แต่ในการเยี่ยมของผมครั้งนี้ต่างจากครั้ง ก่อนอย่างสิ้นเชิง สีหน้าพวกเขาเหมือนหมดหวัง พวกเขาเล่าให้ผมฟังว่า พอรู้ว่าจะได้ขึ้นศาลพิจารณาคดีของพวกเขา พวกเขารู้สึกตื่นเต้น ดีใจ มีความหวัง พวกเขามั่นใจมาก มั่นใจเพราะเขารู้ว่าเขาไม่ได้ทำอย่างที่โดนกล่าวหา ศาลากลางจังหวัดก็ไม่ได้ถูกเผา และหลักฐานพยานต่างๆที่ฝ่ายกล่าวหาพยายามให้พวกเขาเป็นคนเผาศาลากลางนั้น ไม่มีอะไรเลยที่เชื่อมโยงได้ว่าพวกเขาเป็นคนเผาหรือพยายามเผาเลย ศาลน่าจะยกฟ้อง
แต่เมื่อคำพิพากษาออกมาส่วนใหญ่ศาลสั่งจำคุก 5 ปี 8 เดือน อารมณ์ของคนที่มีความหวังมันแตกสลายไปในทันที และความผิดที่พวกเขาเข้ามาร่วมชุมนุม เพียงเพราะเขาไม่เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ฆ่าพี่น้องคนเสื้อแดงนั้น มันต้องจำคุกตั้ง 5 ปี 8 เดือนเชียวหรือ
อย่างกรณีนายภานุพงษ์ พลเสน เล่า ให้ฟังว่า ผมเห็นมีคนชุมนุมและตำรวจทหารปิดถนน ก็เลยเข้าไปร่วมการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553เวลาจวนจะค่ำ ที่บริเวณศาลากลางเก่าจังหวัดมหาสารคาม มีชายแต่งกายคล้ายทหารใส่กางเกงลายพลาง ใส่เสื้อยืดมีเป็นจำนวนมาก เข้าสลายกลุ่มผู้ชุมนุม นายภานุพงษ์ไม่หนี เพราะเขาคิดว่าแค่มาร่วมการชุมนุมเท่านั้น ก็โดนชายที่แต่งกายคล้ายทหารเข้าจับเขาให้ล้มลง แล้วก็เตะเขา เตะแล้วเตะอีก จนเขาต้องยอมให้จับกุม
ภานุพงษ์มารู้ทีหลังว่าชายที่แต่งกายคล้าย ทหารเหล่านั้นได้นำเอาขวดใส่ น้ำมันมาวางข้างๆเขาเพื่อถ่ายรูป และรูปดังกล่าวก็ถูกใช้เป็นหลักฐานว่าเขาเป็นคนเตรียมการเผาสถานที่ราชการ ทุกคนที่ผมไปเยี่ยมพยายามที่จะอธิบายเล่าความอีดอัดให้ผมฟัง จนผมต้องบอกให้เขาเล่าทีละคน
นายสมโภชน์ สีกากูล เล่าว่า ทำไมผมไม่ได้ประกันตัว ผมอยากเข้ารับปริญญา ตอนนั้นผมก็พึ่งเรียนจบ อีกสามเดือนผมจะได้เข้าพิธีรับปริญญา เขาเป็นคนเสื้อแดงเพราะเขาเห็นความไม่ยุติธรรม แต่ตอนนี้เขาได้สัมผัสความไม่ยุติธรรมเข้าอย่างเต็มๆ กฎหมายเขามีไว้เพื่อเหยียบคนชั้นล่างเท่านั้นหรือ ทำไมไม่ให้โอกาสทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
หลักฐานที่จับ กุมผมก็คือ ภาพที่เห็นผมในที่ชุมนุมเท่านั้นไม่ได้มีหลักฐานใดๆที่แสดงให้เห็นว่าผมมี ส่วนในการเผาเลย ถึงผมไม่ได้เรียนกฎหมายแต่ผมก็รู้ในใจผมอย่างที่สุดคือผมไม่ได้ทำอะไรผิด กฎหมาย คนเสื้อแดงมาเป็นพันคนวิ่งหนี ผมไม่วิ่งหนีเพราะผมไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย ผมจึงโดนจับ ที่ผมทำในตอนนั้นก็คือผมต่อสู้เพื่อให้ประเทศนี้มีความยุติธรรมและเป็น ประชาธิปไตยเท่านั้น สิ่งที่ผมอยากได้คือได้โอกาสประกันตัว อย่ามัดมือชกกันแบบนี้ ทุกวันนี้ผมเจ็บปวดมากครับ
