ที่มา ประชาไท แล้วเราก็ได้เห็นเครื่องมือ “ปรองดอง” ของระบอบอภิสิทธิ์อย่างชัดเจนเต็มรูป ประกอบด้วยคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงพฤษภาอำมหิต คณะกรรมการแก้ไขรัฐธรรมนูญชุด 18+1 อรหันต์ และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศชุด “คนคู่” อานันท์-ประเวศ นี่หรือคือการปรองดองกับ 90 ศพ มองมุมไหนก็ไม่เห็นทางเป็นไปได้ มันก็แค่การสร้างภาพให้คนไม่รู้อิโหน่อิเหน่หลงเชื่อว่ามีการปรองดอง เพื่อโดดเดี่ยวทั้งคนเสื้อแดงและไม่แดงที่เรียกร้องต้องการประชาธิปไตยที่แท้จริง รัฐบาลจะตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นมาทำไมในเมื่อยังไม่ยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ปิดกั้นสื่อที่ไม่ใช่พวกของตัว ไม่ยอมให้เผยแพร่ภาพเหตุการณ์และการให้ข้อมูลจากทุกฝ่าย นอกจากฝ่ายของตัวฝ่ายเดียว คณะกรรมการจะเอาใครมานั่ง หัวหงอก หัวดำ หัวใส ก็ไร้ประโยชน์ เพราะปราบเอง ตั้งเอง แล้วก็ยังปิดปากฝ่ายตรงข้าม ฉะนั้น การที่เสื้อแดงไม่ยอมเข้าร่วมคณะกรรมการชุดนี้จึงถูกต้องแล้ว คณะกรรมการแก้ไขรัฐธรรมนูญชุด 18+1 อรหันต์ยิ่งตลก คือไม่มีเครดิตตั้งแต่แรกแล้วที่เอาสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ บุคคลผู้ตกถังข้าวสารทางประวัติศาสตร์ (บังเอิญเป็นเลขาศูนย์นิสิตตอน 14 ตุลา เลยมีเครดิตติดตัวตลอดชาติ) มาเป็นประธาน ยิ่งเมื่อเห็นชื่อคณาจารย์อย่าง สมคิด เลิศไพทูรย์, วุฒิสาร ตันไชย, นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, จรัส สุวรรณเวลา ยิ่งหัวร่อกลิ้ง อ้าว เฮ้ย ก็พวกทั่นเป็น สสร.กันมาทั้งนั้น 3 ท่านแรกเป็นกรรมาธิการยกร่าง รธน.50 อ.สมคิดเป็นเลขานุการ พูดได้ว่าร่างมากับมือ แล้ววันนี้ทั่นจะมาแก้ รัฐธรรมนูญที่ทั่นเคยบอกว่าดีที่ซู้ดในโลก อย่างนั้นหรือครับ ยังไม่ต้องกล่าวถึงว่าท่านมีทัศนะอย่างไร เอียงข้างไหน แต่เอาแค่ร่างเองแก้เอง ก็ต้องถามกันแล้วว่าทั่นยังมีจุดวางหัวแม่ทีนอยู่หรือไม่ เป็นนักวิชาการต้องมีหลักนะครับ ไม่ใช่วันหนึ่งตวัดลิ้นทางซ้ายบอกว่าอย่างนี้ถูก แล้วอีกวันตวัดลิ้นทางขวาบอกว่าไม่ถูกซะแล้ว แบบนี้จะสอนลูกศิษย์อย่างไร อ้อ ลืมไป บางทั่นเคยเขียนหนังสือยกย่องการปฏิวัติ 2475 แล้วกลับมาสดุดีรัฐประหาร 2549 แต่ทั่นก็ยังสอนลูกศิษย์อยู่ได้ ไม่น่าแปลกใจอะไร ผมเพียงอยากรู้ว่าถ้าอดีต สสร.4 ทั่นเห็นชอบให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ 50 แล้ว ทั่นจะชี้แจงอย่างไร หรือไม่ต้องชี้แจง สมมติทั่นเห็นสมควรให้แก้ไขมาตรา 237 ทั่นต้องไปค้นบันทึกการประชุม สสร.