ที่มา ข่าวสด
สังคมไทยกำลังจับตาแผนปรองดองแห่งชาติของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ
ว่าจะนำไปสู่ทางออกจากวิกฤตของประเทศชาติได้จริงหรือไม่ อย่างไร
สัญญาณเริ่มต้นไม่ค่อยดีนักเมื่อสำนักวิจัยเอแบคโพลสำรวจพบว่าประชาชนร้อยละ 66 ไม่เชื่อว่าแผนฟื้นฟูปฏิรูปประเทศไทยตามแผนปรองดองดังกล่าวจะสำเร็จ
ส่วนทางคู่กรณีขัดแย้งคือพรรคเพื่อไทยและแกนนำนปช.ก็ไม่ยอมรับ
ทั้งยังตีราคาแผนปรองดองของนายกฯอภิสิทธิ์ เป็นแค่การสร้างภาพซื้อเวลาต่ออายุรัฐบาลมากกว่าความต้องการที่จะปรองดองแบบจริงจัง
เห็นได้จากการที่รัฐบาลยังอาศัยอำนาจตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน
กวาดล้างแกนนำนปช.และคนเสื้อแดงอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
การเสียชีวิตของนายศักนรินทร์ กองแก้ว หรือ"อ้วน บัวใหญ่"แกนนำเสื้อแดง จ.นครราชสีมา คนสนิท"แรมโบ้อีสาน"นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์
คือการเปิดตัวแผนปรองดองได้อย่างน่าสยดสยอง
ในขณะเดียวกันเครื่องจักรอำนาจรัฐยังคงทำงานแบบ 2 มาตรฐาน
เห็นได้จากการดำเนินคดีคนเสื้อแดง และนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามในข้อหาก่อการร้ายที่รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว
แต่สำหรับคดีที่แกนนำรัฐบาลถูกแจ้งความกล่าวหาเข่นฆ่าประชาชนในเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง กลับไม่มีความคืบหน้าให้เห็น
การออกมาจุดพลุเปิดประเด็นการซื้อคืนดาวเทียมไทยคมจากกลุ่มทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์
โดยรัฐบาลหวังปลุกกระแสชาตินิยมสร้างคะแนนให้ตนเอง พร้อมกันนั้นยังเป็นการตอกย้ำพฤติกรรมขายสมบัติชาติของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
แต่แล้วเรื่องดาวเทียมไทยคมกลับกลายเป็นดาบสองคม
รัฐบาลพลาดพลั้งทำให้ถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องผลประโยชน์จากราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวสูงขึ้นพรวดพราด
ที่สำคัญคือยังทำให้แผนปรองดองประสบความยากลำบากมากขึ้น
นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พยายามแสดงความกระตือรือร้นต่อแผนปรองดองและแผนปฏิรูปประเทศไทย
การดึงเอาคนเด่น-ดังระดับ น.พ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส และอดีตนายกฯ อานันท์ ปันยารชุน มาร่วมเป็นประธานกรรมการปฏิรูปประเทศ
อาจช่วยให้ภาพรัฐบาลดูดีขึ้นมาบ้าง
แต่เนื่องจากแผนการปฏิรูปประเทศเป็นเรื่องหวังผลในระยะยาวอย่างน้อย 3 ปี
ดังนั้น ทางออกจากวิกฤตความขัดแย้งเฉพาะหน้ายังต้องชี้ขาดกันด้วยแผนปรองดอง
การตั้งนายคณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด เป็นประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.)
เป้าหมายแรกของนายอภิสิทธิ์ ก็เพื่อลดทอนแรงกดดันจากเสียงเรียกร้องให้รับผิดชอบต่อการสลายการชุมนุมที่มีคนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก
การที่นายคณิต บุกไปจับเข่าคุยกับนายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำ นปช. ซึ่งถูกควบคุมตัวในค่ายตชด.
