ที่มา Thai E-News
ชายในกลุ่มผู้ชุมนุมคนหนึ่งได้ชูป้ายที่เขียนขึ้นอย่างบรรจงด้วยปากกาหมึกสี น้ำเงินเป็นภาษาอังกฤษอย่างภาคภูมิ คาดว่าเพื่อให้เกิดประโยชน์ในด้านการสื่อสารแก่สื่อมวลชนต่างชาติ โดยเนื้อหาเป็นการโจมตีฝ่ายเสื้อแดง –ซึ่งส่วนใหญ่แต่ไม่ทั้งหมดเป็นประชากรคนจนในเมืองและชนบทของประเทศไทย- ว่าเป็นพวก “ไร้การศึกษา”
เมื่อไม่สามารถสามารถชนะใจและการสนับสนุนของคนส่วนใหญ่ได้ พวกคนกรุงก็เลย เลือกที่จะอยู่โดยไม่มีประชาธิปไตยกันไปเลย.. ที่แย่ไปกว่านั้น พวกที่มีการศึกษาของไทยที่ล้อเลียนและประณามการนับถือทักษิณในหมู่คนไทยที่ มีรายได้ต่ำนั้น แสดงถึงการยกยอกองทัพไทย โฆษกกองทัพ ผู้พันสรรเสริญ แก้วกำเนิด ได้สัมภาษณ์ลงในนิตยสารไฮโซอย่างน้อยสองฉบับ และได้รับการยกย่องจากหนังสือพิมพ์เนชั่น ว่าเป็น “ผู้พันที่เท่ที่สุดของประเทศ” ทางเนชั่นถึงขนาดทำ “วิดีโอเอกซ์คลูซีฟ” เกี่ยวกับสิ่งของที่อยู่ในกระเป๋าของผู้พัน โดยที่นักข่าวหน้าแหยๆทั้งหลายแทบจะเก็บความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่
ที่มา เว็บไซต์ www.zenjournalist.org
ระหว่าง
ที่กำลังเกิดความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศไทย
เพื่อนนักข่าวรอยเตอร์ของผมคนหนึ่งได้เก็บภาพที่น่าขบขันและเศร้าไปพร้อมๆ
กันภาพหนึ่งเอาไว้ได้ในวันที่ 22 เมษายน
เป็นภาพของกลุ่มผู้ชุมนุมที่มาจากกลุ่มที่เรียกกันว่า “กลุ่มคนเสื้อหลากสี”
ที่กำลังแสดงความไม่พอใจกลุ่มผู้ชุมุนุม “เสื้อแดง”
ที่ปักหลักอยู่อีกฟากหนึ่งของถนน
ชายในกลุ่มผู้ชุมนุมคนหนึ่งได้ชูป้ายที่เขียนขึ้นอย่างบรรจงด้วยปากกาหมึกสี น้ำเงินเป็นภาษาอังกฤษอย่างภาคภูมิ คาดว่าเพื่อให้เกิดประโยชน์ในด้านการสื่อสารแก่สื่อมวลชนต่างชาติ โดยเนื้อหาเป็นการโจมตีฝ่ายเสื้อแดง –ซึ่งส่วนใหญ่แต่ไม่ทั้งหมดเป็นประชากรคนจนในเมืองและชนบทของประเทศไทย- ว่าเป็นพวก “ไร้การศึกษา”
ความพยายามอย่างทุลักทุเลในการที่จะขับไล่ไสส่งประชากรรายได้ต่ำของประเทศ
ไทยว่าเป็นพวกปัญญาอ่อนนั้นไม่ใช่การดูถูกที่เพิ่งจะเกิดขึ้นหรือเกิดเป็น
กรณีแยกเดี่ยวออกมา
หากแต่เป็นหัวใจของปรัชญาของกลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาลชุดปัจจุบันที่นำโดยนาย
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
และเป็นศูนย์กลางของความเชื่อทางการเมืองของฝ่ายอนุรักษ์กษัตริย์
(Royalists)
หรืออีกชื่อคือกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเสื้อเหลือง (PAD)
ที่ร่วมมือกับพรรคประชาธิปัตย์ของนายอภิสิทธิ์แบบไม่ค่อยลงรอย
ร่วมกันล้มรัฐบาลและทำให้อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรกลายเป็นผู้ต้องหา
ข้ออ้างของพวกเขาก็คือคนไทยนั้นยังไม่พร้อมสำหรับระบอบประชาธิปไตยโดยเฉพาะ
ในเขตชนบท
พวกเขาว่าเครือข่ายอุปถัมภ์และการโกงเลือกตั้งเป็นสิ่งที่เห็นได้ทั่วไป
และคนชนบทไม่รู้อะไรมากไปกว่าการขายเสียงของตนให้กับผู้ที่ให้ราคาสูงสุด
ซึ่งนี่หมายถึงฝ่ายประชานิยมและนักการเมืองที่ดีแต่พูดสามารถยึดฐานอำนาจ
ผ่านทางกล่องคะแนนเสียงเลือกตั้งได้โดยการหลอกและให้สินบนแก่คนจน
และก็ช่วยกันพาประเทศลงเหวโดยการทำแต่สิ่งที่เอื้อประโยชน์ให้แก่ตัวเองและ
พรรคพวก โดยมีค่าใช้จ่ายก็คือผลประโยชน์ของประเทศชาติ ดังนั้น
ตามที่ข้ออ้างของพวกเขาได้กล่าวต่อไปคือ
มันจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องให้กลุ่มชนชั้นกลางและชั้นสูงของกรุงเทพที่
เป็นผู้มีความรู้ กลุ่มตุลาการศาล อำมาตย์ ทหารยศสูง และเหนือสิ่งอื่นใด
ราชวงศ์ เป็นผู้ปกป้องรักษาระบอบประชาธิปไตย
และขัดขวางเมื่อจำเป็นเพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนที่เจริญน้อยกว่าทำสิ่งผิด
พลาดที่เลวร้ายด้วยการถูกชักจูงให้ลงคะแนนให้กับคนที่ไม่เหมาะสม
ประชาธิปไตยแบบตะวันตกนั้นไม่เหมาะสมกับประเทศไทย –อย่างน้อยก็ในตอนนี้-
และในขณะนี้กลุ่มชนชั้นสูงที่มีจริยธรรมและมีการศึกษา
จะต้องเป็นผู้ที่ขับเคลื่อนพวกโง่เง่าเต่าตุ่นบ้านนอกด้วยการชี้นำที่แข็ง
แรงแต่เต็มไปด้วยกุศลธรรม
ดังที่พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ผู้นำการปฏิวัติในปี 2006 ได้กล่าวในการสัมภาษณ์หลังการยึดอำนาจไม่นานว่า
ผมเห็นว่าประชาชนไทยยังขาดความเข้าใจที่เพียงพอเกี่ยวกับประชาธิปไตย ประชาชนจำเป็นจะต้องเข้าใจถึงสิทธิและหน้าที่ของตนเอง บางคนยังไม่รู้ถึงระเบียบวินัยเลยด้วยซ้ำ ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องทำให้ประชาชนเข้าใจถึงกฏของ ประชาธิปไตย
