ที่มา thaifreenews
โดย ลูกชาวนาไทย
ตามปกติ ผมไม่ค่อยสนใจข้อมูลวงในมากนัก เพราะข้อมูลวงในมันเป็นเพียงข้อมูลใครตั้งใจจะทำอะไร ที่ไหนเท่านั้น แต่จะสำเร็จหรือไม่ มันไม่ได้ขึ้นกับคนที่ตั้งใจทำ แต่มันขึ้นกับตัวแปรอื่นๆ ด้วย
ดังนั้นในการวิเคราะห์การเมืองผมชอบ มองข้อมูลที่เป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นมากกว่า แล้ววิเคราะห์ย้อนกลับไปยังความตั้งใจของคนที่ตัดสินใจ เพราะไม่มีใครที่จะทำอะไรโดยปราศจากจุดหมายอย่างแน่นอน
การปรับ ครม. ปู2 ครั้งนี้มันมีปรากฎการณ์หลาย ๆ อย่างที่เราสามารถวิเคราะห์ได้ เช่น อำนาจการต่อรองของ นายกฯปู ที่คิดว่ามีน้อยนั้น มันไม่จริง ที่จริง ตอนตั้งรัฐบาลใหม่ๆ นายกฯปู เป็นคนใหม่ ยังไม่รู้จักคนในวงการเมืองเลย ยังไม่เห็นการทำงานของทีม การตัดสินใจเลือก ครม. เอง คงเป็นไปได้ยากเพราะไม่รู้จักใครมากมายนัก ก็ต้องฟังคำแนะนำของพี่ชาย พี่สาว พี่สะใภ้ที่รู้จักคน รู้จักกลุ่มทางการเมือง นี่เป็นเรื่องปกติธรรมดามาก เพราะตัวเองก็คงไม่รู้ฝีมือของนักการเมืองแต่ละคน หรือ "อำนาจทางการเมืองของแต่ละกลุ่ม" ต่อให้พี่สาว พี่ชาย พี่สะใภ้ ไม่ได้เข้ามาช่วย เขาก็ต้องถาม ต้องปรึกษาอยู่อยู่ดี
แต่พอทำงานไปได้ 6 เดือน นายกฯปู เขาก็รู้ว่าใครมีฝีมืออย่างไร การตัดสินใจเอง กุมบังเหียนเอง ก็ต้องตามมาแน่นอน คงไม่ถึงกับเป็นกบถกับพี่ชาย เพราะเขาก็ทำงานด้วยกันมาตลอดชีวิต เขาคงมีรูปแบบการทำงานด้วยกันอยู่แล้ว
การ ปรับ ครม. ครั้งนี้ เราเห็นทิศทางที่ชัดเจนอย่างหนึ่งคือ มีการเด้ง พล.อ.ยุทธศักดิ์ ออกจาก รมต.กลาโหม ปลดโกวิท วัฒนะ ออกจากรองนายกฯ และตั้ง พล.อ.อ.สุกำพล เป็น รมต.กลาโหม
ตรงนี้กระทบกับยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับพวกอำมาตย์อย่างแน่นอน ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงลอยๆ อย่างแน่นอน
ผม เชื่อว่าหกเดือนแรกของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยนี้ ทักษิณได้ยื่นมือไปขอจับมือกับพวกอำมาตย์ ใช้ไม้อ่อน และความอ่อนน้อม เพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมืองด้านการปรองดองแห่งชาติ แต่ไม่ได้รับการตอบสนองจากพวกอำมาตย์เท่าที่ควร อาจเป็นเพราะ พวกอำมาตย์ประเมิน "อำนาจของตัวเองสูงเกินไป" หยิ่งยโสเกินไป ไม่รู้ว่าพลังอำนาจของพวกเขานั้นไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนเดิมแล้ว ยังคิดว่าพวกตน "มั่นคงดุจภูผาหิน" อยู่ (ที่จริงมันคือปราสาททรายต่างหาก) และการทำรัฐประหารในสถานการณ์เช่นนี้นั้นยากมาก หรือเกิดขึ้นไม่ได้เลย เมื่ออำนาจตรงนี้ไม่มี การกลัวของทักษิณ ก็คงหมดไป เหมือนที่ผมเขียนบทความเรื่องทักษิณกลัวซากศพขงเบ้ง ตอนนี้ทักษิณอาจวิเคราะห์ได้แล้วว่า ที่จริงนั้นขงเบ้งตายแล้ว มีแต่ซากศพเอามาหลอก ไม่ได้มีชีวิตหรือมีความน่าเกรงขามเหมือนเดิมอีกแล้ว
ดัง นั้น ทักษิณจึงเปลี่ยนยุทธศาสตร์ เป็นการแข็งกร้าวมากขึ้น ตามยุทธศาสตร์ที่ผมวิเคราะห์ไว้ คือ ต้องให้ฝ่ายตรงข้ามมาขอปรองดองด้วย ไม่ใช่ไปขอปรองดองจากพวกเขา พวกเขาไม่มีน้ำยาเหลืออยู่แล้ว และต้องทำให้รู้ด้วยว่าไม่มีน้ำยาแล้ว
