ที่มา Thai E-News
โดย ระยิบ เผ่ามโน
ช่วงนี้ดูทีเหมือนว่าขบวนการต้านทักษิณในคราบของ
พธม. ที่เคยฟู่ฟ่าจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง ด้วยน้ำมือการป่วนขั้นเทพของกลุ่มเสื้อเหลืองในแอล.เอ.
ซึ่งนัยว่าสามารถทำให้งานต้อนรับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ในใจกลางย่านฮอลลีหวูดเกิดความวุ่นวายแทบจะล้มทั้งยืน
จนเป็นที่สงสัยกันมากว่าอะไรทำให้คนไทยที่อยู่ในอเมริกาจำนวนหนึ่งเป็นไปได้ถึงขนาดนั้น
ช่างตรงกันข้ามกับบรรยากาศแวดล้อมด้วยจิตวิญญานประชาธิปไตยในสหรัฐ ถ้าหากเป็น พธม.
ในเมืองไทยก็ไปอย่าง ดังที่ปรากฏในการโต้ตอบทางทวิตเตอร์ของสลิ่มนายหนึ่ง
“ดูคลิปซิครัฟ คนถ่ายน่าจะแดง เข้าถึงงานเลย
ตำรวจเมกาเปิดทางคุมอย่างนั้น ใครจะเข้าไปทุบรถได้ถึง ไอ้สัด” และ “สัด ไม่มีภาพ
ไม่มีคลิป หัวกะดอ พูดหมาๆ ว่าคนอื่น เหี้ยหางแดง”
นั่นเป็น
“ถ่อย” คำของผู้ใช้ฉายา @higgsmen โต้เถียงกับผู้อ้างข่าว นสพ.ไทยรัฐว่ากลุ่ม พธม.ที่ไปชุมนุมโห่ด่าหยาบคาย
และปิดทางไม่ให้คนเข้าไปร่วมงานต้อนรับพ.ต.ท. ทักษิณ ในลอส แองเจลีส
มีการทุบรถในขบวนบุคคลสำคัญเสียหาย
โดยถ้าดูจากการยกเท้าถีบรถของหญิงคนหนึ่งในคลิปนี้
http://www.go6tv.com/2012/08/la.html
ก็จะไม่ข้องใจเลยว่าการประท้วงครั้งนี้ร้อนแรง และหยาบคายเพียงใด
ถึงจะไม่มีคลิปที่ใช้เป็นหลักฐานเอาผิดตามตัวบทกฏหมาย
ก็มีพยานบุคคลรู้เห็นแล้วเล่าขานกันมา
เพียงแค่การเสนอข่าวบิดเบือนของเครือผู้จัดการที่ขึ้นแป้นรอโพสต์ก่อน
เหตุการณ์สิ้นสุดนั้นไม่มีทางลบล้างความจริงได้
แถมด้วยใบเสร็จจากจดหมายเวียนฉลองชัยที่พวก
PAD ส่งถึงกันหลังเสร็จกิจป่วนงานต้อนรับทักษิณ
จนอดีตนายกรัฐมนตรีเปลี่ยนแผนไม่เข้าไปปรากฏตัว แต่ใช้การ (โฟนอิน) โทรศัพท์เข้าไปปราศรัยแทน
ย่อมแสดงถึงเจตนาชัดแจ้ง
“ขอคารวะนักสู้ผู้กล้าทุกท่านที่ช่วยกันพิสูจน์แล้วว่า พธม. LA ไม่มีวันให้มึงชูกำปั้นใส่หน้าได้ พวกมันต้องขับรถวนไปวนมาจนเลยเวลานัดปราศัย
8PM ก็แล้ว ทดสอบให้ลูกน้องมาลองดูก็แล้ว
ไม่สามารถฝ่าคลื่น พธม. ที่ block ทางเข้าจำนวนหลายร้อยคน”
หรือจากการรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์เอเซียนแปซิฟิคนิวส์
หนังสือพิมพ์ภาษาไทย-ลาว ตีพิมพ์ในลอส แองเจลีส ที่เป็นศูนย์กลางสื่อสาร
