แม้ลุงจะมีบาดแผลถูกยิงชัดเจน มีพยานยืนยันหลายคนว่าแกถูกยิงอย่างแน่แท้ แต่ใบรับรองแพทย์ รพ.ชัยภูมิเขียนเพียงว่า กระดูกเท้าแตก บาดแผลลึกจากหลังเท้าถึงฝ่าเท้า ขณะที่ใบรับรองแพทย์จากรามาระบุชัดเจนขึ้นมาอีกหน่อยว่า เป็นแผลขอบไม่เรียบ กระดูเท้าซ้ายด้านนิ้วก้อยหัก มีเศษเหล็กในบาดแผล พร้อมทั้งหมายเหตุว่าบาดแผลดังกล่าวอาจเกิดจากกระสุนปืนได้
เมื่อถามว่ารู้สึกเช่นไร หลังจากได้กลับมายืนที่เดิมอีกหลังจากผ่านเหตุการณ์มา 1 เดือน ลุงบัวศรีบอกว่า “ผมดีใจที่ได้กลับมายืนที่นี่อีก มีความสุขในใจแล้วก็มีความเสียใจในเรื่องเบื้องหลัง มันไม่น่าจะสูญเสียแบบนี้ คนไทยทำไมมันฆ่ากันขนาดนี้”
นักข่าวคนหนึ่งถามลุงและป้าว่า ถ้ามีการชุมนุมอีกจะมาไหม คำตอบของทั้งคู่ตรงกันคือ “มา” และ “ให้มา”
“อุทิศตาให้ นปช.แล้ว เราห่วง เรารัก แต่เรายอม เพราะเราอยากได้ความถูกต้อง ความยุติธรรม” ป้าจำนงค์ผู้มีอาชีพทำไร่และเลี้ยงหลานกล่าว
ส่วนลุงบัวศรีบอกถึงเหตุผลที่เคยมาและยังจะมาร่วมชุมนุมว่า “ผมอยากช่วยให้ประชาธิปไตยกลับคืนมา ไม่อยากได้รัฐธรรมนูญ 50 มันร่างกันเอง เออกันเอง แล้วมันก็สองมาตรฐาน คนผิดก็ผิดลูกเดียว คนถูกก็ถูกลูกเดียว ไม่เป็นธรรมเลย”
การลงมากรุงเทพฯ เพื่อเข้าร่วมรำลึกเหตุการณ์ครั้งนี้ได้รับความช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกจากผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ นั่นคือ ผู้ใหญ่ เจริญ เจสันเที๊ยะ
ผู้ใหญ่เจริญเล่าว่า สภาพบรรยากาศในพื้นที่หมู่บ้านในชัยภูมินั้นเต็มไปด้วยความโกรธแค้นของลูกบ้าน ท่ามกลางแรงกดดันจากทางภาครัฐ ซึ่งเขาเองก็ไม่ค่อยเห็นด้วยนัก
“เขาโกรธมากเลยครับที่มาทำร้ายประชาชน เขามาเรียกร้อง เขาก็มามือเปล่า เขาไม่ได้มาต่อสู้อะไร มาขอความเป็นธรรมเฉยๆ ไม่น่าจะทำกับเขาแบบนี้ เขาพูดกันเรื่อยๆ เลย ผมก็ได้แต่ฟังความคิดเห็น ไม่ห้ามเขา”
“ส่วนทางจังหวัดก็ไม่อยากให้เขาชุมนุม ทางอำเภอได้ประชุมผู้ใหญ่บ้านว่าอย่าให้เขามั่วสุมกันเกิน 5 คน ถ้าเขาจะเดินขบวนอะไรก็ให้บอกทางรัฐ ที่จริงถ้าเขาชุมนุมก็น่าจะต้องฟังเขาว่าต้องการอะไร ต้องการให้ช่วยเหลือแบบไหน ไม่ใช่ไม่ให้เขารวมกัน ไม่ให้ชุมนุม ทางการไม่บอกให้เราถามชาวบ้านเลย” ผู้ใหญ่เจริญพยายามเล่าด้วยภาษากลางเหน่อๆ อย่างตรงไปตรงมา
เมื่อถามว่ามีทหารหน่วยงานความมั่นคงเข้าไปดูแลในหมู่บ้านไหม ผู้ใหญ่เจริญบอกว่า ไม่มี จะมีก็แต่เพียงทหาร 2 กองร้อยที่คอยคุ้มกันศาลากลางทุกวัน
“ผมพาเขามาเพราะอยากให้คนกรุงเทพฯ รู้ว่าคนที่ชัยภูมิเขาเป็นยังไงบ้างแล้ว อยู่ยังไงบ้างแล้ว แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับเขา” ผู้ใหญ่เจริญว่า พร้อมกับแนะนำให้รู้จักป้าค้าว เบอร์ขุนทด แม่ของเหยื่อเหตุการณ์ความรุนแรงอีกหนึ่ง
ป้าค้าว
นิคม
ป้าค้าว อายุราว 65 ปีพูดภาษากลางไม่คล่องนักและขี้อายเกินกว่าจะไปนั่งให้นักข่าวสัมภาษณ์ดังเช่นลุงบัวศรี เมื่อค่อยๆ สอบถามเธอจึงได้ความว่า ลูกชายของเธอคือ นายนิคม เบอร์ขุนทด อายุ 42 ปี มีอาชีพขี่รถมอเตอร์ไซด์รับจ้างในกรุงเทพฯ ได้ขี่มอเตอร์ไซด์มาดูการชุมนุมเป็นประจำ และในวันเกิดเหตุก็ขี่รถมาส่งผู้โดยสารในที่ชุมนุม ระหว่างทางกลับนั้น เจอคนกลุ่มหนึ่ง คำสุดท้ายที่ลูกชายได้ยินคือ “ไอ้นี่มันเสื้อแดง” จากนั้นก็ถูกรุมตีจนสลบ
เมื่อถามถึงรายละเอียดเวลา สถานที่ รวมถึงลักษณะของกลุ่มคนดังกล่าว ผู้ใหญ่เจริญเล่าว่า นิคมจำอะไรไม่ได้มากนัก และมีอาการเบลอๆ เนื่องจากถูกตีจนหัวแตก และกระดูกคอต่อกระดูกสันหลังเคลื่อนจนต้องดามไว้จนถึงทุกวันนี้ และอาจต้องพักฟื้นอีกนาน
“ไม่รู้ว่าจะกลับมาเป็นปกติได้ไหม ตอนนี้เขาก็ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยได้ ต้องนอนตลอด พอลุกนั่งก็เจ็บ” ผู้ใหญ่ว่า
นิคม มีภูมิลำเนาในชัยภูมิเช่นกันแต่อยู่คนละอำเภอกับลงบัวศรี เขาถูกนำส่งมารักษาตัวในโรงพยาบาลเดียวกัน นอนเตียงข้างๆ กันจึงได้รู้จักกัน ขณะนี้นิคมฯ ย้ายไปพักฟื้นที่บ้านแล้วหลังนอนโรงพยาบาลเกือบเดือน โดยมีแม่และลูกสาววัย 14 ปีที่ต้องหยุดเรียนคอยดูแล นอกเหนือจากนี้พ่อของเจริญก็มีขาพิการ ทำงานไม่ได้ ครอบครัวนี้จึงอยู่ในสภาพไร้เสาหลักโดยสิ้นเชิง และไม่ได้รับการช่วยเหลือใดๆ จากรัฐ