ที่มา มติชน กลุ่มแพทย์ได้ทำหนังสือเปิดผนึกชี้แจงกรณี ร่างพ.ร.บ.เยียวยาผุ้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข ระบุถึงเนื้อหาว่า ประชาชนจะได้ประโยชน์อะไรจากพ.ร.บ.เยียวยาผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข เสนอเข้าสภาโดยคณะรัฐมนตรี 1.เมื่อไปรับการรักษาจากโรงพยาบาล คลินิก ร้านขายยาหรือจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพใดๆก็ตามแล้วเชื่อว่าตนเองหรือครอบครัวได้รับความเสียหายแล้ว มีสิทธิยื่นเรื่องขอเงินจากกองทุนมาเพื่อ"เยียวยา" ความเสียหายได้ 2. คณะกรรมการผู้พิจารณาจ่ายเงินเยียวยาผู้เสียหายนั้น จะใช้หลักการอะไรก็ได้ในการพิจารณาจ่ายเงิน เนื่องจากไม่มีผู้มีความรู้ทางการแพทย์และสาธารณสุขอยู่ในคณะกรรมการและการตัดสินใช้การนับคะแนนเสียงของคณะกรรมการ โดยตัดสินตามสียงข้างมากและคณะกรรมการเลือกมาจากผู้ไม่มีความรู้ทางการแพทย์และสาธารณสุขเป็นส่วนมาก 3.การจ่ายเงินไม่ต้องมีการพิสูจน์ว่าการบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขนั้น เป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ โดยไม่มีการพิสูจน์ว่าถูกหรือผิดแต่ใช้อารมณ์/ความรู้สึกของคณะกรรมการสียงข้างมาก 4.หลังจากประชาชนได้รับเงินเยียวยาแล้วยังมีสิทธิ์ไปฟ้องศาลอาญาได้อีก และศาลก็สามารถใช้ดุลพินิจโดยไม่มีขอบเขตว่าจะลงโทษบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขอีกหรือไม่ก็ได้ และถ้าศาลตัดสินว่า บุคลากรไม่ผิด ประชาชนก็ยังมีสิทธิกลับไปขอเงินเยียวยาได้อีก 5. เมื่อเป็นเช่นนี้ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขก็คงต้องหาทางป้องกันไม่ให้เกิด "ความเสียหาย" แก่ผู้ป่วยทุกๆวิถีทางได้แก่ 5.1 ส่งผู้ป่วยไปรักษาที่อื่นเพื่อว่าตนเองจะไม่ต้องรับผิดชอบประชาชนก็จะเสียโอกาสในการได้รับการรักษาที่ทันเวลานาทีทองก็อาจต้องไปตายกลางทางระหว่างเดินทางไปโรงพยาบาลอื่น โดยต้องหารถไปเองเพราะถ้าโรงพยาบาลเอารถโรงพยาบาลไปส่ง ก็อาจต้องรับผิดชอบจ่ายค่าเยียวยาเพราะตายบนรถของโรงพยาบาล 5.2 บุคลากรสาธารณสุขก็คงต้องส่งตรวจละเอียดครบทุกอย่างเช่นผู้ป่วยปวดหัว แพทย์อาจต้องส่ง เอ๊กซเรย์กระโหลกศีรษะ ทำ CT scan, MRI ,EEG,PetScan. ซึ่งจะทำให้ไม่พลาดในการวินิจฉัยโรคแต่ประชาชนคนป่วยก็จะได้รับของแถมคือรังสีเอ๊กซเรย์ ซึ่งในอนาคตอาจจะเป็นสาเหตุให้เกิดเป็นมะเร็งส่วนรัฐบาลผู้จ่ายเงินค่ารักษาก็คงต้องควักเงินจำนวนมากในการตรวจพิเศษต่างๆเหล่านี้ และอาจเสียเวลานาน กว่าจะได้ตรวจครบทุกอย่างก่อนจะได้รับการรักษา ซึ่งอาจจะช้าเกินไปแต่สามารถอธิบายได้ว่าตรวจรักษาอย่างละเอียดรอบคอบ ตามคติที่ว่า "slow butsure" 5.3 ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยและบุคลากรสาธารณสุขก็คงจะดีขึ้นอย่างสุดๆ แบบว่า ผู้ป่วยมั่นใจว่าหมอจะรักษาอย่างดีที่สุดเพราะถ้ารักษาไม่ดี ก็จะต้องจ่ายเงินเยียวยา เมื่อโรงพยาบาลจ่ายเงินแล้วก็ยังไปไล่เบี้ยเอากับหมอหรือบุคลากรที่ทำให้เกิดความเสียหาย และยังจะถูกศาลตัดสินจำคุกได้อีก ส่วนหมอก็คงจะรู้สึกรักและห่วงใยผู้ป่วยยิ่งกว่าชีวิตของตนเองต้องนั่งเฝ้าดูอาการผู้ป่วยตลอดทุกเวลานาที เพราะถ้าผู้ป่วยตายหมอก็ต้องจ่ายเงินทำขวัญ และยังต้องไปชดใช้กรรมในการปล่อยให้ผู้ป่วยตายโดยสมควรตายและไม่สมควรตายฉะนั้น หมอจึงต้องใช้ความระมัดระวังในการดูแลชีวิตผู้ป่วยยิ่งกว่าชีวิตตนเอง 5.4ประชาชนไทยก็จะมีแต่การเกิดอย่างเดียว ไม่สามารถจะตายได้เพราะหมอต้องพยายามรักษาชีวิตประชาชนทุกคนอย่างดีที่สุด ยิ่งกว่าชีวิตตนเองเพราะถ้ามีผู้ป่วยตายไป หมอก็คงถูกลงโทษให้ตายตกไปตามกัน 5.5รัฐบาลที่เสนอออกพ.ร.บ.ฉบับนี้ ก็จะได้รับความไว้วางใจจากประชาชนได้เป็นรัฐบาลตลอดกาล เพราะสามารถทำให้ประชาชนมั่นใจและไว้วางใจว่าจะปลอดภัยแน่นอนจากการไปโรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ที่ไม่อยากทำงานในโรงพยาบาลของรัฐบาล ก็ไม่ต้องลาออกอีกต่อไปเพราะจะถูกไล่เบี้ยจนไม่มีเงินจ่ายค่าเยียวยาจึงต้องถูกจำคุกแทนการเสียเงินค่าปรับ หรือถูกประหารให้ตายตกไปตามกันจนหมดไปจากโรงพยาบาล ฉะนั้นรัฐบาลต้องรีบเข็นพ.ร.บ.นี้ให้ออกมาเป็นกฎหมายโดยเร็วที่สุดเพื่อความมั่นคงของรัฐบาลเองและชีวิตนิรันดร์ของประชาชนส่วนบุคลากรทางการแพทย์นั้นเป็นพลเมืองส่วนน้อย ก็ "ชั่งหัวมัน" จะอยู่หรือตายก็ไม่ต้องให้ความสนใจ
เพื่อไทย
Wednesday, June 23, 2010
พ.ร.บ.เยียวยาผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข
โดย แพทย์หญิงเชิดชู อริยศรีวัฒนา ประธานสมาพันธ์ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมแห่งประเทศไทย