ปี 50 มาให้ดูนะครับว่าทั่นเคยสงวนคำแปรญัตติไว้ ไม่งั้นทั่นก็ต้องแลบลิ้นให้ดูว่ามีกี่แฉก นี่ยังไม่นับนักวิชาการหลายคนที่เป็นคอหอยลูกกระเดือกกับพันธมิตร คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญหัวชนฝา อย่างพิชาย รัตนดิลก, เจษฎ์ โทณะวณิก ส่วนบรรเจิด สิงคะเนติ ไม่ต้องพูดถึง การเป็น คตส.เท่ากับคุณหลุดพ้นจากความเป็นนักวิชาการไปเป็นอุปกรณ์ทางการเมืองตั้งนานแล้ว โอ้ พระเจ้าช่วยกล้วยหักมุก ยังมีไชยา ยิ้มวิไล อีก นักวิชาการวิทยุทหารเนี่ยนะ น่าจะเอาไก่อูมาเป็นด้วยเผื่อจะได้กองเชียร์สาวๆ เฟซบุคมาเข้ากระบวนการมีส่วนร่วม (กรี๊ดดด...) คณะกรรมการชุดที่ 3 น่าจะเป็นชุดที่ระบอบอภิสิทธิ์ฝากความหวังไว้มากที่สุด คือคณะกรรมการปฏิรูปประเทศกลบ 90 ศพ ที่แยกเป็น 2 ชุด มีอานันท์กับหมอประเวศเป็นประธาน คณะกรรมการ 2 ชุดนี้คงจะระดมคนดีๆ ภาพลักษณ์ดีๆ มาร่วมกันสานฝัน อาทิเช่น ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม, อาจารย์อคิน รพีพัฒน์, อาจารย์ระพี สาคริก, บัณฑร อ่อนดำ, หมอพลเดช ปิ่นประทีป, ครูหยุย, ครูแดง, ไสว บุญมา.........ฯลฯ (ลองช่วยกันนึกและเติมคำในช่องว่าง มีอยู่ไม่กี่ตัวเลือกหรอก เช่นชุดของอานันท์ก็ต้องมีประสาน มฤคพิทักษ์ มามะลึกกึ๊กกั๊กอยู่แน่นอน และน่าจะต้องหาที่นั่งให้รสนาหรือผัวรสนาด้วย) อ้อ ยังมีพี่เปี๊ยกยืนแอบๆ อยู่หลังฉากเพราะติดแบรนด์พันธมิตรอาจเป็นกรรมการโดยตรงไม่ได้ (แต่ถ้าไม่เขินก็เป็นได้นะ) อาจจะส่งพวกมือรองเข้ามา เช่น นิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์เพราะเป็นโอกาสอันดีงามมากเลยที่พวกพี่เปี๊ยกจะโดดหนีจากรถเมล์สายพรรคการเมืองใหม่ไร้อนาคต มาเกาะล้อรถบีอาร์ทีสายปฏิรูป บังเอิญเสียจังว่าเห็นภาพอภิสิทธิ์ อานันท์ หมอประเวศ แล้วก็เหมือนเป็นตัวแทนคน 3 กลุ่ม ที่พยายามจะ “ปฏิรูป” เพื่อกลบกลิ่น 90 ศพ และเป็นเสาค้ำของ “ระบอบประชาธิปไตยอำนาจพิเศษ” นั่นคืออภิสิทธิ์เป็นตัวแทนรัฐราชการ ทหาร ตุลาการ อานันท์เป็นตัวแทนผู้ดี เซเลบส์ กลุ่มทุนที่ร่ำรวยเหลือล้นแล้วค่อยอยากมีธรรมาภิบาล ส่วนหมอประเวศคือตัวแทนของขุนนาง NGO ภาคประชาสังคม ที่ชอบคิดแทนประชาชนและสังคม