นายสุชน จันปัญญา ผมอยากออกไปดูแลแม่และพ่อ พ่อผมป่วยหนักและก็พิการด้วยตอนนี้พ่อก็ต้องนอนอยู่ที่โรงพยาบาล แม่ผมต้องทำงานทุกอย่างเพื่อหารายได้
นายมนัส วรรณวงษ์ ผมเป็นคนขายไอศกรีมวอล เขาว่าผมเป็นคนเสื้อแดง ตำรวจว่าผมเข้าไปร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงทำไม ผมบอกว่าผมไม่ได้ไปชุมนุม ผมไปขายไอศครีม มีคนเยอะที่ไหนผมก็จะไปขายที่นั่นแต่ในส่วนตัวผมแล้วถ้าหากผมชอบเสื้อแดงมัน ก็ไม่น่าจะผิด ผมใส่เสื้อแดงเพราะมันเป็นฟอร์มของไอศกรีมวอลซึ่งมันเป็นสีแดง หลักฐานที่เอาผิดผมก็เป็นแค่คลิปผมวิ่งไปวิ่งมาเท่านั้น หลักฐานที่บอกว่าผมเผาก็ไม่มี และพยานบุคคลที่เป็นตำรวจอ้างในศาลก็บอกว่าเห็นผมวิ่งไปวิ่งมา ไม่ได้บอกว่าผมเผาเลย แล้วตัดสินออกมาได้ยังไงว่าผมผิดแต่หลักฐานที่บอกว่าผมกระทำผิดมันไม่มี ผมสงสัยว่าทำไมทนายของเรา ไม่ให้ผมเอาพยานมายืนยันเพื่อแก้ข้อกล่าวหา ผมมีพยานทั้งเป็นสิ่งของและพยานบุคคล ทำไมทนายจึงเอาแค่คำซักค้านของทนายเป็นพยานเท่านั้น
นายไพรัช จอมพรรษา ผม มีอาชีพปั่นสามล้อ มีคนขอให้ผมไปขนยางรถยนต์ใส่สามล้อผม ผมก็ไปขนยางให้เขา เอายางไว้ที่กลางถนนหน้าโรงเรียนผดุงนารีเท่านั้นห่างจากศาลากลางเป็นร้อย เมตร แต่ทำไมผมต้องโทษคดีเผาสถานที่ราชการ ศาลากลางเองก็ไม่ได้ถูกเผา ผมขอขอบคุณท่านที่ได้ให้ความช่วยเหลือพวกผม ผมอยากออกจากคุกครับ
เขา น่าจะพอแล้วเขาจองจำพวกผมมาก็นานมากแล้ว น่าจะพอได้แล้ว หากจะพิจารณากันตามหลักฐานอย่างเป็นธรรม พวกเขาไม่มีทางที่จะจำคุกพวกผมได้เลย ให้ความเป็นธรรมพวกเราด้วยเถอะครับ
เวลา สั้นๆที่ผมเข้าเยี่ยมมันทำให้ผมพูดคุยกับทุกคนได้ไม่หมด จนเจ้าหน้าที่เรือนจำมายืนที่ประตูห้องเยี่ยมที่ผมใช้เยี่ยมผู้ต้องขังครั้ง เดียว 9 คน เหมือนจะส่งสัญญาณให้ผมรู้ว่านะจะหมดเวลาเยี่ยมแล้วนะ
ผม จึงขอให้ทุกคนเขียนถึงความในใจกับสิ่งที่พวกเขาคิดว่าไม่ได้รับความเป็น ธรรมนั้นเอามาให้ผมในวันหลัง เนื่องจากเวลาที่ผมได้เข้าไปคุยกับพวกเขามันน้อยเกินไป แล้วผมก็จะได้นำเอาสิ่งที่พวกเขารู้สึกคับแค้นใจนั้นมาให้สังคมภายนอกได้รับ รู้ร่วมกันว่า มาตรฐานของกระบวนการยุติธรรมประเทศนี้ต้องมีปัญหาแน่ๆ