พล.อ.อ. สุกำพลนั้น พลาดตำแหน่ง ผบ.ทอ. เพราะการทำรัฐประหารปี 2549 ดังนั้น จึงเป็นความแค้นจริงๆ ศัตรูตัวจริงของพวกทำรัฐประหาร คงไม่พาทหารไปกราบเท้า พล.อ.เปรม เหมือน พล.อ.ยุทธศักดิ์อย่างแน่นอน และสุกำพล ก็มีเข็มมุ่งที่ชัดเจนในการแก้ไข พรบ.จัดระเบียบกลาโหม ดังนั้น การตั้งสุกำพลเป็น รมต.กลาโหม สุกำพล คงลุยเอง ไม่ต้องให้ทักษิณสั่ง
ส่วน พล.ต.อ.โกวิท นั้นตั้งเป็น รองนายกฯ เพราะมีข่าวว่าจะไปเจรจาต่อรองกับพวกอำมาตย์ได้ แต่ก็ทำไม่ได้ไม่มีผลงานอะไร ปลดออกไป ก็โอเค ไม่อย่างนั้นก็เสียโควต้าไปเปล่าๆ
การตั้ง ณัฐวุฒิ เป็น รมช. เกษตร เป็นการส่งสัญญาณอย่างหนึ่งว่า "ฉันไม่แคร์พวกอำมาตย์" เท่าไหร่แล้วนะโว้ย จะตั้งแกนนำเสื้อแดงเป็น รมต.เสียอย่าง มีปัญหาหรือไม่
ผมว่าสัญญาณ เป็นแบบนั้น แน่นอนคุณณัฐวุฒิ มีฝีมือ มีความสามารถ นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่สัญญาญที่ออกไป คือ ต่อไปนี้ เราจะเป็นฝ่ายรุก เพราะเรารอคนมาเจรจาสันติภาพ เกือบ 6 เดือนแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครมา เราก็ต้องเตรียมรุกต่อไปได้ ดำเนินการในยุทธศาสตร์ต่อไปได้
ดังนั้น ผมคิดว่าตอนนี้ทักษิณมีการเปลี่ยนแปลงท่าที หรือยุทธศาสตร์อย่างแน่นอน แต่คงไม่ถึงกับแตกหัก ตายกันไปข้างหนึ่ง
แต่จะไม่ใช้ไม้อ่อนอย่างเดียวแบบเดิมแล้ว
ประกอบ กับ 6 เดือน ที่ผ่านมา นายกฯปู สามารถยืนหยัดได้ค่อนข้างมั่นคงแล้ว ทำให้ท่าทีที่แข็งแกร่งขึ้นนั้นสามารถดำเนินการได้ เพราะตอนแรกก็คงเกรงเป็นแบบนายกฯสมชาย ที่อยู่ได้แค่สามเดือน
แต่เจ้ ปู อยู่มาได้ เกือบ 6 เดือนแล้ว การจะอยู่ได้อีก 1 ปี นั้น น่าจะไม่มีปัญหาอะไร เพราะเจ้ปูแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ชำนาญมากขึ้นเรื่อยๆ
ผม เคยเขียนบทความตั้งแต่สมัยหาเสียงแล้วว่า เจ้ปูนั้น "พัฒนาการเร็วอย่างยิ่ง" ใครอย่าประมาทเธอเพราะมีรูปโฉมที่สวยงามอย่างเด็ดขาด ตอนหาเสียงแรกๆ คุณปูนั้นพูดบนเวทีหากเสียงได้นิดเดียวด้วยซ้ำ แต่พียงแค่ 3 สัปดาห์ การหาเสียงที่เชียงใหม่ เจ้ปูก็สามารถพูดได้อย่างมีพัฒนาการที่เห็นได้ชัด ดังนั้น หากดูด้วยสายตาที่พินิจพิเคราะห์อย่างดีแล้ว จะเห็นว่า นายกฯปู นั้นไม่ได้หยุดนิ่ง แต่มีพลวัตรก้าวหน้าในอัตราที่รวดเร็วมาก เป็นคนที่เรียนรู้เร็วอย่างยิ่ง การโจมตีว่าเธอเป็นโคลนนิ่งก็เป็นแค่การโจมตีทางการเมืองเท่านั้น แต่พูดบ่อยทำให้ฝ่ายที่พูดประมาทเธอมากจนเกินไป
การปรับ ครม.ครั้งนี้ บอกได้เลยว่านายกฯ ปูนั้นไม่ใช่ตะเกียงที่ขาดน้ำมัน
แต่เธอเป็นประเภท กำปั้นเหล็กหุ้มกำมะหยี่ หรือ "สวยประหาร" อย่างที่บางคนพูด
เธออยู่มาได้เกือบครึ่งปี โดยที่ฝ่ายตรงข้าม หรือประชาชนมีความรู้สึกว่า เธอเพิ่งเป็นนายกฯ อยู่มาหยกๆ ยังใหม่ๆ อยู่เลย
ตรงข้ามกับนายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ได้หกเดือน ชาวบ้านก็รู้สึกหนักจนคิดว่าอยู่มาหลายสิบปีแล้ว เมื่อไหร่จะไปเสียที