WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Thursday, January 19, 2012

USAตบหน้าฉาดใหญ่ไม่ให้วีซ่าDSIบุกสอบคนไทยในอเมริกา บอกตรงๆไม่ให้ความร่วมมือคดี112-จบมั้ย?!

ที่มา Thai E-News

พ.ต.อ. ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดี DSI หัวหน้าชุดสอบสวน"คดีผังล้มเจ้า"ยอมรับว่า ได้ขอวีซ่าเข้าสหรัฐฯเพื่อเข้าไปสอบสวนคนไทยที่ฟังการปาฐกถาของนายจักรภพ เพ็ญแข เพื่อเป็นหลักฐานสำคัญ แต่เมื่อทำหนังสือแจ้งไปยังสถานทูตสหรัฐฯว่าDSIต้องการไปสอบสวนคนไทยใน สหรัฐฯในประเด็นดังกล่าว ส่งผลให้สถานทูตสหรัฐฯแทงเรื่องกลับโดยระบุว่าหากจะสืบสวนสอบสวนประเด็นนี้ สหรัฐฯไม่ให้ความร่วมมือ และการไม่ได้รับอนุมัติวีซ่าก็เป็นการไม่ได้รับอนุมัติทั้งคณะ


เว็บไซต์ASTVผู้จัดการ กระบอกเสียงของพันธมิตร พาดหัวข่าวเรื่อง ฮือฮา! อเมริกาไม่อนุมัติวีซ่าหัวหน้าทีมทำคดีล้มเจ้า

อธิบดีดีเอสไอ ยอมรับ คณะพนักงานสอบสวนคดีล้มเจ้า ยังไม่ได้รับการอนุมัติวีซ่า จากทางการสหรัฐฯ ที่ขอเพื่อเดินทางไปสอบปากคำพยานที่ต่างประเทศ ระบุ ต้องเลื่อนเดินออกไปอีก 1-2 เดือน ขณะที่มีรายงานแจ้ง ผู้ที่ขอวีซ่าไม่ผ่าน คือ พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข หัวหน้าทีมสอบสวน

วันนี้ (18 ม.ค.) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เปิดเผยกรณี พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐ หรือคดีล้มเจ้าตามผัง ศอฉ.พร้อมคณะทำงานอัยการคดีพิเศษ จะเดินทางไปรวบรวมข้อมูล สอบปากคำพยานเกี่ยวกับการกระทำผิดคดีล้มเจ้าที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้วีซ่าจากสถานทูตสหรัฐอเมริกา ซึ่งคาดว่าอยู่ระหว่างการพิจารณาให้วีซ่าเข้าประเทศ ทางดีเอสไอ และคณะทำงานอัยการคดีพิเศษ คงรอให้ได้รับอนุญาตเรียบร้อยจึงจะเดินทางไป

ด้าน นายวินัย ดำรงค์มงคลกุล โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด และอธิบดีอัยการคดีพิเศษ กล่าวว่า ได้อนุญาตให้พนักงานอัยการคดีพิเศษและอัยการสำนักงานต่างประเทศ จำนวน 2 ท่าน ร่วมเดินทางไปกับดีเอสไอเพื่อสอบปากคำพยานเกี่ยวกับการกระทำความผิดคดีล้ม เจ้าที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนจะเดินทางไปตามกำหนดเดิมหรือไม่นั้น ยังไม่ทราบ

ทั้งนี้ มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ดีเอสไอและคณะทำงาน มีกำหนดจะเดินทางไปประเทศสหรัฐอเมริกา ในวันอาทิตย์ที่ 22 ม.ค.นี้ แต่เมื่อยังไม่ได้รับการอนุมัติวีซ่าจากทางการสหรัฐอเมริกา ทำให้จำเป็นต้องเลื่อนการเดินทางออกไปประมาณ 1-2 เดือน โดยคดีหมิ่นเบื้องสูง นั้น ประเทศสหรัฐอเมริกาไม่ได้มีกฎหมายหรือระบุว่าเป็นความผิดในคดีอาญา