แต่เป็นที่น่าเสียดายสำหรับผู้ที่อยู่เบื้องหลังของการปฏิวัติ
ว่าทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามแผน
นโยบายของรัฐบาลที่ได้รับการหนุนหลังจากทหารถูกเห็นทั่วกันว่าเป็นหายนะ เมื่อ
การเลือกตั้งได้ถูกจัดตั้งขึ้นอีกครั้งในเดือนธันวาคม ปี 2007
พวกพลังประชาชนซึ่งเป็นตัวแทนของทักษิณ ได้รับชัยชนะ
มีจำนวนเก้าอี้สูงสุดในสภาและก่อตั้งรัฐบาลร่วม
เพียงเพื่อผู้ที่ได้รับเลือกตามระบอบประชาธิปไตย
ต้องถูกล้มอีกครั้งโดยกลุ่มชนชั้นสูงของประเทศ
คราวนี้ด้วยแรงผสมผสานระหว่างอำนาจตุลาการและกฎหมู่ของกลุ่มม็อบ
กลุ่มเสื้อเหลืองเข้ายึดสถานที่ราชการต่างๆ
บังคับให้กลุ่มคณะบริหารที่ได้รับเลือกตั้งมาต้องไปอยู่ในออฟฟิศชั่วคราว
ซึ่งทำให้การบริหารประเทศนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย นายกรัฐมนตรีนาย สมัคร
สุนทรเวช ได้ถูกบังคับให้ลงจากเก้าอี้หลังจากผู้พิพากษาศาลรัฐธรรมนูญได้ชี้ขาดว่านายสมัครขาดคุณสมบัติในการเป็นนายกรัฐมนตรีเนื่อง
จากได้รับค่าจ้างจากการไปออกรายการทำอาหารทางโทรทัศน์ชื่อ “ชิมไปบ่นไป”
สามเดือนต่อมาหลังจากที่กลุ่มเสื้อเหลืองได้ปิดสนามบินซึ่งส่งผลกระทบต่อ
เศรษฐกิจของไทยและภาพลักษณ์ต่อต่างชาติเป็นอย่างมาก ศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ตัดสินอีกครั้งให้ยุบพรรคพลังประชาชน และ
หลังจากการต่อรองข้อเสนอกันอย่างดุเดือดในค่ายทหาร
ฝ่ายค้านก็ได้รวมหัวกันเป็นกลุ่มรัฐบาลร่วมปัจจุบันโดยมีนายอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี
ในที่สุด
รัฐบาลของประเทศไทยก็ได้มาอยู่ในมือของสมาชิกกลุ่มชนชั้นสูงที่มีความน่า
เชื่อถือด้านการศึกษาสมบูรณ์แบบ อภิสิทธิ์นั้นสำเร็จการศึกษาที่มหาวิทยาลัยชนชั้นสูงของอังกฤษคือวิทยาลัยเอตันและมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของเขา กรณ์ จาติกวาณิช ก็สำเร็จการศึกษาจากออกซ์ฟอร์ดเช่นเดียวกัน
แต่อย่างไรก็ตาม
พวกไร้การศึกษาบ้านนอกยากจนก็ยังไม่รู้จักเรียนรู้ว่าอะไรดีสำหรับพวกเขา
วิกฤติในประเทศไทยได้เกิดขึ้นอีกครั้งในเดือนมีนาคมเมื่อกลุ่มคนเสื้อแดงที่
นิยมทักษิณได้เริ่มการประท้วงรัฐบาลขึ้นใหม่อีกครั้ง โดยสื่อในประเทศ
ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นฝ่ายสนับสนุนเกือบทั้งหมด อยู่ในอาการตกใจ
หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ได้ขึ้นพาดหัวว่า “รุ่งสางแห่งแดงเดือด” (Red Rage
Rising) “กลุ่มคนชนบทมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง”
กลุ่มผู้ชุมนุมได้เข้ายึดพื้นที่ที่เป็นที่นิยมสูงสุดของกลุ่มชนชั้นสูง
กระเป๋าหนัก
ตั้งค่ายมีรั้วกั้นเป็นป้อมปราการตามโรงแรมและห้างสรรพสินค้าสุดหรูบริเวณ
สี่แยกราชประสงค์ เมื่อทหารได้ขับไล่พวกเขาออกไปในกลางเดือนพฤษภาคม
การต่อสู้ได้คร่าชีวิตพลเรือน 90 คนและบาดเจ็บนับร้อย
สิ่งก่อสร้างหลายแห่งถูกวางเพลิงโดยนักวางเพลิงที่อยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดง
และเศรษฐกิจของประเทศก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักอีกครั้ง
ในการตามล่าในเวลาต่อมา ผู้นำกลุ่มเสื้อแดงได้ถูกจำคุก
ซึ่งตรงข้ามอย่างชัดเจนกับผู้นำกลุ่มเสื้อเหลืองยึดสนามบินที่มีอิสรภาพเต็ม
รูปแบบ และ –ในกรณีของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศนายกษิต ภิรมย์-
เป็นถึงคนสำคัญในรัฐบาล เสียงที่ไม่พอใจได้ถูกทำให้เงียบไป
ด้วยการเซนเซอร์ทุกความเห็นที่เป็นการต่อต้านรัฐบาล
เว็บไซต์หลายหมื่นแห่งถูกปิดกั้น และสถานีวิทยุตามชนบทได้ถูกสั่งปิด
พระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินยังถูกบังคับใช้ในหลายจังหวัดรวมถึงกรุงเทพ
อันเนื่องมาจากอำนาจอันกว้างขวางของนายอภิสิทธิ์ที่จะสั่งการและทำลายล้าง
ฝั่งตรงข้ามของตน
สำหรับผู้ที่สนับสนุนรัฐบาล เหตุการณ์อันน่าสลดในปี 2012
ได้ยืนยันฝันร้ายที่สุดของพวกเขาเกี่ยวกับความโง่เง่าและความหูเบาของคนส่วน
ใหญ่ของประเทศ พวกเขาชี้ว่าคนเสื้อแดงทั่วไปที่เข้ายึดกรุงเทพนั้นถูกจ้างมา
อย่างน้อยบางส่วนก็มาจากเงินในประเป๋าของทักษิณ นอกจากนี้
คนเสื้อแดงจนๆหลายคนยังถูกบอกอีกว่า ถ้าทักษิณกลับมา
หนี้ของพวกเขาก็จะได้รับการยกเว้น และการวางเพลิงในวันที่ 19 พฤษภาคม
ก็เป็นการยืนยันว่า “พวกบ้านนอก” ไร้อารยธรรมและอันตรายแค่ไหน
ทำให้พวกเขายิ่งเชื่อขึ้นไปอีกว่า