ถึงจะทำให้ได้แผนปรองดองดูสมจริงขึ้นมาบ้าง
แต่ล่าสุดนายคณิต ก็ต้องมาเจอปัญหาไม่สามารถหาตัวบุคคลมาร่วมเป็นคณะกรรมการได้ตามกำหนด 15 วัน
การตรวจสอบค้นหาความจริงการชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ช่วงเดือนมี.ค.-พ.ค. ไม่ใช่เรื่องง่าย
เพราะในช่วง 3 เดือนได้เกิดเหตุปะทะกันใหญ่ๆ หลายครั้ง
ตั้งแต่การขอคืนพื้นที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ, การยิงเอ็ม 79 ถล่มสถานีรถไฟฟ้าสีลม, การปะทะกันบริเวณอนุสรณ์สถานย่านดอนเมือง, การกระชับวงล้อมระหว่าง 13-18 พ.ค. มาจนถึงบั้นปลายท้ายสุดวันที่ 19 พ.ค.
นอกจากนี้เหตุการณ์ใหญ่ที่เกิดขึ้นยังแทรกซ้อนไปด้วยเหตุการณ์ย่อย เช่น เหตุปะทะบริเวณแยกคอกวัว ศาลาแดง ชุมชนบ่อนไก่ วัดปทุมวนาราม ฯลฯ เป็นต้น
เพีงแค่เรื่องใดเรื่องหนึ่งกว่าจะสืบสาวให้ได้ข้อเท็จจริงก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานถึงเมื่อไหร่
ซึ่งนั่นย่อมเป็นผลดีต่อรัฐบาล เพราะตราบใดที่ผลสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น นายกฯ ก็ยังไม่จำเป็นต้องแสดงความรับผิดชอบใดๆ ออกมา
ไม่ว่าด้วยการลาออกหรือยุบสภา
สำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 1 ใน 5 ข้อแผนปรองดอง
ลำพังนายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการพิจารณาแนวทางแก้ไข ก็มี"สี"เปื้อนติดตัวมาอยู่แล้ว
เมื่อเปิดโฉมหน้าคณะกรรมการอีก 18 คน
ถึงส่วนใหญ่จะเป็นนักวิชาการด้านกฎหมายที่สังคมรู้จักกันดี
แต่หลายคนก็มีประวัติเคยทำงานให้ คมช. ในฐานะสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือส.ส.ร.ปี 2550 มาก่อน
จุดนี้จึงเป็นประเด็นให้พรรคเพื่อไทยหยิบยกขึ้นมาโจมตีทันทีว่าเป็นคณะกรรมการ"ทายาทอสูร"
ส่วนทางแกนนำ นปช.ก็มองว่าเป็นความต้องการของรัฐบาลที่ตั้งคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นมา เพื่อสานต่อแผนบันได 4 ขั้นของ คมช.ให้สมบูรณ์แข็งแรงมากขึ้น
นั่นก็คือต้องให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลเท่านั้น
อย่างไรก็ตามจากเสียงต่อต้านตัวประธานคณะกรรมการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ และคณะกรรมการค้นหาข้อเท็จจริงการชุมนุม
เหตุผลหลักๆ อยู่ที่ว่า "คนแต่งตั้ง" ซึ่งก็คือตัวนายกฯ ไม่มีความชอบธรรมเพราะเป็นคู่กรณีโดยตรงกับกลุ่มเสื้อแดง
ขณะเดียวกันนายกฯอภิสิทธิ์ เองก็ไม่คิดที่จะลดราวาศอก มักจะตอบโต้ด้วยการพูดย้ำเสมอทุกครั้งเมื่อมีโอกาส
ว่าจะไม่ยอมปรองดองกับผู้ก่อการร้ายเด็ดขาด
พฤติกรรมการไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน การให้สัมภาษณ์ซัดกันไปมาคนละดอกสองดอก
นอกจากไม่เป็นการช่วยเสริมสร้างบรรยากาศความปรองดองให้เกิดขึ้นจริงแล้ว ยังเป็นการซ้ำเติมวิกฤตความบาดหมางให้เป็นรอยลึกมากขึ้น
นำไปสู่การตอบโต้ล้างแค้นรุนแรงกว่าเดิมทันทีเมื่อโอกาสเปิด