ที่มา มติชน
โดย ตวงศักดิ์ ชื่นสินธุ
แต่แล้วเครื่องดื่มขวดเดียวก็ทำให้เรื่องไม่น่าจะเป็นเรื่องกลับเป็นเรื่องขึ้นมาจนได้
มติ ชน "อาทิตย์สุขสรรค์" มีโอกาสได้เป็นแขกรับเชิญที่บ้านเศรษฐสิริ ย่านสนามบินน้ำ เจ้าของบ้านไม่ใช่ใครอื่น คือ "ไพร่" ตัวพ่อ ที่กล่าวได้ว่ามีแม่ยกมากที่สุดในบรรดานักพูดเสื้อแดง
...ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หรือ เต้น
เป็น คนอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช เกิดเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2518 เป็นลูกชายคนเล็กของนายสำเนา และนางปรียา ใสยเกื้อ มีพี่ชาย 1 คน ชื่อ นายเจตนันท์ สมรสกับ (แก้ม) สิริสกุล ใสยเกื้อ อดีตนางฟ้าสายการบินแห่งหนึ่ง มีทายาทเป็นชายหนึ่ง คือ ด.ช.นปก หรือ น้องช้างน้อย และหญิงหนึ่งคือ ด.ญ.ชาดอาภรณ์ หรือ น้องตราตรึง
ชีวิต ตั้งแต่เด็กเติบโตมาในครอบครัวผู้นำท้องถิ่น ที่มีปู่และตาเป็นผู้ใหญ่บ้าน พออายุได้ไม่กี่เดือนพ่อแม่ก็แยกทางกัน เด็กชายเต้นจึงไปอยู่กับครอบครัวฝ่ายแม่
จบชั้นประถมจากโรงเรียนวัด พระมหาธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช แล้วมาเรียนชั้นมัธยมที่โรงเรียนเบญจมราชูทิศนครศรีธรรมราช ซึ่งที่โรงเรียนนี้เองที่เป็นสถานเพาะบ่มเด็กผู้ชายคนหนึ่งให้กลายเป็นดาว เด่นคว้าแชมป์บนเวทีโต้คารมมัธยมศึกษา ซึ่งถือว่าเป็นรายการที่โด่งดังมากในขณะนั้น
สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ คณะนิเทศศาสตร์ ปริญญาโทจากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
ความที่เป็นนักกิจกรรม นักโต้วาทีเก่า ทำให้เขามีวาจาเป็นเสมือนมนตราเรียกคะแนนความรักจากบรรดาแม่ยกได้อย่างท่วมท้น
เขาย้อนอดีตเมื่อวันวาน ที่มาของความมุ่งมั่นที่อยากจะเข้าไปเป็นผู้แทนราษฎรในสภาว่า...
"ผม เป็นหลานผู้ใหญ่บ้าน เวลามีการทำถนนในหมู่บ้าน พวกคนขับรถดั๊มพ์ คนขับรถแทร็กเตอร์ก็จะกินมานอนที่บ้านผู้ใหญ่ มันกลายเป็นภาพที่ผมซึมซับมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วก็เข้าใจว่าคนอยู่กับสังคมชนบท อยู่อย่างชาวบ้านอยู่อย่างไร
...ที่ บ้านผมก็เป็นครอบครัวที่เป็นนักสู้ ไม่ยอมให้ใครมารังแกง่ายๆ ผมผ่านประสบการณ์ตรงนั้นมา ได้เผชิญหน้ากับอิทธิพล อำนาจมืดมาสารพัดรูปแบบ"
เขาสมัคร ส.ส.สองครั้งสองคราวเพราะชอบการเมือง ได้เป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์สมใจ แต่เป็นได้แค่ 7 วัน
และนี่เป็นอีกครั้งของการสมัครเป็นแคนดิเดต ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคเพื่อไทย
ค่ำ วันหนึ่ง ณัฐวุฒิ สวมชุดเสื้อยืดคอกลมสีขาวกางเกงขาสั้น ลายสก๊อตแบบสบายๆ ผายมือเชื้อเชิญให้เข้าไปนั่งคุยแบบสบายๆ ภายในบ้าน พร้อมกับแนะนำให้รู้จักกับภรรยาสุดที่รักและแก้วตาดวงใจทั้งสอง
ตามเข้ามารู้จักกับเรื่องราวของเขา...ผู้ชายที่ประกาศกับใครๆ ว่า เขาคือ ไพร่ ตัวจริง
- เป็นนักโต้วาทีตั้งแต่ยังอยู่ชั้นมัธยม?