ประเทศไทยจำเป็นที่จะต้องมีรัฐบาลชนชั้นสูงที่แข็งแรงพอจะโค่นทักษิณ
ป้องกันระบบศักดินาที่มีอยู่
และนำประเทศกลับสู่ความเป็นสยามเมืองยิ้มสังคมปรองดองโดยให้ทุกคนสำเหนียก
ว่าตนอยู่ระดับไหนของสังคม
แต่ก็เป็นที่ชัดเจนว่ากลุ่มผู้สนับสนุนจนๆของทักษิณนั้น
ขาดความเข้าใจและง่ายที่จะติดสินบนให้เลือกผู้นำที่จะไม่นำประโยชน์ใดๆมาให้
เลย แอนดรูว วอล์คเกอร์ แห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ผู้ซึ่งเป็นคนทำบล็อค New Mandala กับ นิโคลัส ฟาเรลลี่ ได้เขียนบทความวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับการลงคะแนนในชนบทไว้ว่า
นักวิจารณ์การเมืองหลายคนได้ยินยันว่าประชากรไทยนั้น โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรชนบท ขาดคุณลักษณะขั้นพื้นฐานสำหรับการเป็นพลเมืองประชาธิปไตยสมัยใหม่ ปัจจัยที่ส่งผลต่อความไร้ประสิทธิภาพของประชากรผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งนั้นมี อยู่สามปัจจัยหลักคือ อันดับแรก ผู้ลงคะแนนมักจะไม่ค่อยสนใจเรื่องการเมือง ขาดความรู้สึกถึงผลประโยชน์ของชาติและพวกเขาจะลงคะแนนให้กับใครก็ได้ที่นำ ประโยชน์มาให้ในทันที อันดับสอง สืบเนื่องมาจากความยากจนและไร้การศึกษา พวกเขาจึงถูกชักจูงได้ง่ายด้วยอำนาจของเงิน การซื้อเสียงเป็นสิ่งที่เห็นได้โดยทั่วไป เงินส่งที่แจกจ่ายโดยผู้ลงรับสมัครเลือกตั้ง ผ่านทางเครือข่ายและหัวคะแนน เป็นกุญแจสำคัญในการรักษาฐานเสียงและซื้อความซื่อสัตย์ของผู้ลงคะแนน และอันดับสาม การเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นนั้นเคลื่อนไหวผ่านทางระบบอุปถัมภ์ที่ซึ่งผู้มี อิทธิพลในท้องถิ่นจะนำกลุ่มผู้ลงคะแนนในท้องถิ่นนั้นๆไปลงคะแนนให้กับผู้ที่ เป็นหัวหน้าทางการเมือง
แต่ว่า
วอร์คเกอร์ก็ได้แสดงให้เห็นถึงการวิเคราะห์ที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับหมู่บ้าน
บ้านเตี๊ยม (ต้นฉบับคือ Ban Tiemผมไม่แน่ใจว่าใช่ชื่อไทยนี้หรือไม่
–ผู้แปล) ซึ่งอยู่ห่างจากเชียงใหม่ประมาณ 1 ชั่วโมงหากเดินทางโดยรถยนต์
ว่าคนชนบทอาจไม่เข้าใจถึงความสลับซับซ้อนของระบอบประชาธิปไตย
แต่พวกเขามีความสามารถเกินพอ
ในการที่จะตัดสินใจเลือกพรรคที่พวกเขารู้สึกว่าจะทำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น
มากที่สุด
จากมุมมองของรัฐธรรมนูญชนบทแบบบ้านเตี๊ยม รัฐบาลทักษิณได้รับการเลือกตั้งเพราะประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าผู้แทนและนโยบาย ของพรรคไทยรักไทยนั้นตรงกับสิ่งที่เขาคิดว่าควรเป็นผู้นำทางเมืองมากที่สุด หลายครั้งที่คุณสมบัตินั้นไม่ได้สมบูรณ์แบบตามที่ต้องการ แต่ว่า เมื่อเปรียบเทียบตัวเลือกต่างๆแล้ว ไทยรักไทยเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากที่สุด ความคิดในการตัดสินใจลงคะแนนเลือกตั้งแบบนี้ถูกซัดหายไปพร้อมกับคลื่นการ ประท้วงในเมืองซึ่งต่อมาส่งผลให้เกิดการเลือกตั้งที่ถูกเตะตัดขาในเดือน เมษายน 2006 และการประท้วงในเดือนกันยายน 2006 กลุ่มผู้สนับสนุนการปฏิวัติและนักเล่นแร่แปรธาตุรัฐธรรมนูญได้พยายามค้นหา ทางที่จะทำให้การสนับสนุนทางการเมืองของผู้ที่ชื่นชอบทักษิณเป็นเรื่องที่ ผิดโดยกล่าวหาว่าความชอบต่างๆนั้นเกิดขึ้นจากเงินที่แจกจ่ายให้กับพวกคนชนบท ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว การลบคุณค่าทุกเมื่อเชื่อวันของการเมืองในกลุ่มชนบทแบบนี้เป็นภัยคุกคามต่อ ประชาธิปไตยของไทยที่ร้ายแรงยิ่งกว่าการฉีกรัฐธรรมนูญของปี 2540 เสียอีก
จากการศึกษาของวอร์คเกอร์ยิ่งชี้ให้เห็นถึงชุดที่น่าจะเห็นได้ชัดเจนกับคน
ที่คิดแม้เพียงสักเล็กเน้อยเกี่ยวกับประเด็นนี้
ว่าไม่ว่าใครจะคิดยังไงกับทักษิณ ชินวัตร (และความเห็นของผม
(เจ้าของบทความ) อยู่ที่นี่ (ICT
คาดว่าย่อมาจาก Internet and Intelligence Censorship of Thailand
-ผู้แปล)) แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคือ
รัฐบาลไทยรักไทยของเขาได้พยายามรับฟังว่าสิ่งที่ประชาชนชนบทต้องการคืออะไร
และได้ประยุกต์ใช้นโยบายที่พัฒนาคุณภาพชีวิตของคนเหล่านั้น
เป็นเหตุผลในตัวของมันเองที่ว่าทำไมคนชนบทถึงเลือกสนับสนุนทักษิณ
และนี่ไม่ใช่สัญญาณของความโง่เขลา จริงๆเป็นในทางตรงข้ามด้วยซ้ำไป
แน่นอนว่าผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในชนบทนั้นมักจะได้รับอิทธิพลจากปัญหาในท้อง
ถิ่นและตัวบุคคลต่างๆ
แต่จะมีทางอื่นใดให้พวกเขาตัดสินอีกล่ะว่าใครที่พวกเขาควรจะลงคะแนนให้?