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า สำหรับบุคคลที่สหรัฐอเมริกายังไม่ได้อนุมัติวีซ่า คือ พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนนั่นเอง ทำให้เรื่องราวที่เกิดขึ้น เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ ในหมู่ข้าราชการดีเอสไอ ว่า เกิดอะไรขึ้น และทำไม พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข ไปขอวีซ่าแล้วไม่ได้รับการอนุมัติ

ทางด้านกรุงเทพธุรกิจ รายงานในเวลาต่อมาว่า นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวระบุว่าสถานทูตสหรัฐอเมริกาไม่อนุมัติวีซ่าให้ กับพ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีดีเอสไอ หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีว่าด้วยการละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์(คดีล้ม เจ้า) ว่า การไม่อนุมัติวีซ่าเป็นปัญหาเรื่องของถ้อยคำที่ไม่สมบูรณ์หรือไม่ครบถ้วนของ เอกสารการขอวีซ่า จนเป็นเหตุให้สถานทูตสหรัฐฯไม่อนุมัติออกหนังสือเดินทางให้พนักงานสอบสวน ซึ่งไม่ใช่ประเด็นของการไม่อนุมัติให้พ.ต.อ.ประเวศน์ หรือไม่อนุมัติวีซ่าให้หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีล้มเจ้า เนื่องจากคณะพนักงานสอบสวนไม่ได้มีประวัติอยู่ในแบล็กลิสต์ โดยขณะนี้ได้มีการปรับปรุงถ้อยคำให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นเพื่อนำไปยื่นขออนุมัติ ทำวีซ่าใหม่แล้ว

ด้านพ.ต.อ.ประเวศน์ กล่าวว่า พนักงานสอบสวนคดีล้มเจ้าชุดใหม่ ต้องการเดินทางเข้าประเทศสหรัฐฯเพื่อเข้าไปสอบสวนคนไทยที่ร่วมฟังการปาฐกถา ของนายจักรภพ เพ็ญแข ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (เอฟทีทีซี) เพื่อให้ได้หลักฐานที่ชัดเจนว่า ในวันเวลาดังกล่าวมีการจัดปาฐกถาจริงหรือไม่ และมีการพูดจาจาบจ้วงสถาบันหรือไม่

โดยประเด็นดังกล่าวพนักงานอัยการที่ร่วมเป็นพนักงานสอบสวนระบุว่าเป็นหลัก ฐานสำคัญพนักงานสอบสวนจำเป็นต้องได้ข้อมูลนำมาประกอบในสำนวนการสอสวน แต่เมื่อทำหนังสือแจ้งไปยังสถานทูตสหรัฐฯว่าดีเอสไอต้องการไปสอบสวนคนไทยใน ประเด็นดังกล่าว ส่งผลให้สถานทูตสหรัฐฯแทงเรื่องกลับโดยระบุว่าหากจะสืบสวนสอบสวนประเด็นนี้ สหรัฐฯไม่ให้ความร่วมมือ ซึ่งขณะนี้ดีเอสไอได้ยื่นเรื่องไปใหม่แล้วว่าจะเป็นการขอเข้าไปพูดคุยธรรมดา ไม่ใช่การสอบสวน ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องการมีชื่อติดบัญชี หรือแบล็กลิสต์ใดๆ ทั้งสิ้น และการไม่ได้รับอนุมัติวีซ่าก็เป็นการไม่ได้รับอนุมัติทั้งคณะ ไม่ใช่เฉพาะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง

เครือข่ายเสื้อแดงโลกเตือนDSIยุติไล่ล่าแดงต่างแดน จ่อดำเนินคดีกงสุลLAฐานเป็นมาเฟียเหนือกม.สหรัฐ


กรณีนี้ไทยอีนิวส์เคยนำเสนอข่าวเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2554 มาครั้งหนึ่ง โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้