นี่คือภูเขา 3 ยอดที่เป็นอุปสรรคสำคัญของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง ภูเขารูปสามเหลี่ยม ไม่ใช่สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา เพราะเจ้าทฤษฎีสามเหลี่ยมเองกลายเป็นส่วนหนึ่งของภูเขาไปเสียแล้ว การปฏิรูปภายหลังจากปราบปรามเข่นฆ่า “ไพร่” แล้ว ยังมีจุดมุ่งหมายเพื่ออะไรอื่น ถ้าไม่ใช่ตีหัวเลือดสาดแล้วลูบหลัง ภายหลังจากโค่นอำนาจที่มาจากการเลือกตั้งด้วยรัฐประหาร ตุลาการภิวัตน์ ความอยุติธรรม 2 มาตรฐาน ทำให้คนจนคนชั้นล่างตลอดจนผู้รักประชาธิปไตยคับแค้นแน่นอก แล้วอานันท์กับหมอประเวศจะมาบอกว่า เราจะลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ลดความไม่เป็นธรรมในสังคม ยอมให้เรากดหัวต่อไปเถอะ อย่างนั้นหรือ “ระบอบทักษิณ” ทุนโลกาภิวัตน์ที่มีฐานจากรากหญ้าคนชนบท ถูกโค่นล้มโดย “ระบอบอภิสิทธ์ชน” ที่แบ่งอำนาจให้หัวขบวนคนชั้นกลาง มันก็คือการพลิกข้างกันที่สร้างความไม่เป็นธรรมทั้งสองอย่าง วันนี้คุณไม่ยอมให้คนชนบทคนชั้นล่างและคนชั้นกลางเสรีนิยม มีส่วนร่วมในอำนาจ แต่คิดจะเอาการปฏิรูปมาทำให้ “ไพร่” เป็นคนหัวอ่อนว่านอนสอนง่ายเหมือนในอดีต อย่างนั้นหรือ ฝันไปเถอะ ผู้ดีรัตนโกสินทร์ ผมเชื่อว่าหมอประเวศกับอานันท์คงมีข้อเสนอดีๆ หลายข้อที่จะ “ลดความเหลื่อมล้ำ” ซึ่งในยามปกติผมก็คงเห็นด้วย แต่ปัญหาอยู่ที่จุดยืนว่าคุณทำเพื่ออะไร เพื่อสลายพลังการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย ใช่ไหมใช่ เพื่อคุ้มครองอำนาจ ให้อยู่ในมือชนชั้นนำ ทำให้คนจนคนชั้นล่าง กลับไปแบมือรอรับความเมตตา ความอนุเคราะห์ แทนที่จะลุกขึ้นมาทวงอำนาจของตัวเอง ใช่ไหมใช่ หมอประเวศไปพูดล่าสุด ยังพูดว่าต้องส่งเสริมให้คนจนมีอำนาจ อ้าว ก็คนจนเขาลุกขึ้นมาทวงอำนาจ กลับถูกยิงหัว แล้วจะไปปฏิรูปตรงไหน หมอประเวศบอกว่าพลังทางสังคมเป็น 1 ในสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา ว่าวิกฤตครั้งนี้คนตื่นตัวเยอะ สังคมจะเปลี่ยนโครงสร้างจากทางดิ่งมาเป็นทางราบ อ้าว แล้วไปปราบคนที่เขาตื่นตัวมาทำไม แล้วหมอประเวศจะมาช่วยคนที่ปราบให้ครองอำนาจได้ต่อไป ให้เป็นโครงสร้างทางดิ่งต่อไป แล้วเมื่อไหร่มันจะเกิด “ประชาธิปไตยทางตรง” ละครับ ในเมื่อเอาเข้าจริงแล้วหมอประเวศปฏิเสธ “ประชาธิปไตยตัวแทน” เพียงเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ “ประชาธิปไตยอำนาจพิเศษ” เท่านั้น หมอประเวศพูดถึงธรรมาภิบาลทางการเมือง การปกครอง ความยุติธรรมและสันติภาพ โห!