ก่อนที่ทักษิณจะเข้ามาปฏิรูปการเมืองไทยเมื่อ 10 ปีก่อน
พรรคการเมืองในประเทศไทยไม่เคยมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน
และผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งไม่ว่าจะในเมืองหรือชนบท จนเหรือรวย
มีการศึกษาหรือไม่มี ได้แต่ลงคะแนนโดยมีข้อมูลเพียงน้อยนิด
ผู้ที่คัดค้านทักษิณได้ชี้ไปที่การคอรัปชั่นและความโลภที่ปฏิเสธไม่ได้ของ
เขาว่าเป็นหลักฐานที่ชี้ว่า ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในชนบทนั้น
ลงคะแนนอย่างไม่ฉลาด แต่นี่ก็เป็นอีกครั้งที่พวกเขาหลงประเด็น ดังที่ เจมส์
สเต๊นท์ ได้บันทึกลงใน “วิเคราะห์วิกฤติประเทศไทย” ของเขาดังนี้
เพื่อนในกรุงเทพของผม[พูดว่า]ทักษิณได้รับเลือกตั้งมาเพียงเพราะว่าความร่ำ รวยของเขา และผู้ลงคะแนนนั้นรับสินบน จากประสบการณ์ของผมเองในบ้านต้นทีในจังหวัดเชียงราย (ต้นฉบับคือ Ban Ton Thi ผมไม่แน่ใจว่าใช่ชื่อไทยนี้หรือไม่ –ผู้แปล) ผมรู้ว่าพรรคไทยรักไทยของทักษิณนั้นได้จ่ายเงิน 500 บาทเพื่อซื้อคะแนนเสียงจริง แต่หลังจากที่ได้สนทนากับคนในหมู่บ้าน เป็นที่เห็นได้ชัดว่าคนในหมู่บ้านเหล่านี้นั้นชอบในสิ่งที่ทักษิณได้พวกเขา จากใจจริง และรู้สึกว่าเขาเป็นนักการเมืองคนแรกที่พูดคุยกับพวกเขาเรื่องคุณภาพชีวิต ของพวกเขา และทำตามที่ตัวเองได้ให้สัญญาไว้เมื่อผมถามชาวบ้านว่า แล้วถ้าเกิดว่าทักษิณไม่ได้เป็นคนโกงกินล่ะ ผมก็ได้รับคำตอบกึ่งขบขันกลับมาเหมือนๆกันว่า “แน่นอน เขาโกงกิน นักการเมืองทุกคนโกงกินทั้งนั้น แต่นี่เป็นนักการเมืองโกงกินคนแรกที่ได้ทำอะไรสักอย่างเพื่อพวกเรา” จนถึงทุกวันนี้ การคอร์รัปชั่น การใช้อำนาจในทางที่ผิด และความร่ำรวยส่วนบุคคลของทักษิณก็ยังเป็นที่พูดถึงกันในกลุ่มผู้สนับสนุน ชาวชนบท – ไม่ได้ปฏิเสธ แต่ถูกจัดให้เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกัน
นอกจากนี้ ทุกพรรคก็ใช้การซื้อเสียงและระบบอุปถัมภ์
และนี่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนชาวชนบทจะไม่สามารถลงคะแนน
อย่างมีความรับผิดชอบให้กับพรรคที่นำเสนอการเปลี่ยนแปลงทางด้านบวกที่ดีที่
สุดให้กับพวกเขา ธงชัย วิณิชกุล
ศาสตราจารย์วิชาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มหาวิทยาลัย
วิสคอนซิน-เมดิสัน
ได้กล่าวอย่างเชือดเฉือนถึงความลำเอียงอย่างไม่เป็นธรรมต่อชาวชนบทของกลุ่ม
คนกรุงเทพในการศึกษาปี 2008 ของเขาที่ชื่อว่า “ล้มประชาธิปไตย” เอาไว้ดังนี้
ข้อกล่าวหาโดยทั่วไปมักจะไปตกอยู่กับกลุ่มผู้ลงคะแนนที่ได้รับการศึกษาน้อย และมีฐานะยากจน โดยเฉพาะในเขตชนบท ซึ่งจะถูกกล่าวหาว่าขายคะแนนเสียงเพื่อแลกกับผลประโยชน์ระยะสั้นและเงิน เพียงน้อยนิด กล่าวกันว่าพวกเขาขาดความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตย ขาดซึ่งจริยธรรมที่ดีเพราะพวกเขาไม่รู้เรื่องรู้ราวและไม่มีข้อมูลใดๆสำหรับ การตัดสินเพราะพวกเขาไร้การศึกษา พวกเขาถูกจัดให้เป็นกลุ่มคนที่มีส่วนทำให้ระบอบประชาธิปไตยล้มเหลว แคมเปญโฆษณาเชิงให้ความรู้ต่อต้านการซื้อสียงส่วนมากก็มีกลุ่มเป้าหมายเป็น ประชากรชนบทและคนจนในชุมชนเมือง พวกเขาถูกจัดว่าติดโรคร้าย ในขณะที่กลุ่มชนชั้นกลางในเมืองติดเชื้อน้อยกว่าหรือปลอดโรค กลุ่มหลังเป็นกลุ่มคนที่เป็นฮีโร่ของระบอบประชาธิปไตยที่ซึ่งหน้าที่คือทำ การเมืองให้สะอาด แน่นอนว่าวาทกรรมเรื่องการซื้อเสียงนั้นไม่ได้เป็นการกล่าวหาอย่างลอยๆ และก็มีกลุ่มคนที่ไม่สนใจอย่างอื่นนอกจากผลประโยชน์ระยะสั้นและเงินน้อยนิด อยู่จริง แต่วาทกรรมนี้เป็นการกล่าวแบบเหมารวมที่น่ารังเกียจโดยกลุ่มชนชั้นกลางที่มี อคติต่อกลุ่มคนส่วนใหญ่ที่มีการเลือกตั้งแบบจังหวัด
ธงชัยได้บันทึกต่อว่า
“ประชาชนชนบทนั้นได้รับข้อมูลข่าวสารและเข้าใจถึงประโยชน์ที่ตัวเองควรจะได้
รับเหมือนกับคนเมือง”
และการทึกทักเอาเองว่าตัวเองเหนือกว่าของกลุ่มชนชั้นกลางในกรุงเทพนั้นเป็น
สัญญาณให้เห็นชัดเจนถึงความไม่รู้ของพวกเขา
