ที่มา ประชาไท
เปิดตัวคณะรณรงค์ แก้ไขมาตรา 112 ผู้ฟังล้นห้องประชุมศรีบูรพา "ชาญวิทย์ เกษตรศิริ" นำลงชื่อเสนอแก้กฎหมายตามข้อเสนอนิติราษฎร์ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ระบุ ต้องแก้ไขมาตรานี้เพื่อแก้ไขการใช้กฎหมายอย่างฉ้อฉล
เวลา 13.30 น. ที่ห้องประชุมศรีบูพา (หอประชุมเล็ก) มธ. ท่าพระจันทร์ กฤตยา อาชวนิจกุล กล่าวเปิดตัวคณะรณรงค์ แก้ไขมาตรา 112 โดยกล่าวขอบคุณผู้ร่วมลงชื่อและร่วมฟังการเสวนาในวันนี้ เพราะกระบวนการมีส่วนร่วมนั้นเป็นความจำเป็นขั้นพื้นฐานในการสร้างระบอบการ ปกครองระบอบประชาธิปไตย
จากนั้นอ่านแถลงการณ์ โดยระบุว่านับแต่การรัฐประหาร 2549 เป็นต้นมา สถิติการจับกุมด้วยมาตรา 112 เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เฉพาะปี 2553 มีการฟ้องรองถึง 478 ข้อหา นอกจากนี้ความ “จงรักภักดี” ยังได้กลายเป็นอาวุธสำหรับข่มขู่คุกคามและสร้างความเกลียดชังในหมู่ประชาชน และความอ่อนไหวต่อมาตรานี้มักทำให้ผู้ถูกกล่าวหาถูกกระทำอย่างไม่เคารพสิทธิ ขั้นพื้นฐาน เช่น ไม่อนุญาตให้ประกันตน ดำเนินการไต่สวนด้วยวิธีปิดลับ อีกทั้งยังต้องพบกับการกดดันจากสังคมรอบข้างอย่างมาก ทำให้เกิดกรณีล่าแม่มดจำนวนมาก
มาตรา 112 ยังป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้สถานการณ์สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของ ประเทศไทยตกต่ำอย่างถึงที่สุด โดยรายงานปี 2554 องค์กรฟรีดอมเฮาส์เปลี่ยสถานะเสรีภาพของไทยจากกึ่งเสรีเป็นไม่เสรี ส่งผลให้เราอยู่ในสถานกาพเดียวกับเกาหลีเหนือ พม่า จีน คิมบา โซมาเลีย ปากีสถาน
ล่าสุดคดี “อากง” (นายอำพล สงวนนามสกุล) และนายโจ กอร์ดอนได้ทำให้ชื่อเสียงประเทศไทยดังกระหึ่มไปทั้วโลก จนองค์กรระหว่างประเทศและประเทศต่างๆ ได้แสดงความไม่เห็นด้วยกับมาตรา 112
ขณะเดียวกัน ภายในประเทศไทย การเรียกร้องเคลื่อนไหวให้แก้ไขมาตรา 112 ซึ่งในบรรดาการเคลื่อนไหวนี้ กลุ่มนักวิชาการคณะนิติราษฎร์ได้เสนอร่าง พ.ร.บ. แก้ไขมาตรา 112 เพื่อให้สังคมร่วมกันพิจารณา โดยมีสาระสำคัญโดยสรุป คือ
1. ให้ยกเลิกมาตรา 112 ออกจากลักษณะว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของราชอาณาจักร
2. เพิ่มหมวดลักษณะความผิดเกี่ยวกับพระเกียรติของพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และเกียรติยศผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
3. แบ่งแยกการคุ้มครองสำหรับตำแหน่งพระมหากษัตริย์ออกจากการคุ้มครองสำหรับตำแหน่งพระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
4. เปลี่ยนบทกำหนดโทษ โดยไม่มีอัตราโทษขั้นต่ำ แต่กำหนดเพดานโทษสูงสุดจำคุกไม่เกินสามปีสำหรับการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และไม่เกินสองปีสำหรับ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
5. เพิ่มเหตุยกเว้นความผิด กรณีแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต
6. เพิ่มเหตุยกเว้นโทษ กรณีข้อความที่กล่าวหานั้นได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นความจริง และการพิสูจน์นั้นเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ และ
7. ห้ามบุคคลทั่วไปกล่าวโทษผู้ที่ทำความผิด ให้สำนักราชเลขาธิการมีอำนาจเป็นผู้กล่าวโทษเท่านั้น แทนพระองค์”
สำหรับการผลักดันรณรงค์ครั้งนี้ ต้องการรวบรวมรายชื่อประชาชนจำนวน 10,000 รายชื่อ โดยต่อไปนี้จะรณรงค์โดยคณะรณรงค์ 112 หรือ “ครก. 112”
การรณรงค์นี้ใช้เวลา 112 วัน โดยเอกสารที่ต้องใช้ คือ สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน ซึ่งลงนามรับรองเอกสารถูกต้อง และแบบฟอร์มขก. 1 โดยสามารถดาวน์โหลดเอกสารได้ที่ www.ilaw.org และส่งเอกสารทั้งหมดได้ที่ ตู้ปณ 112 ไปรษณีย์กรุงเทพฯ 10200