ตามที่ไทยอีนิวส์ได้นำเสนอข่าว DSIเบ่งกล้ามข้ามโลก ส่งกงสุลข่มขู่ขบวนการของคนเสื้อแดงในแอลเอ หลังจัดตาสว่างกลางอเมริกา เหตุการณ์อเมื่อวันที่ 7 ก.พ.ที่ผ่านมา นายคมกฤช จองบุญวัฒนา (ซ้าย) บุกไปหาคนเสื้อแดงแอลเอ ถึงที่พักโดยมิได้นัดหมาย ตอนแรกอ้างตัวมาจากDSI พอซักหนักเข้ายอมรับว่าเป็นกงสุลไทยประจำแอลเอ โดยแจ้งว่าเดือนหน้าDSIจะมาเอง ให้ไปให้การกรณีเสื้อแดงแอลเอจัดงาน แล้วเชิญนายจักรภพ เพ็ญแข โฟนอินมาสนทนาตั้ง 2 ปีมาแล้ว แต่คนเสื้อแดงอเมริกากังขาว่าเป็นการมาคุกคามมากกว่า เพราะเสื้อแดงในอเมริกากำลังขยายตัวเติบใหญ่ท้าทายระบอบปกครองเผด็จการ อำมาตย์ในไทย

ล่าสุดเครือข่าวคนเสื้อแดงทั่วโลกได้ออกแถลงการณ์ฉบับหนึ่ง เตือนให้สถานกงสุลไทยประจำแอลเอ ,DSI และรัฐบาลเผด็จการของไทย ยุติการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ทั้งแจ้งว่า จะดำเนินคดีต่อสถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอส แองเจลีส อันมี นายดำรง ใคร่ครวญ เป็นผู้รับผิดชอบ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยนายธาริต เพ็งดิษฐ์ และรัฐบาลไทย โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โทษฐานละเมิดสิทธิมนุษยชน และล่วงล้ำอำนาจแห่งกระบวนการยุติธรรมของสหรัฐอเมริกา

โดยรายละเอียดแถลงการณ์มีดังนี้


แถลงการณ์ของเครือข่ายคนเสื้อแดงทั่วโลก:DSI โปรดสำเหนียก

ท่ามกลางสถานการณ์จุดไฟสงครามกับเพื่อนบ้านในการยิงปืนใหญ่ และระเบิดโต้ตอบกับกองกำลังทหารเขมรที่อำเภอกันทลักษณ์ใกล้ปราสาทพระวิหาร อันทำให้ชาวบ้านที่เคยอยู่อย่างสงบสุขนับร้อยครอบครัวต้องอพยพหลบภัยละทิ้ง ที่อยู่อาศัย ในขณะที่ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในเมืองต้องเผชิญกับปัญหาสินค้าอุปโภค บริโภคขึ้นราคาสูงผิดปกติ แล้วยังขาดแคลนไม่มีจำหน่าย

รัฐบาลไทยชุดปัจจุบันที่ได้ชื่อว่า “เทพประทาน” อันมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และนายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ กำลังประกอบกรรมทำเข็ญอีกทางหนึ่ง นอกเหนือจากที่ได้ทำการสังหารประชาชนที่คิดต่างไปแล้วอย่างน้อย ๙๑ ราย บาดเจ็บกว่าสองพัน ในการขอคืนพื้นที่สี่แยกคอกวัว วันที่ ๑๐ เมษายน ไปถึงการกระชับพื้นที่ราชประสงค์วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ปี ๒๕๕๓

บัดนี้หน่วยงานลักษณะเกสตาโปของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ภายใต้สมัญญานามว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ ซึ่งรับช่วงปฏิบัติการมาจากศูนย์อำนวยการภาวะฉุกเฉิน (ศอฉ.) ในการตามล้างตามผลาญคนเสื้อแดงผู้เรียกร้อง และต้องการประชาธิปไตย ให้บ้านเมืองบังคับใช้กฏหมายอย่างเที่ยงตรงไม่เป็นสองมาตรฐานนั้น

ได้ทำตัวเป็นดั่งมาเฟีย ส่งคนออกไปคุกคามข่มขู่นักกิจกรรมเพื่อประชาธิปไตยเสื้อแดงถึงในนครลอส แองเจลีส สหรัฐอเมริกา