ชนชั้นกลางในเมือง โดยทั่วไปแล้ว ขาดข้อมูลข่าวสารและไม่รู้เรื่องรู้ราว อคติของพวกเขานั้นได้ขโมยเอาโอกาสที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับกลุ่มคนชนบทไป
จึงทำให้มีเหตุผลเพียงพอที่จะให้เชื่อว่า
กระบวนทัศน์ที่มองว่าการปฏิวัติในปี 2006 เป็นเรื่องที่ถูกต้อง
การขัดขวางโดยระบบยุติธรรมในปี 2008
และโครงการต่างๆที่ออกมาอย่างต่อเนื่องเพื่อบดขยี้กลุ่มคนเสื้อแดง
นั้นบกพร่องตั้งแต่เริ่มต้น
หลายคนในกลุ่มชนชั้นกลางและสูงของกรุงเทพได้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการที่จะ
จับใจความว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในประเทศของตนเอง
ความไร้ความสามารถของพวกเขาที่จะเข้าใจว่ากลุ่มคนจนอาจเข้าใจระบอบ
ประชาธิปไตยบางส่วนและอาจต้องการที่จะเห็นประเทศไทยที่เสมอภาคกันมากขึ้นจาก
ใจจริงนั้น ชี้ให้เห็นว่าพวกเขาเชื่อว่ากลุ่มคนที่สนับสนุนคนเสื้อแดง
ทำเพราะว่าพวกเขาถูกซื้อหรือถูกหลอกโดยทักษิณและ ผู้นำ “ก่อการร้าย”
เสื้อแดงคนอื่นๆ และหัวเราะเยาะคนจนว่าเป็นพวกไร้การศึกษาโง่เง่าเต่าตุ่น
พวกเขายังได้คร่ำครวญเกี่ยวกับความโง่เขวาของสื่อต่างชาติและรัฐบาลต่างชาติ
ที่ไม่เข้าใจว่าการตั้งอยู่ของกลุ่มคนชั้นสูง
ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่สนับสนุนการคงอยู่ของสถานการณ์ปัจจุบัน
เป็นคนดี/พระเอกของเรื่องนี้
และตัวร้ายก็คือทักษิณที่เป็นคนปลุกปั่นกลุ่มคนและจ่ายเงินให้กับพวกเขา
เพื่อทำลายประเทศของตนเอง
ตัวอย่างหนึ่งของมุมมองนี้คือ บทความในเดือนเมษายนชิ้นนี้ ในหนังสือพิมพิมพ์เนชั่นซึ่งเป็นฝ่ายสนับสนุนชนชั้นสูง พาดหัวว่า “พวกเขารู้กันจริงๆรึเปล่าว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นที่นี่?”
บทบาทของผู้ต้องหา อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ในฐานะของผู้ร้ายหลัก นั้นได้รับการกล่าวถึงน้อยมากในสังคมและสื่อต่างชาติ เป็นที่เห็นได้ชัดว่า มันเกินจินตนาการของพวกเขาที่จะเข้าใจว่าคนๆหนึ่งสามารถเป็นสาเหตุให้เกิด ความไม่เชื่อฟังและความกระด้างกระเดื่องในกลุ่มประชาชนได้มากขนาดนี้ แต่นี่แหละคือจุดสำคัญ [เพราะ]ทักษิณได้ส่งเงินของเขาผ่านทางภรรยาที่หย่าขาดจากกันแล้วและสมุนทั้ง หลาย เพื่อสนับสนุนการประท้วง
นักเขียนและนักแต่งเพลงปริศนาของไทยชื่อ ส.พ.สมท้าว ได้เข้ามาร่วมในการโต้วาทีครั้งนี้ด้วยบล็อคที่ไม่ค่อยอยู่ในโลกความเป็นจริงอันนี้ ที่
ซึ่งเขาได้อธิบายว่าสื่อมวลชนต่างชาติไม่มีความสามารถทางภาษาเพียงพอที่จะ
เข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นและกำลังพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะนำเสนอว่า
วิกฤติในประเทศไทยปัจจุบันนั้นเป็นการเกิดซ้ำของการประท้วงในฟิลิปปินส์ในปี
1986 เพื่อที่จะ “ทำให้แน่ใจว่าเงินค่าโฆษณาไหลเขามาเรื่อยๆ”
ดูเหมือนเขาจะไม่รู้เลยว่าแนวทางทำธุรกิจที่ดีที่สุดในความเป็นจริงของ
ธุรกิจสื่อ คือการรายงานเหตุการณ์ต่างๆโดยถูกต้องแม่นยำและไม่ใส่อารมณ์ร่วม
ในความพยายามที่จะสอนกลุ่มชาวต่างชาติที่ไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นใน
ประเทศ กระทรวงการต่างประเทศของไทยได้ให้ความช่วยเหลือด้วยการให้แนวทางและคำแนะนำนี้ให้กับนักสื่อข่าวชาวต่างชาติ เรื่อง
หนึ่งที่มันบอกได้ก็คือ
ประเทศไทยนั้นเคารพเรื่องสิทธิ์ของผู้สื่อข่าวเต็มที่
แต่สื่อบางแห่งที่รายงานเกี่ยวกับความรุนแรงจะต้องถูกปิดลง
มันเป็นมุมมองที่ไม่ถูกต้องที่จะมองว่าวิกฤติในประเทศไทยเป็นเรื่องความขัด
แย้งระหว่างกลุ่มคนรวยและคนจน แต่เป็น
“เรื่องนั้นเป็นข้ออ้างที่ถูกนำมาใช้โดยกลุ่มแกนนำการประท้วงเพื่อสร้าง
อารมณ์ร่วมภายในกลุ่ม
เป็นการเล่นบนความรู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมและความเจ็บปวดของผู้คน“ ว่า
“ราชวงศ์ไทยอยู่เหนือการเมือง” ว่า
“กฎหมายหมิ่นพระบรมฯไม่เคยเป็นอุปสรรคต่อการปรึกษาหารือกัน” และสุดท้าย
