อภิสิทธิ์
ไม่ใช้วิถีทางโหดร้ายกับ "พิราบ"
ในอารมณ์ของความเมตตากรุณา เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน ที่ผ่านมา ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่การตอบกระทู้ถามของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ตอบนายอำนวย คลังผา ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย เรื่องการลดจำนวนนกพิราบทั่วประเทศ
สรุป รัฐบาลโดยกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มิได้มีภารกิจในการปราบหรือกำจัดนกพิราบที่เก็บกินพืชผลการเกษตร หรือสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนแต่อย่างใด แต่มีหน้าที่ในการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคระบาดที่อาจติดต่อมาจากนกพิราบ
ที่แน่ๆ ยืนยันไม่เน้นวิธีการกำจัดนกโดยการใช้ยาเบื่อที่ค่อนข้างโหดร้าย
สัตว์ก็มีสิทธิได้รับการปกป้องชีวิต
นายกฯอภิสิทธิ์มีใจเมตตา แต่ก็ว่ากันด้วยเรื่องของการ "กระชับพื้นที่นกพิราบ" แค่นั้น ไม่ได้โยงกับเรื่องของสายพิราบหรือสายเหยี่ยวในความหมายทางการเมืองแต่อย่างใด
เพียงแต่อารมณ์มันต่อเนื่องมาถึงเรื่องการรักษาสิทธิในชีวิตของคน
กับข่าวล่าสุดสำนักข่าวเอพีรายงานว่า นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว เอกอัครราชทูตและผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ กรุงเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ได้รับการสนับสนุนให้นั่งเป็นประธานคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชอาร์ซี) คนใหม่
เป็นเกียรติประวัติชาติแรกในเอเชีย
และก็ตีปี๊บข่าวดีก่อนใคร นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขาฯ รมว.ต่างประเทศ รีบเหมาเอาเลยว่า เป็นการพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่า จากเหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ผ่านมา รัฐบาลได้ใช้วิธีแก้ปัญหาอย่างสันติ ให้อิสระกับกลุ่มผู้ชุมนุม
ชิงตีกินกันนิ่มๆเลย
ทั้งๆที่มันน่าจะมีอะไรลึกกว่านั้น ถ้าคิดในมุมกลับกัน การที่ประชาคมโลกเลือกคนไทยนั่งเก้าอี้ใหญ่ว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ในห้วงเวลาเหมาะเจาะพอดีกับสถานการณ์คุกรุ่นภายในประเทศไทยที่เพิ่งผ่านฉากเลือดสงครามกลางเมือง
เรื่องของเรื่อง จะแปลความเป็นการ "กดดัน" ก็มองกันได้
กับตัวเลขคนตายจากเหตุที่รัฐบาลสั่งกองกำลังทหารสลายการชุมนุมทางการเมืองพุ่งขึ้นเกือบแตะหลักร้อย มากสุดในประวัติศาสตร์ประเทศ
เครื่องหมายคำถามยังลอยวน ใครสั่งฆ่าประชาชน ใครต้องเป็นคนรับผิดชอบ ไร้คำตอบ
"ผู้ก่อการร้าย" ไอ้โม่งชุดดำก็ยังลากคอมาโชว์ไม่ได้
ขณะที่รัฐบาลไทย โดยศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ยังสนุกกับอิทธิฤทธิ์ยักษ์ถือกระบอง เดินหน้าต่ออายุลากยาว พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปเรื่อยๆ เพื่อเป็นอาวุธในการสยบฝ่ายต่อต้านไม่ให้โงหัวขึ้นมาออกฤทธิ์ออกเดช
ด้วยข้ออ้างห้วนๆ ไม่ได้เดือดร้อนสุจริตชน
และก็แน่นอน คนที่โดนหนักสุดก็คือแนวร่วมของฝ่ายตรงข้าม ตามยุทธการไล่ล่าเครือข่ายอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร พวกแกนนำ
เสื้อแดงที่มอบตัวก็โดนขังคุกไป พวกที่หลบก็หนีหัวซุกหัวซุน พวกที่อยู่ก็โดนตามบี้ตรวจสอบทรัพย์สิน อายัดบัญชี บล็อกธุรกรรมการเงิน
ตัดแขนตัดขา บล็อกท่อน้ำเลี้ยงกองทัพเสื้อแดง
แต่ก็มีเสียงโวยวายจาก ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน แฉยุทธการแฝงของรัฐบาลประชาธิปัตย์ต้องการบีบ "หัวจ่าย" กดดันข้ามช็อตให้ ส.ส.พรรคเพื่อไทย อดอยากปากแห้งจนทนไม่ไหว
ต้องย้ายพรรคหนีตายในที่สุด
โดยเหลี่ยมอาศัยอำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แฝงเกมการเมืองทุบคู่แข่ง แม้แต่การเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม. ตามวิถีประชาธิปไตย ก็ยังต้องอยู่ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ฉากเพี้ยนๆ บรรยากาศพิลึกพิลั่น
โดยพื้นฐานมั่วๆเยี่ยงนี้ ถ้าจะเหมาเอาว่า การที่คนไทยได้เกียรตินั่งเก้าอี้เบอร์หนึ่งด้านสิทธิมนุษยชนโลก เพราะผลงาน จากคิวสยบม็อบเสื้อแดงได้อย่างนุ่มนวล รัฐบาลไทยจัดการเคลียร์สงครามการเมืองได้อย่างสันติ
"กระชับพื้นที่ความคิด" ของกองเชียร์ในเมืองไทยน่ะพอได้
แต่อย่าไปมั่วนิ่มกับต่างชาติ.
ทีมข่าวการเมือง รายงาน