และขยายผลกันในหมู่พธม. ว่า “กลุ่มประท้วงเดินไปมาเพื่อปิดทาง เข้า-ออกไทยแลนด์พลาซ่า
ซึ่งถือเป็นกฎเกณฑ์ของการประท้วงห้ามหยุดอยู่กับที่ ไม่เช่นนั้นจะถือว่าปิดกั้นการจราจรถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมได้”
นี่ก็สอดคล้องกับเสียงบ่นของเสื้อแดงที่ไปร่วมงาน
ว่าได้แจ้งตำรวจรักษาการณ์ให้ไล่ผู้ประท้วงที่ปิดทางเข้างานออกไป
ตำรวจบอกว่าไล่ไม่ได้เพราะพวกเขาเดินไปมาเมีการคลื่อนไหวไม่ได้ปักหลักอยู่กับที่
ทำให้ผู้ตั้งใจไปร่วมงานที่เดินทางมาถึงหลังๆ ไม่สามารถฝ่าแนวเข้าไปได้
บางคนถูกก่อกวนด้วยการยกมือตบเขย่าจ่อตรงหน้าโดยไม่ให้ถูกต้องตัว
จะมีก็แต่หญิงคนหนึ่งที่ใช่เท้าเตะจนถูกตำรวจกักตัวใส่กุญแจมือ
แล้วปล่อยตัวไปในภายหลัง เพราะเจ้าทุกข์ไม่ได้ไปแจ้งความเอาผิด หรือ press charge
รวมทั้งกรณีการใช้วาจาหยาบคายตะโกนใส่
ซึ่งฝ่ายเสื้อแดงบอกแก่ตำรวจรักษาการณ์ว่าถูกยั่วยุอย่างนั้น
ก็ได้คำตอบจากตำรวจว่านั่นเป็นส่วนหนึ่งใน freedom of speech
เหล่านี้เป็นปัญหากวนใจให้หลายต่อหลายคนต้องตั้งคำถามว่า
ทำไมคนไทยในอเมริกาบางส่วนถึงได้เป็น พธม. ในลักษณะที่นอกจากจะแสดงอาการกักขฬะเช่นในครั้งนี้แล้ว
ทีผ่านมายังเต็มไปด้วยความงมงายในเรื่องของการจงรักภักดี นบนอบต่อเผด็จการ และ abuse หลักการประชาธิปไตย
ถือตนว่ามีเสรีเต็มที่
แล้วไม่เคารพเสรีภาพผู้อื่น ดังที่รายงานข่าวของ น.ส.พ.เอเซียนแปซิฟิคอีกตอนบอกว่า
“เพราะถือว่าวันนี้ทำงานประสบผลสำเร็จมาก โดยการแสดงพลังให้เห็นว่าพ.ต.ท.ทักษิณไปไหนมาไหนในแอล.เอ.ไม่ได้ง่ายดังคิด”
เป็นเสรีภาพในการแสดงพลังที่เปิดช่องให้ยับยั้งได้แต่เฉพาะด้วยอำนาจเด็ดขาด
หรือพลังที่เหนือกว่าเท่านั้น
นี่คือความคิดตามสัญชาติญานของสิ่งมีชีวิตยุคดึกดำบรรพ์ที่บรรดาบุคคลผู้ถูกเอ่ยนามในจดหมายเวียนถึง
PAD L.A. ผู้เป็น “สุดยอดนักสู้”
ไม่ว่าจะเป็น “คุณแว่น คุณศักดิ์ คุณ Danny....คุณวนิชย์ คุณบรรลพ น้ากรอบ คุณนา อี๊สองท่าน...คุณบุญชู และคุณเตียว”
ล้วนสำคัญผิดในจิตวิญญานแห่งเสรีภาพด้วยกันทั้งขบวน
ว่าการใช้เสรีภาพแบบตาต่อตาฟันต่อฟันมิได้จัดอยู่ในมิติของผู้มีอารยะ
คำถามทำนองเดียวกันนี้เป็นที่กังขากันมานานนมก่อนปรากฏการณ์แยกขั้วแบ่งสีรุนแรงที่เริ่มเมื่อห้าหกปีที่แล้วเสียอีก