มันผิดที่จะเสนอว่ามันมีการกระทำสองมาตรฐานอยู่ในประเทศไทย
ในรัฐบาลปัจจุบันนี้ มีเพียงมาตรฐานเดียวและทุกคนเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย
เนื่องมาจากความจริงที่ว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ นาย กษิต ภิรมย์
ผู้ซึ่งเป็นคนควบคุมดูแลกระทรวงที่ทำบทความแถลงนี้
เป็นหนึ่งในกลุ่มแกนนำคนเสื้อเหลืองที่เกี่ยวข้องกับการยึดสนามบินในปี 2008
มันค่อนข้างจะชัดเจนว่ารัฐบาลไทยคาดหวังที่จะให้สื่อต่างชาติโง่แค่ไหนถ้าจะ
ให้เชื่อสิ่งที่ให้มานี่
นายกษิตก็ยังเป็นบุคคลที่ทำให้ประเทศต้องละอายอย่างต่อเนื่อง
ด้วยเรื่องที่เขากล่าวกับรัฐบาลและฑูตต่างชาติว่าพวกเขานั้นควรจะมองวิกฤติ
ในประเทศไทยอย่างไร
ในขณะที่การมีอยู่ของตัวเขาที่ใจกลางของรัฐบาลนั้นเองเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับ
ที่เขาพยายามจะทำให้คนอื่นเชื่ออย่างชัดเจน
ไม่เพียงแต่สื่อต่างชาติเท่านั้นที่ไม่พบสิ่งใดที่เชื่อถือได้ในข้อโต้แย้ง
ของผู้สนับสนุนรัฐบาลอภิสิทธิ์
นักวางแผนการลงทุนชาวต่างชาติก็ได้สรุปออกมาเป็นแนวทางเดียวกัน
ทีมวิเคราะห์ความเสี่ยงประเทศของสแตนดาร์ดชารท์เตอร์ได้เขียนลงในรายงานการ
วิเคราะห์ความเสี่ยงของโลกประจำไตรมาสไว้ในเดือนเมษายนว่า
ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าความสำคัญของตำแหน่งนั้นเป็นที่เข้าใจในกลุ่มผู้สนับ สนุนรัฐบาลอภิสิทธิ์หรือไม่ ซึ่งจนปัจจุบันก็เป็นประเด็นทักษิณ ตอนนี้มันเป็นเรื่องของการขาดความน่าเชื่อถือเชิงประชาธิปไตยของรัฐบาล ปัจจุบันเสียมากกว่า
แต่ในหมู่ของกลุ่มผู้มีการศึกษาชั้นกลางและชั้นสูงของไทย
ผู้ที่ถือตัวเองว่าเป็นผู้ปกป้องประชาธิปไตยของประเทศ
มีความสามารถหรือความตั้งใจเพียงน้อยนิดที่จะคิดอย่างวิเคราะห์วิจารณ์อย่าง
จริงๆจังๆกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
นี่เป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นชัดเจนถึงตวามล้มเหลวของพวกเขาในการที่จะเผชิญ
หน้ากับความอันตรายของกองทัพที่นับวันจะทวีอิทธิพลที่น่ากลัวต่อการเมืองของ
ไทยมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ว่าทักษิณจะเลวร้ายต่อระบอบประชาธิปไตยของไทยมากแค่ไหน
ก็ค้านได้ยากว่าการปกครองโดยกองทัพนั้นมันเลวร้ายกว่าเยอะ
ในประวัติศาสตร์ไทย
กองทัพได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นกลุ่มที่เชี่ยวชาญการจุ้นจ้านเรื่องการเมือง
และคอร์รัปชั่นแบบเปิดเผย
แต่มีความสามารถเพียงน้อยนิดในสิ่งที่ตัวเองควรจะทำ
ซึ่งก็คือการปกป้องประเทศชาติ แพ้แม้กระทั่งสงครามสั้นๆกับประเทศลาวในปี
1987/1988 สุดยอดมากๆ
ในปี 1992
ชนชั้นกลางของประเทศไทยยืนขึ้นต่อต้านการปกครองโดยกองทัพอย่างกล้าหาญ
หลายคนถูกฆ่า
แต่สิ่งที่พวกเขาทำให้เกิดขึ้นถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของการ
พัฒนาประเทศไทย –
การเข้ามายุ่งเกี่ยวทางการเมืองของพวกทหารจะไม่เป็นที่ยอมรับได้อีกต่อไป
แต่กระนั้น 14 ปีต่อมา
กลุ่มคนกรุงเทพได้ปรบมือต้อนรับกองทัพที่ทำการปฏิวัติโค่นล้มทักษิณ
และจากนั้นเป็นต้นมา
ก็เป็นใบ้กันถ้วนหน้าเพราะกองทัพเข้ายึดที่นั่งต่างๆทางการเมืองและฝังราก
การคอร์รัปชั่นซึ่งเห็นได้ชัดอย่างน่าเจ็บปวด
ความพยายามอย่างทุลักทุเลของกองทัพที่พยายามปล้นคนไทยคงจะเป็นเรื่องที่น่า
ขบขันหากมันไม่ส่งผลต่อประเทศอย่างร้ายแรง
กองทัพอากาศไทยจากมากกว่าประเทศอื่นๆเช่นโรมาเนีย
ในการจัดซื้อเครื่องบินเจ็ท กริพเพน จากสวีเดน เรือเหาะราคา 350
ล้านถูกสั่งเพื่อนำมาตรวจตราผู้ก่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้
แม้ว่าจะมีหลักฐานมากมายมหาศาลชี้ว่ามันไร้ประโยชน์สิ้นดี –
มันบินได้ไม่สูงพอที่จะพ้นวิถีกระสุนปืนไรเฟิล
ซึ่งก็หมายความว่าใช้ไปก็คงไม่พ้นที่จะถูกยิงจนพรุน
ร่วงลงมากระแทกพื้นกลายเป็นเศษเหล็ก กองทัพได้ของบประมาณประมาณ 5,000
ล้านบาทเพื่อซื้อรถเกราะบรรทุกคนเพิ่มขึ้น 121 คันจากยูเครน
