ที่มา ไทยรัฐ
เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.นายสุเทพ เทือกุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง กล่าวก่อนเดินทางไปปฏิบัติราชการในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส กรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมมือระเบิดบริเวณพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นแกนนำแหลมฉบัง จ.ชลบุรี ว่า หลักฐานยังไม่ชัดเจนขนาดนั้น ต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการก่อน แต่เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา ทางพล.ต.ต.สาโรจน์ พรหมเจริญ ผบก.น.2 ได้รายงานในที่ประชุมของศูนย์อำนวยการแก้ไขในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ.ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้บันทึกปากคำนายอเนก สิงขุนทด อายุ 26 ปี ที่เป็นผู้รับจ้างทำให้มีเบาะแสที่คิดว่า จะสามารถสาวไปถึงต้นตอได้ เราจึงต้องให้เวลาเจ้าหน้าที่ดำเนินการ
รองนายกฯ กล่าวต่อว่า สำหรับกรณีมีนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยนั้น ยังไม่สามารถตอบได้ว่าใครเข้ามาเกี่ยวข้อบ้าง ขอให้รอผลการสอบสวนก่อน ส่วนที่พรรคเพื่อไทยระบุว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการสร้างสถานการณ์ขึ้นเอง ทางพรรคเพื่อไทยมีแนวทางที่จะบิดเบือนเบี่ยงเบนข้อเท็จจริงให้เกิดความสับสนใน บ้านเมืองอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว ประชาชนจะต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองข่าวสารทั้งหลาย
นายสุเทพ กล่าวถึงเรื่องที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะถูกหยิบยกมาเป็นข้ออ้างต่อ อายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยจะมากล่าวหาฝ่ายรัฐบาล ตั้งสร้างสถานการณ์เพื่อเป็นข้ออ้างใน การต่อพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็เป็นการกล่าวหาที่ไม่เป็นความจริงทั้งสิ้น เพราะการจะต่อหรือไม่ต่ออายุรัฐบาลต้องประเมินสถานการณ์โดยรวมทั้งหมด ไม่ใช่เหตุการณ์เกิดขึ้นจุดใดหนึ่ง และรัฐบาลต้องคำนึ่งด้วยว่าจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับบ้านเมืองอย่างรุนแรง เหมือนเหตุการณ์ที่เกิดช่วงเม.ย.-พ.ค.ที่ผ่านมา
รองนายกฯ กล่าวอีกว่า ความอยู่รอดปลอดภัยของบ้านเมือง ประชาชน ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญและเป็นหัวใจของรัฐบาล ไม่จำเป็นต้องไปสร้างสถานการณ์ใดๆเพื่อเอามาเป็นข้ออ้าง อย่างไรก็ตามกลุ่มบุคคลที่ก่อเหตุร้ายในบ้านเมืองช่วงเดือ นเม.ย.และพ.ค.ที่ผ่านมา เขายังไม่หยุดและยังพยายามที่จะก่อเหตุ เพราะสิ่งที่เกิดมานั้นเขายังไม่ได้บรรลุวัตถุประสงค์ที่หัวหน้าขบวนการหรือ คณะผู้ก่อการกำหนดเป็นเป้าหมายเอาไว้ ดังนั้นยังเป็นสถานการณ์ที่เราต้องติดตามจับตาดูกันต่อไป และปราบปรามป้องกันแก้ไขต่อไป
นายสุเทพ กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา ตนได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล เพิ่มความเข้มงวดในการระมัดระวัง ดูแลสถานที่สำคัญทั้งหลาย รวมทั้งการดูแลความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนเพิ่มมากเป็นพิเศษ เป็นเรื่องที่เราต้องแก้ไขตามสถานการณ์ที่ประเมินได้ ขณะนี้ จะอาศัยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นหลัก ทั้งในกทม.และต่างจังหวัด แต่ถ้ามีความจำเป็นอาจต้องระดมอาสาสมัครพลเรือน หรือเจ้าหน้าที่หน่วยงานอื่นเข้าไปเสริมที่จะพิจารณาเป็นคดีไป