ผม เป็นนักกิจกรรม เวลาในโรงเรียนมีงานอะไรผมจะทำหน้าที่เป็นโฆษกมาตั้งแต่เด็กๆ สมัยนั้นผมเกเรมาก กินเหล้า สูบบุหรี่ ตั้งแต่ ม.1 พอขึ้น ม.3 ก็ไปตีกับเด็ก ม.6 เป็นขาใหญ่ตั้งแต่อยู่ ม.4 แล้ว
อย่างตอนที่ โรงเรียนจัดกิจกรรมปีใหม่ ผมก็บอกเพื่อนที่ห้องเอากระดาษหนังสือพิมพ์ไปปิดช่องหน้าต่างให้มืด แล้วเอาไฟมาติด เครื่องเสียงมาตั้ง เปิดเป็นดิสโก้เธคเต้นดื่มกันสนุกสนาน มีเพื่อนๆ มากันกว่า 300 คน สนุกกันมาก แต่เด็กผู้หญิงไม่เอาด้วยเพราะเหม็นควันบุหรี่ ออกไปร้องไห้หน้าห้องจนครูทราบเรื่อง ต้องเชิญผู้ปกครองมาพบครู ตอนนั้นผมพาแม่ไป แม่ผมร้องไห้เสียใจไม่คิดว่าให้ลูกมาโรงเรียนแล้วจะมาเป็นแบบนี้ ผมเลยได้คิดว่า ผมทำให้น้ำตาลูกผู้หญิงคนหนึ่งที่รักเรายิ่งกว่าชีวิตไหล
หลัง จากนั้นเริ่มคิดใหม่ทำใหม่ ลดกิจกรรมโลดโผน แล้วหันไปเริ่มสนใจกิจกรรมการเมืองในโรงเรียน พอมีการเลือกตั้งประธานนักเรียน ผมทำหน้าที่เป็นประธานฝ่ายประชาสัมพันธ์ ช่วยหาเสียง ช่วยปราศรัยให้กับพรรคๆ หนึ่ง จนชนะได้เป็นกรรมการนักเรียน คราวนี้พอมีรายการโต้วาที อาจารย์จึงส่งไปแข่ง ตอนนั้นโต้วาทีดังมาก มีนักเรียนหญิงวิทยาลัยต่างๆ ขอเพลงให้ฟังทุกคืน รายการวิทยุดังๆ เชิญผมไปสัมภาษณ์ มีจดหมายจากทั่วประเทศเขียนมาถึงเป็นลังๆ
- มีครูสอนโต้คารม?
มี อาจารย์ที่โรงเรียนช่วยสอนบ้าง เช่น อาจารย์ทวี แดงหวาน แต่จริงๆ แล้วผมสั่งสมประสบการณ์ในการพูดมาจากการปราศรัยช่วยน้าชายหาเสียงตอนสมัคร ส.จ.ที่อำเภอสิชล ตอนนั้นผมอายุ 16 ปี ยังพูดไม่ค่อยเป็น แต่ก็มีคนมาฟังกันมากคงเพราะบอกกันปากต่อปากว่ามีเด็กมาพูด ปรากฏว่า น้าชายผมชนะเลือกตั้ง
- ได้สัมผัสกับการเมืองเต็มๆ ด้วยตนเองครั้งแรกเมื่อไหร่?
ตอน อายุครบ 25 ปี ในปี 2544 รัฐธรรมนูญกำหนดให้คนอายุ 25 ปีลงสมัครเลือกตั้งได้ แบบลงเขตเดียวเบอร์เดียวจึงตัดสินใจลงสมัคร ส.ส.สังกัดพรรคชาติพัฒนาโดยมี กร ทัพพะรังสี เป็นหัวหน้าพรรค
ตอน นั้นซื้อรถเก๋งมือสอง ยี่ห้อฮอนด้า แอคคอร์ด ขับลงไปที่บ้านเปิดเวทีปราศรัยอย่างเดียว มีคนฟังเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ มีคู่ต่อสู้คือ มาโนชย์ วิชัยกุล ของพรรคประชาธิปัตย์เป็น ส.ส.มาหลายสมัย ผมแพ้ได้คะแนนเป็นลำดับที่สอง แต่ได้คะแนนมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของพรรคชาติพัฒนาในภาคใต้
- สอบตกส.ส.แล้วกลับไปทำอะไรต่อ?