ปรากฏว่าเมื่อวันจันทร์ที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ นี้เองได้มีเจ้าหน้าที่สถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอส แองเจลีสนายหนึ่งนามว่า คมกฤช จองบุญวัฒนา ไป เคาะประตูขอคุยกับนักกิจกรรมเสื้อแดงคนหนึ่งถึงอพ้าร์ตเม้นต์ที่พัก แรกทีเดียวเจ้าหน้าที่นายนี้อ้างตัวว่าเป็นคนของดีเอสไอ หลังจากพูดคุยซักถามรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับการจัดอภิปรายโดยนายจักรภพ เพ็ญแข นานมาแล้ว นายคมกฤชจึงยอมรับว่าตนเป็นเจ้าหน้าที่ประจำสถานกงสุลที่รับงานมานัดหมาย เรียกตัวนักกิจกรรมดังกล่าวให้ไปพบเมื่อเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเดินทางมาถึง

การกระทำดังกล่าวของเจ้าหน้าที่สถานกงสุลไม่เพียงแต่ล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชนของบุคคล แล้วยัง บังอาจใช้วิธีการซ่อนเร้น อีแอบ และหมกเม็ด ในการคุกคาม และข่มขู่ต่อพลเมือง หรือผู้อยู่อาศัยถาวรของประเทศที่ยึดมั่นในหลักการแห่งอธิปไตยของปัจจเจกชน อย่างเปี่ยมล้นเช่นสหรัฐอเมริกา

การกระทำอย่างอุกอาจละเมิดสิทธิอาณาเขต และก้าวร้าวต่อบุคคลเชื้อชาติไทย โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลทำนองนี้ เคยปรากฏมาแล้วเมื่อไม่นานมานี้ตามรายงานข่าวที่ปรากฏในไทยอีนิวส์กลางปีที่ แล้ว ว่าเจ้าหน้าที่ดีเอสไอสองคนเดินทางมานครลอสแองเจลีสผ่านทางสถานกงสุล ได้ติดต่อเข้าสอบสวนพลเมืองอเมริกันเชื้อสายไทยนายหนึ่ง ถึงกรณีที่เขาเคยเข้าไปเล่นเว็บที่มีการวิจารณ์สถาบันกษัตริย์ไทยนานนับสิบ ปีมาแล้ว ชาวอเมริกันเชื้อสายไทยผู้นั้น ได้ทำการฟ้องร้องทางการไทยต่อหน่วยงานสิทธิมนุษยชน ขณะนี้คดีความไปถึงกรรมาธิการรัฐสภาสหรัฐแล้ว

สำหรับกรณีที่เพิ่งเกิดขึ้นอีกในลอส แองเจลีสนี้ ได้มีการส่งข่าวแพร่หลายไปตามเว็บไซ้ท์ และกลุ่มเรียกร้องประชาธิปไตยไทยทั่วสหรัฐ (Red in USA) อย่างรวดเร็วภายใน ๒๔ ชั่วโมง และได้มีการทำหนังสือเวียนส่งถึงชาวอเมริกันอื่นๆ โดยกลุ่มRed USA/Chicago ใจความตอนหนึ่งว่า

“There were many cases of human rights violations. Draconian Les Majeste laws were used to silence freedom of speech. Thousands and thousands of web sites were closed or blocked. Intimidations were wide spread. Thai Media were afraid to speak the truth.
.................
If you think Egypt is worst--- Thailand is far worst. ...”


ส่วนในลอส แองเจลีส กลุ่ม Red USA/LA ได้ปรึกษากันแล้วเห็นว่า การที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ผ่านทางสถานกลสุลใหญ่ แอล.เอ. กระทำการก้าวก่ายสิทธิส่วนบุคคล โดยบังอาจจัดให้มีสายไปเรียกตัวบุคคลเพื่อการสอบสวนทางอาญา โดยไม่ผ่านกระบวนการทางกฏหมายของประเทศที่เขาอยู่อาศัยเช่นนี้ เป็นการละเมิดต่อสิทธิ และเสรีภาพส่วนบุคคลอย่างร้ายแรง

แล้วยังคุกคามความสงบสุขของคนกลุ่มใหญ่ เนื่องจากมีคนเชื้อชาติไทยในนครแห่งนี้เป็นจำนวนมากที่พร้อมใจในการรณรงค์ เพื่อประชาธิปไตยสำหรับประเทศไทย และร่วมกันดำเนินกิจกรรมในนามของเสื้อแดงอย่างสม่ำเสมอ การข่มขู่สมาชิกคนใดคนหนึ่งย่อมเป็นการเขย่าขวัญคนทั้งกลุ่มพร้อมกันไปโดย ปริยาย