กล้าๆ พูดเลยหรือ “มนุษย์จะอยู่ร่วมกันได้ต้องมีความยุติธรรม” แล้วตอนนี้มันมีหรือเปล่า วิกฤตที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งครั้งใหญ่ในสังคม จากการต่อสู้ของประชาชน ที่ไม่ได้หมายถึงแค่เสื้อแดงฝ่ายเดียว แต่ทุกสี กำลังจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสังคมไทยในคุณภาพใหม่แต่หมอประเวศกับอานันท์สอดเข้ามา เอาเกียรติประวัติส่วนตัวมาเป็นภูเขาสามเหลี่ยมพยายามจะยับยั้งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ อย่างไรก็ดี ผมไม่เชื่อว่าหมอประเวศกับอานันท์จะยับยั้งได้ คุณจะแก้ความเหลื่อมล้ำในระบอบที่อยุติธรรม คุณจะสร้างจิตสำนึก สร้างความเข้มแข็งของสังคม ในภาวะที่ใช้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ใช้อำนาจทหารและกฎหมายไม่เป็นธรรมกดหัวฝ่ายตรงข้ามอยู่ อย่างนั้นหรือ ยิ่งถ้าพูดลึกลงไปถึงแนวคิด “ลัทธิประเวศ” ด้วยแล้ว ยิ่งสวนโลกสวนสังคมสิ้นเชิง เพราะลัทธิประเวศที่ฝังอยู่ใต้จิตสำนึก NGO ส่วนใหญ่คือการปฏิเสธทุนนิยม จะพาชาวบ้านถอยออกจากทุนนิยมโลกาภิวัตน์ ซึ่งไม่มีใครเขาเอาด้วยแล้ว ผมเคยคุยกับหมอประเวศ 1-2 ครั้งตั้งแต่สมัยยังไม่เกิดวิกฤต มาย้อนคิดดูตอนนั้นผมก็ไม่ได้ประทับใจอะไร คือหมอประเวศจะพูดอะไรที่มันถูกเสมอ ดีเสมอ สูงส่งเข้าไว้ เหมือนจะลึกซึ้ง มีปรัชญา แต่จริงๆ แล้วเลื่อนลอย ไม่มีขั้นตอนวิธีการว่าจะไปถึงเป้าหมายอย่างไรไม่มีการวิเคราะห์ศึกษาความเป็นไปได้ของโปรเจกท์ ถ้าเป็นโครงการธุรกิจคงถูกตีตกหมด แต่โครงการ NGO เขาดูกันที่ตัวคนกับความฝัน เขียนอะไรให้ดีๆ เข้าไว้ ก็ได้เงินทุนช่วยเหลือ ผมมีคำถามเสมอมาว่าหมอประเวศทำอะไรสำเร็จบ้าง บางโครงการในชนบทที่ลูกศิษย์หมอประเวศลงไปทำ อยู่ได้ด้วยตัวเองจริงหรือ ต้องใช้เงิน สสส. พอช. กี่สิบล้านถึงทำให้ชาวบ้าน “ไม่ต้องพึ่งทุนนิยม” ได้ยินใครไม่รู้พูดตอนแรกว่าอาจจะมีการตั้งสำนักงานปฏิรูปประเทศไทยทุกจังหวัด ดีเหมือนกัน อย่างน้อยถ้าทำอะไรไม่สำเร็จก็จะได้เป็นสำนักงาน NGO ประจำจังหวัด บรรจุ NGO เป็นพนักงานองค์กรมหาชน มีรถประจำตำแหน่งมีเลขาหน้าห้องมีงบประชุมสัมมนา สมมติเอาเงินภาษีหุ้นมาใช้ ก็จะเป็นแหล่งเงินทุนใหญ่ของเครือข่ายลัทธิประเวศเหมือนสสส.พอช.