แม้ว่าจะยังไม่ได้รับรถเกราะที่คล้ายกันจำนวน 96 คัน ที่สั่งในปี 2007
ในราคา 3,900 ล้านบาท เนื่องจากผู้ขายไม่สามารถใส่เครื่องยนต์มาให้ได้
สิ่งที่น่าแปลกใจมากที่สุดในบรรดาตำนานโกงกินสิ้นชาติทั้งหมดของกองทัพ
ก็คือเรื่องการจัดซื้อเครื่องตรวจจับระเบิด GT200
ซึ่งมันควรที่จะตรวจจับระเบิด ยา หรือแม้กระทั่งคน ได้
ซื้อมาโดยงบประมาณจำนวนมหาศาลโดยกองทัพและบางส่วนของรัฐบาล เครื่อง GT200
ไม่ใช่เครื่องหลอกลวงต้มตุ๋นที่ทำมาอย่างแนบเนียน –
อุปกรณ์ทั้งชิ้นเป็นแค่แท่งพลาสติกโดยไม่มีอุปกรณ์ชิ้นส่วนใดๆเลย
แต่เราก็พบกับหลักฐานชัดแจ้งว่ากองทัพไม่เคยลดละความพยายามในการโกงกินอย่าง
ต่อเนื่องด้วยการออกมาแถลงข่าวกับสื่อมวลชนโดยนายทหารชั้นสูงของกองทัพ
นำโดยพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ในเดือนกุมภาพันธ์เพื่อมาย้ำกับคนไทยว่า
“ไอ่เครื่อง GT200 นี้มันใช้ได้จริงๆนะ”
แม้กระทั่งทักษิณยังอาจจะต้องคิดแล้วคิดอีกในการคิดจะหาทางชิ่งหากทำการหลอก
ลวงหน้าด้านๆแบบนี้ แต่แล้วก็เป็นอีกครั้ง
ที่กลุ่มผู้มีการศึกษาของประเทศไทย
รู้ทั้งรู้ว่ากองทัพของประเทศไทยมันเลวทรามต่ำช้าแค่ไหน
ก็เลือกที่จะหยุดความไม่เชื่อเอาไว้ที่ตรงนั้น แล้วพวกเขาและชนชั้นปกครอง
ก็ได้เหยียบย่ำคำปฎิญาณที่ให้ไว้ว่าจะถอนรากถอนโคนการคอร์รัปชั่นที่เคยพูด
ไว้ ด้วยการยอมศิโรราบให้กับการกระทำของกองทัพ
พวกเขาเลือกที่จะทำเป็นมองไม่เห็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นร้ายแรงที่กระทำ
โดยกองทัพ
ที่เห็นชัดคือการสังหารผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาหลายร้อยคนจากประเทศพม่า –
ในขณะที่ประณามการกระทำของทักษิณเช่นสงครามกับยาเสพติด
และการฆ่าคนมุสลิมในภาคใต้ของไทยที่กรือเซะและตากใบ
แม้ว่าตอนนั้นจะมีผู้สนับสนุนการกระทำอยู่ไม่น้อยก็ตาม
ที่แย่ไปกว่านั้น
พวกที่มีการศึกษาของไทยที่ล้อเลียนและประณามการนับถือทักษิณในหมู่คนไทยที่
มีรายได้ต่ำนั้นเป็นการแสดงถึงการยกยอกองกำลังติดอาวุธ(กองทัพ)ไทย
โฆษกกองทัพ ผู้พันสรรเสริญ แก้วกำเนิด
ได้ในสัมภาษณ์ลงในนิตยสารไฮโซอย่างน้อยสองฉบับ (ที่นี่ และ ที่นี่) และได้รับการยกย่องจากหนังสือพิมพ์เนชั่น ว่าเป็น “ผู้พันที่เท่ที่สุดของประเทศ” ทางเนชั่นถึงขนาดทำ “วิดีโอเอกซ์คลูซีฟ” เกี่ยวกับสิ่งของที่อยู่ในกระเป๋าของผู้พัน โดยที่นักข่าวหน้าแหยๆทั้งหลายแทบจะเก็บความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่
พฤติกรรมเหล่านี้
ถ้ามาจากกลุ่มคนจนของประเทศก็คงจะโดนหัวเราะเยาะกันทั่วประเทศ –
และก็จะเป็นอีกหลักฐานหนึ่งถึงความไร้การศึกษาและไร้อารยธรรม
แต่ดูเหมือนว่าถ้ามาจากคนกรุงแล้วละก็มันเป็นสิ่งที่ยอมรับได้
ชนชั้นกลางและสูงของไทยนั้นอยู่ในสภาวะของการปฎิเสธความจริงที่ไม่น่าดูว่า
เพื่อที่จะอยู่ในอำนาจต่อไป
รัฐบาลอภิสิทธิ์จะต้องทำข้อตกลงต่าๆงกับนักการเมืองบางกลุ่มที่เรียกได้ว่า
ทรามและเลวร้ายที่สุดของประเทศ – ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ เนวิน ชิดชอบ
มุมมองของพวกเขาคืออะไรก็ถูกต้องตราบใดที่สิ่งที่ทำนั้นช่วยป้องกันไม่ให้
รัฐบาลทักษิณกลับมามีอำนาจ
และมันก็เป็นที่เห็นได้ชัดเจนแก่ผู้สังเกตการณ์ทุกคน
ว่าสิทธิและเสรีภาพของคนไทยนั้น
ถูกตีกรอบและบั่นทอนมากกว่าสมัยทักษิณจนเปรียบไม่ได้
และการคอร์รัปชั่นก็เลวร้ายกว่ากันมาก
คนไทยที่สนับสนุนการปกครองปัจจุบันได้เถียงว่านี่มันเป็นสิ่งจำเป็นต่อ
ประชาธิปไตย
มุมมองของพวกเขานั้นเป็นสิ่งที่ทำให้นึกถึงคำแถลงที่เป็นที่กว่างขานในด้าน
ลบอย่างมากของนายพันคนหนึ่งในช่วงสงครามเวียดนามเกี่ยวกับการทิ้งระเบิดปูพรมหมู่บ้านเบนเทร “มันเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องทำลายมันทิ้งเพื่อที่จะรักษามันไว้”
ประชาธิปไตยนั้นไม่สมบูรณ์แบบและมีข้อบกพร่อง
ไม่ว่าจะในประเทศไทยหรือประเทศไหนๆ ดังที่วินสตัน เชอร์ชิล
เคยกล่าวไว้อย่างโด่งดังว่า