ดังนี้กลุ่ม Red USA/LA จึงเห็นพ้องกันที่จะดำเนินคดีต่อสถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอส แองเจลีส อันมีนายดำรง ใคร่ครวญ เป็นผู้รับผิดชอบ กรม สอบสวนคดีพิเศษ โดยนายธาริต เพ็งดิษฐ์ และรัฐบาลไทย โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โทษฐานละเมิดสิทธิมนุษยชน และล่วงล้ำอำนาจแห่งกระบวนการยุติธรรมของสหรัฐอเมริกา

ทั้งนี้ได้มีการติดต่อกับทนายความผู้เชี่ยวชาญเรื่องคดีสิทธิมนุษยชน สังกัดสำนักทนายใหญ่แห่งหนึ่งของนครลอส แองเจลีสแล้ว ส่วนรายละเอียดของรูปคดีและขั้นตอนการดำเนินการจะได้มีการนำเสนอให้สารธารณ ชนทั้งในและนอกประเทศไทยได้รับทราบเป็นระยะๆ

ในระหว่างที่ทนายความตัวแทนของคนเสื้อแดงกำลังรวบรวมเอกสารหลักฐาน ค้นคว้าข้อกฎหมายและคดีที่ใช้เป็นมาตรฐานอ้างอิงเพื่อดำเนินการฟ้องร้อง เราขอแจ้งให้ทราบว่า หากเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลไทยยังกระทำการอันเป็นการคุกคามคนเสื้อแดงทั้งในที่ อยู่อาศัย เคหะสถาน และ/หรือสถานประกอบการและธุรกิจ เกี่ยวกับคดีต่างๆ และกิจกรรมของคนเสื้อแดงที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลเผด็จการไทย เราจะแจ้งเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นผู้มีอำนาจตามกฏหมายให้จับกุมตัว และดำเนินคดีกับตัวแทนรัฐบาลไทยนั้นๆในทันที แม้เอกสิทธิ์ทางการฑูตจะเป็นเกราะปกป้องมิให้ท่านต้องถูกจับกุมคุมขังก็ตาม แต่การกระทำของบุคคลตัวแทนรัฐบาลไทยเหล่านั้น จะถูกนำมาเป็นพยานและหลักฐานประกอบคดี Harassment and Intimidation ซึ่งจะยังคงดำเนินการอยู่อย่างต่อเนื่อง

อนึ่ง ต่อการที่นายคมกฤช เจ้าหน้าที่กงสุลแจ้งต่อนักกิจกรรมเสื้อแดงว่ าให้รอรับการเรียกตัวไปสอบสวนโดยเจ้าหน้าที่ดีเอสไอที่จะเดินทางมาแอล.เอ. และจะชวนใครไปด้วยก็ได้นั้น เราขอให้ท่านพึงสำเหนียกว่า ท่านไม่มีอำนาจเรียกตัวคนที่อยู่อาศัยในสหรัฐไปสอบสวน (แม้ว่าจะใช้วาทกรรม "ขอคุย" ก็ตาม)

การใช้อำนาจในฐานะตัวแทนรัฐบาลไปละเมิดสิทธิ์ผู้อื่นอาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมากต่อชื่อเสียงของประเทศ

แถลงการณ์มา ณ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2554

RED USA – LA
RED USA – NY
RED USA – IL
RED USA – FL
RED USA – TEXAS
RED USA – LAS VEGAS
RED USA – ARIZONA
RED USA – MICHIGAN
RED JAPAN
RED TAIWAN
THAI RED AUSTRALIA
RED GERMANY
RED BELGIUM
RED FRANCE
RED NORWAY
RED DENMARK
RED FINLAND
UDD Thai of Eu

แนะนำวิธีรับมือและตอบโต้กรณีรัฐบาลเผด็จการคุกคามคนไทยต่างแดน

คุณดวงจำปา เขียนกระทู้ในกระดานสนทนาInternet Freedom เรื่อง สืบเนื่องจากกระทู้ DSI ส่งคนมาที่ Los Angeles -แนว ทางแก้ไขค่ะ ถ้ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นนะคะ คนที่อยู่ในบ้านต้องปฏิบัติดังนี้