(กลายเป็นสามเหลี่ยมทองคำ) ไม่ได้หยามหมิ่นนะครับ หมอประเวศเป็นคนดีเสมอในสายตาผม แต่หมอประเวศคิดทุกอย่างแบบคนดีเหนือโลก หมอประเวศไม่ได้คิดบนพื้นฐานของปุถุชนที่กินปี้ขี้นอน อานันท์เสียอีกยังมองโลกได้เป็นจริงกว่า เพราะแกยังเป็นปุถุชนที่ชอบกินปี้ขี้นอน (อิอิ) ถ้าผมคาดผิด หมอประเวศทำสำเร็จ ออกพิมพ์เขียวมาผลักดันการปฏิรูปสำเร็จ ก็ขออนุโมทนาด้วย แต่ประวัติศาสตร์ก็จะซ้ำรอย เหมือนที่มีการนองเลือดทุกครั้งแล้วแก้ปัญหาแบบลูบหน้าปะจมูกเพียงเพื่อประคองอำนาจ เหมือน 6 ตุลาปราบความคิดก้าวหน้าอย่างเหี้ยมโหด แล้วค่อยคลายอำนาจ เปลี่ยนจากรัฐบาลหอยเป็นเกรียงศักดิ์ เปรม ประชาธิปไตยครึ่งใบ ทำให้คนรู้สึกว่าดีขึ้น แต่โครงสร้างของปัญหาไม่ได้แก้ไข สังคมไทยก็ถูกสยบยอมอยู่ต่อไป เป็นสังคมที่ไม่สามารถใช้สมองส่วนหน้าสร้างสรรค์ หรือคิดต่าง คนไม่กล้าแสดงออก นอกจากต้องแสดงออกแบบพนมมือกันเป็นแถวตอนเรียงหนึ่ง นั่นแหละปัญหาที่ทำให้สังคมไทยไม่เข้มแข็งอย่างที่หมอประเวศพูด แต่ไม่พูดให้ถึงแก่น เอาเถอะครับ ก็ทำกันไป แต่คนที่รักประชาธิปไตยอย่างแท้จริง คงได้แต่นั่งดู เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่ให้มีส่วนร่วม แต่ถ้าจับพลัดจับพลูเขาชวนไปร่วม ก็ต้องปฏิเสธ ใครที่ร่วมมือกับกระบวนการปฏิรูปกลบ 90 ศพ ถือว่าไม่อยู่ฝ่ายประชาธิปไตย ขีดเส้นกันได้เลย ไปแล้วอย่ากลับ เพราะสิ่งที่เราต้องการคือต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจและทวงความยุติธรรม ไม่ใช่การอนุเคราะห์ให้ “ความเป็นธรรม” แค่บางส่วน คนไทยมีความสุขที่สุดในโลก สัปดาห์ก่อนอ่านข่าวรอยเตอร์ สถาบันบ้าบออะไรไม่ทราบของฝรั่ง จัดอันดับดัชนีความสุขสงบให้ประเทศไทยอยู่อันดับ 124 จาก 149 ประเทศ ต่ำกว่าอิหร่าน ลาว เขมร สูงกว่าฟิลิปปินส์กับพม่าหน่อยเดียว บ้าบอจริงๆ มันเอาความคิดฝรั่งมาวัดความรู้สึกคนไทย ฝรั่งมันคิดว่าการ “กระชับพื้นที่” ทำให้คนตายไป 90 ศพ บาดเจ็บเกือบ 2 พัน คงทำให้คนไทยทั้งชาติจมอยู่กับความเศร้าโศก ฝรั่งมันคิดว่ามีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน “ร้ายแรง” มานานกว่า 2 เดือนและจะฉุกต่อไปอีกเป็นเดือน คงทำให้คนไทยทั้งชาติจมอยู่กับความตึงเครียด เอาเข้าจริงหาใช่ไม่ เพราะเหตุการณ์ “พฤษภาอำมหิต” ผ่านไปแค่ไม่ถึงเดือน คนไทยก็กลับมามีความสุข-เผลอๆ จะมากกว่าเก่า มหกรรมขายของจัดกันถี่ยิบ พ่อค้าแม่ขายแย่งที่ขายกันชุลมุน