ว่าคนไทยในอเมริกาจำนวนมากมีความคิดไม่ก้าวหน้าในทางประชาธิปไตยอย่างชนิดตรงข้ามกับสภาพแวดล้อม
ที่ว่านอกจากเราจะพร้อมแสดงความคิดของตนเองแล้ว
เราต้องเคารพความคิดผู้อื่นควบไปด้วย
มีผู้รักประชาธิปไตยจำนวนไม่น้อยพยายามหาสาเหตุ
และที่มา เพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขโดยหลีกหนีวิธีเผชิญหน้า แต่เป็นวิธีที่แต่ละฝ่ายสามารถแสดงความเห็นต่างแล้วยังอยู่ร่วมกันโดยสันติได้
คำตอบข้อหนึ่งพบว่า
การที่คนไทยในอเมริกาบางส่วนยังคิดตื้นในเรื่องสิทธิเสรีภาพทางประชาธิปไตยเนื่องจากมีพื้นฐานทางวัฒนธรรมที่ไม่เอื้ออำนวย
อีกข้อหนึ่งเป็นการพยายามอ้างปมเขื่องเรื่องกำพืด
และวัฒนธรรมที่ไม่เอื้ออำนวยนั้นเอง ให้เกิดบุคคลิกเด่น (Significant Identity) หรือที่ในคำพูดพื้นๆ แบบอเมริกันบอกว่าต้องการเป็น Somebody
การแสดงปมเด่น
เช่น ชาติไทยมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า ๗๐๐ ปี มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
และพระราชประเพณีอลังการ
นอกนั้นยังมักอ้างกันไม่ตะขิดตะขวงว่าเราเป็นชาติเอกราชยิ่งใหญ่ไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร
ทั้งๆ
ที่ปมเด่นเหล่านี้ในยุคปัจจุบันกลายเป็นปัจจัยเหนี่ยวรั้งไม่ให้เราก้าวหน้าแบบสากลโลก
เรื่องประวัติศาสตร์
๗๐๐ ปี นั้นมีนักประวัติศาสตร์ยุคใหม่ค้นพบว่า
แม้ในสมัยเริ่มต้นกรุงสุโขทัยก็มิได้มีลักษณะเป็นรัฐชาติที่ปกครองดินแดนรายรอบอย่างแท้จริง
การมีพระมหากษัตริย์สืบทอดยาวนาน
แต่ละราชวงศ์ล้วนสถาปนากันขึ้นมาโดยขุนศึกหลังจากได้ชัยชนะในการช่วงชิงแทบทั้งสิ้น
ไปจนถึงการไม่เคยเป็นทาสต่างชาติใดๆ ก็เนื่องมาจากองค์ประมุขยอมตัดแบ่งดินแดนที่ดูแลไม่ทั่วถึงให้เขาไป
แลกกับการอยู่รอดของส่วนกลางเท่านั้น
เหล่านี้ชี้แนะย้อนไปให้เห็นถึงประเด็นการยึดติดกับวัฒนธรรมที่ไม่เอื้ออำนวย
ซึ่งผู้รู้ท่านหนึ่งกรุณาให้แง่คิดเพิ่มเติมว่า คนไทยในอเมริกา
(หรือแม้แต่คนไทยที่ไปปักหลักอาศัยถาวรอยู่ในต่างประเทศที่เจริญแล้ว ทั้งในยุโรป
และญี่ปุ่น) จำนวนมากยังติดยึดกับวัฒนธรรมแช่แข็ง (Frozen Culture) จึงมักจำกัดตัวเองอยู่ในกรอบที่ล้าหลังโดยสร้างภาพว่า
เพื่อปกปักอนุรักษ์มรดกอันล้ำค่าไว้