‘นิธิ’ ระบุ แก้ 112 เพื่อแก้ปัญหาการใช้กฎหมายอย่างฉ้อฉล
ภายหลังการเปิดตัวครก. 112 มีการเปิดวีดีทัศน์ปาฐกถาโดยนิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ ซึ่งเขาระบุว่าในปัจจุบันนี้ ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะให้สถาบันกษัตริย์เป็นปฏิปักษ์ต่อประชาธิปไตย ระบอบกษัตริย์ที่ดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงในหลายๆ ประเทศทั่วโลกล้วนเป็นระบอบกษัตริย์ที่อนุวัตรตามระบอบประชาธิปไตย
ประเด็นต่อมาคือสัดส่วนของการลงโทษในความผิดมาตรานี้ ไม่สอดคล้องกับความผิดที่กระทำเท่าใดนัก นั่นคือเป็นข้อบังคับแน่นอนตายตัว ไม่มีทางเลือกอื่นอีก คือ
ถ้าจำเลยถูกพิพากษาว่ามีความผิด ต้องถูกจำขัง 3 ปี เป็นอย่างต่ำ 15 ปี เป็นอย่างสูง แล้วเมื่อเอาความผิดนี้ไปเทียบกับการหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาก็จะพบว่าแตก ต่างกันมาก และรุนแรงกว่าที่ควรจะเป็น
ทั้งหมดเหล่านี้เป็นเพราะเหตุที่เราไปเอามาตรา 112 ไปอยู่ในหมวดความมั่นคงของรัฐ ผู้กระทำความผิดต้องเกี่ยวข้องหรือมีเจตนาชัดเจนว่ามุ่งทำลายความมั่นคงของ รัฐ ถ้าป็นการกระทำที่ไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น โทษก็ยิ่งต้องลดลงไป
อีกประเด็นหนึ่งที่มีความสำคัญไม่น้อย คือ อำนาจในการกล่าวหาฟ้องร้องบุคคลที่กระทำความผิดตามมาตรานี้ คือให้ทุกคนมีสิทธิที่จะกล่าวหาฟ้องร้องอย่างไรก็ได้ ถ้าเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความั่นคงของรัฐ แต่ปรากฏว่า มาตรานี้ถูกใช้พร่ำเพรื่อ ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง หรือแม้แต่ใครไม่ชอบหน้าใครก็สามารถนำไปฟ้องร้องกล่าวโทษได้ ฉะนั้น จึงต้องมอบให้หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งที่จะวินิจฉัยว่าควรหรือไม่ควรกล่าว โทษฟ้องร้องตามมาตรานี้
สถาบันกษัตริย์เป็นสถาบันการเมืองอย่างปฏิเสธไม่ได้ ฉะนั้นคดีที่เกี่ยวกับมาตรา 112 โดยตัวของมันเองจึงมีนัยยะทางการเมืองด้วย การตัดสินใจจะดำเนินคดีหรือไม่ ต้องใช้การพิจารณามากกว่าการบัญญัติของกฎหมาย บางครั้งการไม่ดำเนินคดี อาจจะเป็นผลดีต่อสถาบันฯ มากกว่า ไม่ใช่ใครก็ตามสามารถฟ้องร้องได้ ต้องมีหน่วยนงานที่จะใช้วิจารณญาณ
ตัวกฎหมายที่มีอยู่ทุกวันนี้ เปิดช่องให้มีการใช้กฎหมายไปในทางที่ฉ้อฉลต่อเจตจำนงค่อนข้างมาก ฉะนั้นพยายามบอกว่า ตัวกฎหมายไม่มีปัญหา ขอให้เราแก้ไขเฉพาะแนวปฏิบัติอย่างเดียว ไม่มีหลักประกันว่า การป้องกันการปฏิบัติที่ฉ้อฉลจะเป็นผลหรือไม่ และผู้ที่พูดว่าปัญหานี้เป็นปัญหาในทางปฏิบัติ ภายใต้รัฐบาลที่กล่าวเช่นนั้นเองก็มีการฟ้องร้องหลายร้อยคดี
เมื่อใช้กฎหมายอย่างฉ้อฉล ภายใต้วัฒนธรรมและการเมืองที่เป็นเช่นทุกวันนี้ ก็ยิ่งทำให้การใช้กฎหมายฉ้อฉลมากขึ้นไปอีก เช่น เจ้าหน้าที่ไม่กล้าตัดสินใจไม่ฟ้อง ดังนั้นจึงต้องแก้ที่ตัวกฎหมายเพื่อให้ในทางปฏิบัติจะไม่มีใครนำมาตรานี้ไป ใช้อย่างฉ้อฉลได้
ภายหลังการปาฐกถาของนิธิ เอียวศรีวงศ์ ผู้ดำเนินรายการได้ประกาศว่า รายชื่อแรกของการร่วมรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 ตามข้อเสนอของนิติราษฎร์ คือ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเข้าร่วมฟังการเสวนาดังกล่าวด้วย โดยได้รับเสียงปรบมือจากประชาชนผู้เข้าฟังการเสวนาอย่างกึกก้องด้วย
หมายเหตุ: งานเสวนานี้เป็นส่วนหนึ่งของงาน "แก้ไขมาตรา 112 กิจกรรมวิชาการและศิลปวัฒนธรรม" ซึ่งจัดโดย "คณะกรรมการรณรงค์แก้ไขมาตรา 112" เวลา 13.00-17.00 น. ณ หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประกอบไปด้วยการแสดงละครเวที การตอบคำถามทางวิชาการ และการอภิปรายข้อเสนอเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ของคณะนิติราษฎร์ ซึ่งประชาไทจะทยอยนำเสนอต่อไป