1. เรียกตำรวจท้องถิ่นทันที
2. ถึงแม้ว่า ตัว Consul จะได้รับการปกป้องโดยสิทธิทางการฑูต หรือ Diplomatic Immunity ซึ่งทางผู้บังคับใช้กฎหมายท้องถิ่น ไม่สามารถทำอะไรกับเขาได้ก็ตาม ขอร้องให้ผู้บังคับใช้กฎหมาย ลงบันทึกรายวัน เป็นลายลักษณ์อักษรไว้
3. อธิบายด้วยว่า เขามาข่มขู่ และ สืบข้อมูลเรื่องอะไร
4. ติดต่อกับ News Agency หรือ สื่อมวลชนในท้องถิ่น อธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น (ข้อนี้สำคัญมาก และเป็นการย้อนศรที่เจ็บแสบ)
5. จดทะเบียนรถ หรือ รูปรถที่มันขับมาด้วย ว่า เป็นรถอะไร สีอะไร และทะเบียนอะไร ถ่ายรูปไว้เลยนะคะ
6. กรุณาอย่าไปที่สถานฑูตไทย เพราะทางการฑูต เขามีสิทธิเท่าเทียมกันกับดินแดนของประเทศไทย คุณจะต้องอยู่นอกสถานฑูต เพราะยังถือว่า เป็นดินแดนของประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่ พวกนี้จะต้องการหลอกล่อให้ท่าน เข้าไปในเนื้อที่ของสถานฑูต เพราะสามารถดำเนินการกับท่านทางกฎหมายไทยได้


สิ่งที่สำคัญคือ คุณอย่าไปเซ็นเอกสารอะไรโดยเด็ดขาด คุณมีสิทธิทุกอย่างในการอัดเสียงหรือนำพยานบุคคลที่เป็นคนไทย มาอยู่กับท่านได้ เรื่องนี้ ไม่คำนึงถึงสถานะของคุณเลยนะคะ เขาไม่มีสิทธิที่จะถามถึงเรื่อง Green Card หรือแม้แต่ใบขับขี่ของคุณ

สิทธิของคุณยังถูกปกป้องด้วยรัฐธรรมนูญของประเทศสหรัฐอเมริกา ในบทเพิ่มเติมที่ 5 และบทเพิ่มเติมที่ 7 ค่ะ ไม่มีใครมาพิจารณาคดีของคุณได้ และคุณยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ และสามารถเฉยเมยไม่พูดอะไรได้ทั้งสิ้น

บุคคลผู้นี้ ไม่ใช่ผู้บังคับใช้กฎหมายค่ะ ถ้ามีจริง อำนาจศาลของเขา จะขัดกับอำนาจทางศาลของท้องถิ่น ซึ่งเขาจะมีปัญหาในการเข้ามากร่างในดินแดนในเมืองเหล่านั้นค่ะ

บุคคลผู้นี้ จะใช้การข่มขู่ทางจิตวิทยา หรือ Psychological intimidation เป็นต้นว่า ถ้าไม่ร่วมมือ คุณจะกลับเมืองไทยไม่ได้ หรือ ครอบครัวที่เมืองไทยของคุณ จะมีปัญหา อย่างนู้นอย่างนี้ ถ้าไม่ได้ช่วยเหลือเขา

บุคคลผู้นี้ ไม่ได้ถือคำสั่งจากศาลท้องถิ่น และไม่มีสิทธิ์อะไรในท้องถิ่นค่ะ ผู้ถือหมายศาลจะเป็น Police, Sheriff หรือ Court Officers เท่านั้นค่ะ นายคนนี้ กำลังปฎิบัติการใช้อำนาจซ้อนอำนาจศาลท้องถิ่น ในการใช้ Diplomatic Immunity เข้ามาบังหน้าค่ะ