ผม จึงเข้าไปถามทนายอาสาท่านนึงที่เคยดูแลผู้ต้องขังเสื้อแดงทั้งหมดนี้เพื่อ ขอทราบว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมผลการตัดสินมันจึงเป็นแบบนี้
ทำไมผู้ ต้องขังคนเสื้อแดงต้องถูกคำพิพากษาจำคุกถึง 5ปี 8 เดือนทั้งๆที่หลักฐานกระทำผิดไม่มีหรือมีก็อ่อนมาก ก็ได้คำตอบว่า เดิมนั้นพวกเขา(ทนายเสื้อแดงอาสา) ก็จะทำคดีนี้อยู่แล้ว แต่ทางพรรคเพื่อไทยได้จัดหาทนายและมีงบประมาณสำหรับดำเนินการมาด้วย ทนายอาสาจึงให้โอกาสทนายที่พรรคจัดหามาให้ดำเนินการ
ซึ่งทนายที่พรรค จัดหามาให้ครั้งนี้ผ่านผู้สมัครสส.บัญชีรายชื่อ ชื่อสส.พิชิต ชื่นบาน เป็นผู้จัดหาทนายผู้หญิงอยู่จังหวัดร้อยเอ็ดมาทำคดีนี้ และทนายท่านนี้ สส.ในพื้นที่อย่างเช่นสส.สุรจิต ยนต์ตระกูล สส.ชัยวัฒน์ ตินรัตน์ ก็เห็นชอบสนับสนุนให้มาทำคดีเพราะมีงบประมาณจากพรรค ทนายอาสาหลายคนอยากเข้ามาช่วยคดีนี้
บางคนติดตามคดีนี้มาตั้งแต่ต้น หลายคนอยากช่วยเพราะความที่มีหัวใจแดงก็ไม่สามารถเข้ามาช่วยทำคดีนี้ได้เลย เพราะถูกกีดกันจากทนายหญิงและสส.ที่สนับสนุน
ทนายอาสาท่านนี้ยังบอก อีกว่า สิ่งที่มันผิดพลาดในคดีนี้คือ คดีว่าความของคนเสื้อแดงงานนี้เป็นงานใหญ่ ควรใช้ทนายที่มีทีมงานที่เข้มแข็ง ไม่ควรใช้ทนายอ่อนหัด เปรียบเหมือนเรากำลังจะซ่อมรถยุโรป เราก็ควรจะใช้ช่างที่มีความชำนาญเฉพาะทางและทีมงานที่มีระบบทำงานที่ดี ไม่ควรใช้ช่างซ่อมรถอีแต๋นมาซ่อมรถเบ็นซ์ ถึงแม้จะเป็นช่างซ่อมรถยนต์เหมือนกันก็ตาม มีการกีดกันไม่ให้ทนายกลุ่มอื่นเข้ามาช่วย
เนื่องจากในระหว่างนั้น กำลังจะเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง ผู้สมัครสส.ในจังหวัดมหาสารคามและสส.บัญชีรายชื่อบางคนจึงพยายามโชว์ความ สามารถเพื่อให้นายทักษิณได้เห็น แต่ไม่ได้คำนึงถึงสิ่งที่จะเกิดผลกระทบต่อผู้ต้องขัง
พวกเขาไม่ได้ คิดที่จะทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อผู้ต้องขัง แต่เป็นการใช้เรื่องการทำคดีของคนเสื้อแดงเพื่อที่จะทำให้ตัวเองได้หน้าเท่า นั้นเอง ยังมีพฤติกรรมไม่ปรกติของสส.พรรคเพื่อไทยในจังหวัดมหาสารคามบางคนที่มีส่วน ในการทำคดีของผู้ต้องขังเสื้อแดง
คือ หลังจากเลือกตั้งสส.แล้วก็มีการเลือกตั้งซ่อมนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด มหาสารคาม แต่สส.ของพรรคเพื่อไทยบางท่านนี้ พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้คนของพรรคภูมิใจไทย ชนะการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด โดยขัดขวางการช่วยเหลือผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวังคนที่พรรคเพื่อ ไทยสนับสนุน