และโดยเหตุที่เป็นการปกปักอนุรักษ์วัฒนธรรมล้าหลังอยู่ในดินแดนที่เปิดกว้างรับบุคคลิกภาพอันแตกต่าง
(ตราบเท่าที่ไม่เข้าไปก้าวก่ายก่อกวนความราบรื่นในครรลองของเจ้าบ้าน)
วัฒนธรรมแช่แข็งนั้นจึงติดสอยห้อยอยู่กับกลุ่มคนไทยที่ไม่ยอมคิดก้าวหน้า รวมทั้ง
พธม. ตลอดมายันศตวรรษที่ ๒๑
การหลงใหลอยู่ในมิจฉาทิฐิแห่งวัฒนธรรมแช่แข็งนี้
อาจทำให้จมปลักกับจิตวิญญานที่ตายด้านเพราะถูกน้ำแข็งกัดกร่อน (Frost Bite) จนไม่มีส่วนดีใดๆ เหลืออยู่เลยก็ได้
อันที่จริงกล่าวได้ว่าการถอยกลับไม่ไปปรากฏตัวในงานต้อนรับที่ศูนย์การค้าไทยแลนด์พลาซ่าของอดีตนายกฯ
และทักษิณยอมให้คนเสื้อแดงที่บางคนอุตส่าห์เดินทางไปจากที่ไกลๆ
เกิดอาการเสียอารมณ์ เสียใจไปบ้างนั้น ไม่ใช่เป็นเพราะแรงกดดันของ พธม. แต่อย่างเดียว
หากเป็นความสมัครใจของเจ้าตัวด้วย
พ.ต.ท.ทักษิณนั้นไม่เคยถูกระงับ
หรือถอดถอนวีซ่าจากสหรัฐในระหว่างที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี
แต่ได้มีการทำความเข้าในต่อกันว่าเพื่อรักษามิตรจิตมิตรใจกับมือที่มองไม่เห็นผู้ชักใยอยู่เหนือศีรษะอภิสิทธิ์
พ.ต.ท.ทักษิณจึงยับยั้งการเยือนสหรัฐไว้จนกระทั่งพรรคเพื่อไทยได้เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลยิ่งลักษณ์
เช่นเดียวกับการเดินทางเยือนสหรัฐครั้งนี้
ก็มีการทำความเข้าใจกับทางการตำรวจอเมริกันไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะเป็นไปอย่างไม่คึกโครม
(Low
profile) ที่สุด
ครั้นเมื่อมีเหตุการณ์อันอึกทึกในทางที่มุ่งหมายกระตุ้นให้เกิดความวุ่นวาย (Provocation)
พ.ต.ท.ทักษิณจึงได้เปลี่ยนแผนอย่างง่ายดาย
ที่สุดแล้ว
ในบันทึกของฝ่ายรักษาความปลอดภัยสหรัฐ พ.ต.ท.ทักษิณนั้นเป็นคนว่าง่าย ขณะที่ พธม.
แสดงให้เห็นลักษณะไม่ได้ทำในสิ่งที่พูด (do not practice what they preach) แต่กลับทำในสิ่งที่ก่นด่าคนอื่นเขาไว้
หากจะไปขออนุญาตจัดประท้วงครั้งต่อไปคงต้องมีการซักถามอย่างละเอียดมากขึ้นอีกหน่อย
ดังนั้นการที่เสื้อเหลืองจะตีอกชกลมว่าการกระทำห่ามเหิมเกริมเช่นนี้
มีอิทธิพลให้ฝ่ายรักษาความสงบของทางการอเมริกันเกรงใจนั้นอย่าหมาย เพราะการกลับเป็นว่างานนี้
“แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร” ไปเสียฉิบ