ในฐานะที่เคยทำงานต่อการบังคับใช้กฎหมายมาก่อน ดิฉันขอบอกให้ท่านทราบว่า ตัว Police & Sheriff ในท้องถิ่น เขาไม่ชอบแน่ๆ ที่มีคนมาใช้อำนาจต่างๆ ในเขตบังคับใช้กฎหมาย หรือ Jurisdiction ของเขาค่ะ ยิ่งถ้าไม่ได้ติดต่อกับพวกเขาก่อนแล้ว ถือว่าเป็นการไม่ไว้หน้าค่ะ (ขนาด FBI จะมาปฎิบัติการในท้องถิ่นนั้น เขายังต้องติดต่อกับผู้บังคับใช้กฎหมายของท้องถิ่นก่อนเลย ว่า เขาจะ takeover เคสนั้นๆ)

เรื่องแบบนี้ ถ้าเกิดขึ้นเกิน 2 หนขึ้นไป จะมีการสืบค้นเองค่ะ เพราะถือว่า ตัวกงศุล ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ กับบุคคลที่อยู่ในท้องถิ่นนั้น ทางผู้บังคับใช้กฎหมาย เขาก็คงจะไม่พอใจ ที่มีคนมาสร้างอำนาจในท้องถิ่นของเขา เรื่องบันทึกรายวันนั้น คุณสามารถส่งไปให้กับสื่อต่างๆ ได้ เอาให้สื่อมวลชน ลงข่าวให้หนักเลย จะดีไหมคะ?

ขอแนะนำให้ติดต่อกับ Fox News, NBC, ABC หรือ CBS นะคะ เอาให้มันเสียไปเลย เรื่องสื่อมวลชนนี้ เป็น Worst Nightmare ของบุคคลเหล่านี้จริงๆ เพราะถึงแม้จะมี Diplomatic Immunity แต่ที่นี่เขามี Freedom of Expression กันนะคะ ว่า จะออกข่าวยังไง เขาเอาคุณกร่างนี้ ไม่เลี้ยงค่ะ

ถ้ามาทาง Ohio ก็บอกให้ทราบก่อนนะคะ แต่คิดว่า คงอยู่ทาง West Coast มากกว่า จะมากร่างแถบ Midwest ก็เชิญเลยค่ะ ยินดีต้อนรับเสมอ...

Diplomatic Immunity มันสู้ข่าวกระจายทางเนท และ โดยสื่อมวลชนไม่ได้หรอกค่ะ คุณกงศุลจะทำอะไรบ้าๆ บอๆ แบบนี้ คราวหลัง ก็ดูแล้วกันว่า คุณจะเอาชื่อเสียงของประเทศ มาสู้กับฝ่ายสื่อมวลชนที่นี่ จะเอาไหมคะ?


แปลข้อความข่าวจาก Thai-eNews โดย: ดวงจำปา

Constitutional Rights Violations by the Thai Mafia Diplomat on the U.S. Soil


This story had just recently happened. On the late morning of Monday, February 7, 2011, local time in Los Angeles, USA, Mr. Komkrich Chongbunwatana, a Thai Consulate from Royal Thai Embassy, as seen from the enclosed business card, spontaneously appeared in front of a small apartment and inquired about one of the Red-Shirt members who has been residing in the USA without setting up any prior appointments or notices. He, himself, claimed that he was an officer from the Thai’s Department of Special Investigation, ( DSI.)

However, the business card given turned out to display of his genuine place of employment, which is the Royal Thai Consulate in Los Angeles.

The objective of his visit, based on what he informed this head of the household, was that he had been acting on the behalf of the DSI’s executive order by informing that the DSI officials will be traveling to Los Angeles, in order to interview and investigate Mr. Jakrapob Penkair’s case. The Consul requested this individual to travel to the Royal Thai Consulate’s office in Los Angeles when the DSI officers arrive next month. He also stated that this individual could bring anyone with him.

The strangest thing that puzzled everyone was how this Consul, who claimed that he was from DSI, knew about this Red-shirt individual’s name and the address.

After 30-40 minutes of conversation between an uninvited guest and the Red-shirt individual currently rents this small apartment, had been circling on the topics of Mr. Jakrapob Penkair’s speech that was delivered in the United States. Some of the questions involved were regarding to the event’s promoter, the sources of the capital and expenditures, the audiences, the contents in Mr. Jakrapob’s speeches, and of course, any Lèse Majesté contents in the speech, etc.