“ระบบประชาธิปไตยเป็นรูปแบบที่แย่ที่สุดของรัฐบาล
ยกเว้นว่าจะได้ลองแบบอื่นมาหมดแล้ว”
ผู้ลงคะแนนเสียงมักจะเลือกทางที่แย่บ่อยๆที่ทำให้เขาต้องมาเสียใจในภายหลัง
แต่นั้นก็เป็นวิธีที่สังคมเรียนรู้
ถ้าคุณคิดว่ารัฐบาลกำลังทำนโยบายที่ทำร้ายประเทศชาติ
คุณก็จะต้องออกมาพร้อมกับทางเลือกใหม่ นโยบายใหม่
ที่จะเอาชนะใจผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง คุณไม่มีสิทธิ์ส่งกองทัพ
ล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างชอบธรรมผ่านทางการขัดขวางด้วยกระบวน
การ”ยุติธรรม”ที่มีแต่ข้อกังขา
ปิดสื่อที่ไม่เห็นด้วยและตราหน้าแม้แต่คนที่ประท้วงอย่างสันติว่าเนรคุณแผ่น
ดิน
ดังที่ เจมส์ สเตนท์ ได้เถียงเอาไว้ว่า พรรค
ประชาธิปัตย์ของประเทศไทย
ล้มเหลวอย่างต่อเนื่องในการที่จะคิดการตอบสนองแบบประชาธิปไตยที่เชื่อถือได้
มาต่อกรกับความนิยมในตัวทักษิณ
พรรคประชาธิปัตย์ .. ได้รับการพิสูจน์มาตั้งแต่หลังการได้รับเลือกตั้งของทักษิณในปี 2001 ว่าไม่สามารถที่จะปรับเปลี่ยนวิธีการและภาพลักษณ์ได้ หรือแม้แต่จะนำเสนอผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในชนบทด้วยนโยบายทางเลือกที่เชื่อ ถือได้มาแข่งทักษิณ พวกมีการศึกษาชนชั้นกลางและสูงในเมืองได้แต่แสดงอาการไม่พอใจ แต่ความรู้สึกของผมก็คือพวกเขาต้องเลือกว่าจะออกมาพร้อมนโยบายใหม่ๆที่เป็น ทางเลือกที่ดีกว่าของทักษิณ หรือไม่ก็ยอมรับว่าจะต้องอยู่ภายใต้การปกครองของทักษิณไปสักพักใหญ่ๆ ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่พวกเขาต้องจ่ายในฐานะที่ไม่สามารถพัฒนาวิสัยทัศน์แบบ องค์รวมที่ออกไปถึงและเกี่ยวข้องกับผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนที่ยากจนส่วนใหญ่ ที่ซึ่งตอนนี้หันไปหาทักษิณในฐานะที่เป็นไอดอลทางการเมืองของพวกเขา
เมื่อไม่สามารถพัฒนาวิสัยทัศน์ได้
พวกคนกรุงก็เลยเลือกที่จะอยู่โดยไม่มีประชาธิปไตยกันไปเลยสำหรับเวลานี้
แทนที่จะก้าวข้ามความไม่พอใจและออกมาพร้อมกับนโยบายที่ดีกว่า
พวกเขากลับเลือกพยายามที่จะทำให้ฝั่งตรงข้ามเป็นพวกนอกกฎหมายให้ได้มากที่
สุด
พวกเขาได้เลือกที่จะพึ่งวิธีที่ใช้โดยผู้นำเผด็จการที่ล้มละลายทางสติปัญญา
ที่ว่า เมื่อไม่สามารถชนะใจและการสนับสนุนของคนส่วนใหญ่ได้
ก็หันไปหาการเซนเซอร์ ปิดกั้นข่าวสาร ข่มขู่ และกดขี่
และคนไทยที่มีการศึกษาจำนวนมากก็ได้ให้การสนับสนุนวิธีการนี้อย่างเต็มที่
ในขณะที่ปากก็ยังกล่าวหาความล้มเหลวของประชาธิปไตยในประเทศว่าเป็นความผิด
ของคนจน อย่างต่อเนื่อง
หนึ่งในการประณามอย่างโจ่งแจ้งที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานเกี่ยวกับการกดขี่ใน
ประเทศไทย ได้ออกมาจากปากของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในปี 2008
ในสมัยที่เขายังอยู่ฝ่ายค้านและผู้ประท้วงเสื้อเหลืองสองคนเสียชีวิตระหว่าง
การตีกันในกรุงเทพ:
ในเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ นายกรัฐมนตรีไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ ไม่ว่าจะเกิดจากความไม่รู้หรือโดยตั้งใจ สิ่งที่แย่กว่าการโยนความผิดให้กับหน่วยงานของรัฐก็คือ การทำให้ประชาชนเป็นผู้ร้ายของเรื่อง ผมไม่เคยคิดว่าเราจะมีรัฐที่ทำให้ประชาชนถูกฆ่าและบาดเจ็บสาหัส และจากนั้นก็กล่าวหาประชาชนว่าเป็นคนก่ออาชญากรรม นี่เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ผมได้ยินพวกที่อยู่ในรัฐบาลถามประชาชนอยู่เสมอว่าพวกเขาเป็นคนไทยหรือเปล่า เมื่อพิจารณาสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ในตอนนี้แล้ว มันไม่ใช่คำถามว่าเป็นคนไทยหรือเปล่า แต่คุณเป็นมนุษย์หรือเปล่าเสียมากกว่า
มันเป็นโศกนาฏกรรมสำหรับประเทศไทย
ที่ผู้มีการศึกษาจำนวนมากที่ควรจะมีความรู้ความคิด
ได้ล้มเลิกหลักการที่พวกเขาอ้างว่าสนับสนุนเมื่อไม่ถึงสองปีก่อน
ทิ้งไปอย่างไม่ใยดี
จะมีประโยชน์อะไรถ้ามีการศึกษา แล้วลืมว่าการคิดเองนั้น ทำยังไง?