แย่งกันอ้างว่าเป็นผู้เสียหายจากการเผาบ้านเผาเมือง มหกรรมเที่ยวไทยได้ลดภาษี (ของชอบ มีใครมั่งอยากเสียภาษี) คนตรึมรถติดยาวเหยียด แม้แต่ร้านอาหารร้านเหล้าผับบาร์ แทบว่าจะแย่งกันกิน เพราะอัดอั้นมานาน ไม่ได้ใช้เงินใช้บัตรเครดิต เศรษฐกิจก็ทำท่าจะไปโลด เพราะต้องสร้างซ่อมทั้งเซ็นทรัลเวิลด์ สยาม และศาลากลางจังหวัดอีก 4 แห่ง บริษัทประกันจ่ายแต่ไม่สะดุ้งสะเทือน แถมคุยว่าต่อไปจะขายประกันก่อการร้ายได้เพิ่ม สถานการณ์ฉุกเฉินหรือ ไอ้พวกบ้าองค์กรนิรโทษกรรมสากลไม่เข้าใจ เขามีไว้คุ้มครองความสุขของคนไทย ระหว่างดูบอลโลก ครึ่งลูก ครึ่งควบลูก ปป.=แปะปั่ว อย่างน้อยก็อุ่นใจไปจนถึงรอบรอง ถ้าสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล รัฐบาลทั่นก็อาจจะขยายให้ถึงรอบชิง เสียอย่างเดียว ศอฉ.ไม่มีน้ำยา ไม่สามารถออกประกาศยกเลิกคำสั่งฟีฟ่า คนไทยเลยต้องดูบอลโลกโดยเอามือจับหนวดกุ้งหมุนไปหมุนมา ฝรั่งมันไม่เข้าใจนิสัยคนไทยครับ สยามเมืองยิ้ม เรามีความสุขได้ เพราะ “สุขอยู่ที่ใจ” ไม่ได้อยู่ที่ความถูกต้องยุติธรรมหรือสิทธิเสรีภาพ อันนั้นมันของนอกกาย ใช่ว่ามี พรก.แล้วไม่มีสิทธิเสรีภาพ เพราะเราเอาไว้ใช้กับพวกเสื้อแดงเท่านั้น แต่ตำรวจโง่ๆ ดันคิดว่ามี พรก.แล้วต้องใช้มาตรฐานเดียวกันหมด ไล่กระชับพื้นที่จนคนตาบอดตกน้ำ โดนทั่นนายกฯ ผู้มีเมตตาธรรมด่าเช็ด สั่งให้ปล่อยแกนนำคนพิการไม่เอาผิดฐานชุมนุมฝ่าฝืน พรก.ฉุกเฉิน ขณะที่พวกไพร่แดงถูกยิงด้วยเอ็ม 16 นอนเจ็บเกือบตายยังถูกล่ามตรวน สังคมไทยเรารู้ว่าจะใช้มาตรฐานไหนกับใคร อย่างไร แต่ฝรั่งมันไม่รู้ มันถึงประหลาดใจว่าทีคนตาย 90 ศพไม่เห็นมีใครโวยวาย ทีตัดต้นไม้ขยายถนนขึ้นเขาใหญ่จะเป็นจะตายซะให้ได้ยังกะต้นไม้เป็นญาติผู้ใหญ่ ไม่ยอมให้ตัดแม้แต่ต้นเดียว แห่ออกมาคัดค้านเป็นพระเอกนางเอกทางเฟซบุค ทั่นนายกฯ ก็ดีเหลือใจ ยินดีรับฟังกระแสสังคม สั่งระงับทันที แหม มันน่าเปลี่ยนชื่อถนนจาก “ถนนธนะรัชต์” เป็น “ถนนเวชชาชีวะ” ให้เข้ากับยุคสมัย 1 เดือนผ่านไปไวเหมือนโกหก สังคมไทยลืมเหตุการณ์นองเลือดไปหมดแล้ว คนกรุงคนชั้นกลางได้ความสุขคืนมาจากปากกระบอกปืน (หนังสือ “หนึ่งนัด หนึ่งศพ” ของนพดล เวชสวัสดิ์ พิมพ์นานแล้ว จู่ๆ กลายเป็นเบสต์เซลเลอร์ เพราะคนชั้นกลางอ่านแล้วสะใจ) นี่หรือคือบรรยากาศที่จะ “ปฏิรูปประเทศไทย” ใบตองแห้ง
................................