After discussing for over several minutes, that Red-Shirt individual decided to vent on the injustices and double standard practices by the aristocrats and the Thai’s administration. However, Consul Komkrich continued listening pleasantly without revealing his big pile of documentation that he had been carrying regarding what types of documents they were or why he carried them or whether they were real documents but had the tape recording surveillance hidden underneath.

If that Red-shirt individual had no job, this conversation (or the correct definition of interrogation) should be longer than expected.

The story of Mr. Jakrapob’s speech in Los Angeles happened over several years ago. Why do they presently need to interview and investigate the Red-Shirt individuals who are living in the USA?

Has the Red-shirt movement in the USA been growing better and stronger on the daily basis, until the aristocrats and the Thai tyrannical administration could no longer bear? If the Red-Shirt movements have not been eliminated since they are little, they will definitely become major obstacles for the aristocrats in the near future.

The recent overseas travel of MP Sunai Julaponsathorn from Pua Thai political party, in order to deliver his speeches at several major cities in the United States, by having the Red-Shirts members in Los Angeles became a centralized location for the main event titled, “Eye-opening in the USA,” was undoubtedly proven that the Red-shirt movements in various cities around the USA were truly harmonized. They exchanged their data and information and had efficient ways of creating effective communications and they were ready to unite themselves in order to encounter the tyrannical strengths of the dictatorial nobles.

This must be the reason why they decided to resurrect Mr. Jakrapob Penkair’s story in order to intimidate the Red-Shirt movement in the USA.

However, no matter what the hidden agenda might be, please contact Consul Komkrich Chongbunwatana at telephone number (323) 610-1752 whether Mr. Tarit Pengdit, the DSI Director-General, will conduct his own investigation.

--------------------------------------------------------------

Fifth Amendment of the United States Constitution consists of this part:

Individual can refuse to testify by invoking the Fifth Amendment, which states that nobody may be forced to testify as a witness against himself or herself.

มาตราห้าของบทเพิ่มเติม กล่าวไว้ว่า

บุคคลสามารถปฎิเสธที่จะให้การได้ โดยการกล่าวถึงบทเพิ่มเติมที่ห้าจาก รัฐธรรมนูญของประเทศสหรัฐอเมริกา, ซึ่งได้กล่าวว่า ไม่มีใครสามารถบังคับตัวบุคคลนั้น ให้การเป็นพยานได้เลย คือ ไม่ต้องพูดอะไรทั้งสิ้นค่ะ



Seventh Amendment of the United States Constitution:

In Suits at common law, where the value in controversy shall exceed twenty dollars, the right of trial by jury shall be preserved, and no fact tried by a jury, shall be otherwise re-examined in any Court of the United States, than according to the rules of the common law."

บทเพิ่มเติมที่ 7 ของรัฐธรรมนูญประเทศสหรัฐอเมริกา ว่าด้วยการขอรับการตัดสินพิจารณาความโดยคณะลูกขุน

ในดคีฟ้องร้องตามกฎหมายคอมมอนลอว์ ที่มีมูลค่าเกินกว่า ยี่สิบดอลลาร์ สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาโดยคณะลูกขุนให้ทรงไว้และข้อเท็จจริงใดที่ลูกขุน พิจารณา แล้ว ศาลใดแห่งสหรัฐจะพิจารณาใหม่ เป็นอย่างอื่นผิดไปจากกฎเกณฑ์ แห่งกฎหมายคอมมอนลอว์มิได้


*****************************

ถ้าบุคคลใดถูก กงศุลผู้นี้กลั่นแกล้ง กรุณาแจ้งความที่ สำนักงานบังคับใช้กฎหมายภายในท้องถิ่นของท่านด้วย เพราะบุคคลผู้นี้ กำลังใช้อำนาจนอกเหนือรัฐธรรมนูญของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยการข่มขู่ พลเมืองถาวรของประเทศ โดยปราศจากหมายศาลและเขตอำนาจของศาลในประเทศสหรัฐอเมริกา

*********
เรื่องเ้กี่ยวเนื่อง



-เปิดใจ "หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีล้มเจ้า" คนใหม่ : เขาหาว่าผมเป็นเสื้อแดง