ก่อนออกจากเรือนจำผมก็ได้เจียดเงินจากเงินเดือนของผม เอาไว้ให้เขาใช้คนละ 300 บาท รวม9 คนก็เป็น 2,700 บาท คุณแม่อรแม่ของน้องภานุพงษ์ ซึ่งมาเยี่ยมลูกชายทุกวันรู้สึกดีใจมาก เขาคงไม่ได้ดีใจที่ได้เงิน 300 ร้อยบาทจากผมหรอก แต่อย่างน้อยๆ เขาก็ได้รับรู้ว่ายังมีคนเสื้อแดงอีกหลายๆคนเป็นห่วงพวกเขา ไม่ได้ทอดทิ้งเขา ติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเขาอยู่ตลอดเวลา
ข้อน่าสังเกต
1. จังหวัดมุกดาหาร ศาลากลางโดนเผา แต่ทำไมนักโทษผู้ต้องขังคนเสื้อแดงมุกดาหารได้รับการประกันตัว ซึ่งเปรียบเทียบแล้วคดีของมหาสารคามความร้ายแรงอ่อนกว่ามาก เพราะไม่มีสถานที่ราชการในจังหวัดมหาสารคามถูกเผาเลย
2. ตามที่นายมนัส วรรณวงษ์ ตั้งข้อสังเกต ทำไมทนายของจำเลยไม่ยอมให้จำเลยใช้พยานที่มีทั้งพยานวัตถุและพยานบุคคลใช้ เป็นหลักฐานในการพิจารณาคดี
3. ผู้ต้องหาและญาติทั้งหมด ขอเปลี่ยนทนาย
4. การช่วยเหลือผู้ต้องขังหากทำเพื่อหวังจุดประสงค์อื่น ผลเสียก็จะตกกับผู้ต้องหา ท่านหวังจะได้หน้าแต่ผู้ต้องหากับต้องติดคุกอย่างไม่เป็นธรรม
5. ผู้ต้องขังเล่าว่า ตำรวจที่เป็นพยานชี้ตัวของฝ่ายโจทย์ เป็นตำรวจในพื้นที่ แต่ในวันที่เกิดเหตุคนที่ซ้อมและจับกุมผู้ต้องขัง กลับไม่ใช่ตำรวจเหล่านี้เลย แต่เป็นผู้แต่งกายคล้ายทหาร
6. หลังจากตัดสินคดีแล้ว ญาติผู้ต้องขังพยายามโทรหาทนาย แต่ทำไมทนายจำเลยบ่ายเบี่ยงที่จะไม่พูดกับญาติผู้ต้องขัง
7. การให้ความช่วยเหลือจากองค์กรหลักของเสื้อแดงมีน้อยมาก ญาติเคยไปถามหาความช่วยเหลือจากพรรค และตัวแทนพรรคเพื่อไทยคนนึงบอกกับญาติว่า ให้รอพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล จะได้เงินช่วยเหลือเป็นหลักล้านบาทเลย แต่ความใส่ใจผู้ต้องขังในปัจจุบันนี้แทบจะไม่มีเอาเสียเลย
8. เงินบริจาคศูนย์เยียวยาฯของนปช. เจียดมาให้ผู้ต้องขังทั่วประเทศร้อยกว่าคน คนละพันบาทต่อเดือนได้หรือไม่ เห็นวิทยากร นปช.เบิกกันครั้งละหลายหมื่น ค่าเครื่องบินเยอะไปหรือเปล่า ไปปราศรัยต่างจังหวัดเบิกค่าจัดเวทีก็มี ทั้งๆที่แกนนำต่างจังหวัดเป็นคนจัดทำทั้งหมด
• หากปัญหาพวกนี้ไม่ยอมแก้ไข ก็เป็นเรื่องยากที่จะช่วยเหลือผู้ต้องขังของพวกเราได้อย่างเต็มที่