พอ สอบตกก็หมดตัว เหลือรถคันเดียวหมดไปหลายแสนบาท กลับมาบ้าน ตั้งหลักอยู่พักหนึ่ง ก็เริ่มมีงานทอล์คโชว์เข้ามา มีรายการโทรทัศน์ติดต่อเข้ามา อีกรายการรัฐบาลหุ่น ให้เลียนแบบเสียงของ ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี พอทำไปๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงภายใน มีบางส่วนถอนตัว แล้วผมเข้าไปทำหน้าที่แทนเขียนบทล้อการเมือง รายการเริ่มดัง เงินก็เข้ามามาก เริ่มไปเรียนต่อปริญญาโท คณะรัฐประศาสนศาสตร์ ที่นิด้า คิดว่ายังไงก็ควรจะมีฐานทางการศึกษาเพิ่มเติม เพราะว่าจะอย่างไรก็ตามผมก็ต้องกลับไปการเมืองอีก และงานที่ผมทำเป็นนักพูด นักบรรยายก็จำเป็นจะต้องมีวิชาความรู้อะไรพอสมควร
ปี 2548 ผมก็ลงสมัคร ส.ส.อีกครั้งในนามพรรคไทยรักไทย เขต 4 จ.นครศรีธรรมราช มีคนสมัคร 4-5 คน มีการทำโพล ผมคะแนนดีกว่าเพื่อน แต่ก็แพ้อีกได้คะแนน 28,000 คะแนน หมดตัวอีกรอบ แถมยังเป็นหนี้อีก ผมหมกตัวอยู่ในคอนโดฯไม่ออกไปไหนเลยไม่มีเงิน ได้กินข้าววันละ 2 กล่องที่แฟนซื้อมาให้ เป็นอย่างนี้ประมาณครึ่งเดือน ตัดสินใจนำสร้อยทอง ที่มีคุณค่ากับผมมากที่สุดไปขาย เป็นสร้อยที่ได้มาตอนเป็นแชมป์โต้คารมจากสมาคมผู้ปกครองและครูโรงเรียนมัธยม
- เลิกสนใจการเมือง ?
ไม่ ครับ จากนั้นเริ่มมีคนติดต่อให้ไปพูดอีก เริ่มมีรายได้ ผมเริ่มสนิทกับพี่ตู่-จตุพร พรหมพันธุ์ (พ.ศ.2548) พี่ตู่มักจะโทร.มาชวนไปนั่งกินข้าวด้วยกัน จากนั้นก็เริ่มคบกันมาอยู่ด้วยกันตลอด จนมีการตั้งรัฐบาล
มาคิดทำ โทรทัศน์ช่องเอ็มวี 1 โดยนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี มาจัดรายการก่อนที่จะเป็นเอ็มวี 1 ก็มีผมกับพี่ตู่ ไปจัดรายการทางยูบีซี 9 ชื่อรายการ "คุยข่าวมันวันอาทิตย์" ทำสักพัก ก็ไปทำเอ็มวี 1 โทรทัศน์ดาวเทียม
จากนั้นวันที่ 2 เมษายน 2549 ได้เป็นผู้แทนสมใจ หลังสมัครลงปาร์ตี้ลิสต์ อยู่ลำดับดีมากคือ 98 ส่วนพี่ตู่ลำดับ 97 เข้าไปรายงานตัว ได้บัตรผู้แทนราษฎร แต่การเลือกตั้งครั้งประกาศเป็นโมฆะ เป็น ส.ส.ได้เพียง 7 วัน
จนมาถึงวันที่ 20 กันยายน 2549 หลังเกิดการปฏิวัติ ผมกับพี่ตู่ โทร.หาพี่วีระ (วีระ มุสิกพงศ์ อดีตประธาน นปช.) พี่วีระก็บอกให้ไปเจอกันที่พรรคไทยรักไทยเปิดแถลงข่าวสู้ ว่าไม่ยอมรับการปฏิวัติ
ก็ไปที่พรรคไทยรักไทย ผมไม่รู้เรื่องไม่เคยสู้กับคณะปฏิวัติ ผมนึกไม่ออกเลย ผมอยากเป็นผู้แทนฯเฉยๆ จะสู้อย่างไรกับการปฏิวัติ แต่ผมเคยเป็นผู้ชุมนุมตอนเดือนพฤษภา สนามหน้าเมืองนครศรีธรรมราช มีการตั้งเวทีขับไล่เผด็จการ ไม่รู้จักแกนนำ และคิดอยู่ในใจแล้วว่าผมไม่เอาการรัฐประหารตั้งแต่พฤษภาคม ปี 2535
- พอการต่อสู้ดุเดือดขึ้นกลัวบ้างหรือเปล่า?
ผม เป็นคนไม่กลัวคน ผมเป็นคนสนุกสนานเฮฮา ถ้าพูดเอาฮาก็พูดได้ทั้งวันทั้งคืน แต่ว่าข่มเหงกันไม่ได้รังแกกันไม่ได้ ไม่กลัว ไม่เคยวิตกกังวลกับเรื่องว่าเขาจะเอาไปขังหรือไปฆ่าเวลาสู้
เพราะ ถ้าสู้แล้วมันคิดเรื่องนั้นไม่ได้ ถ้าคิดเรื่องนั้นก็ไม่ต้องสู้ แต่ไม่ใช่มุทะลุจนไม่รอบคอบ พรรคพวกก็บอกว่าผมได้ทั้งบุ๋นทั้งบู๊ ผมว่าจริงๆ ไม่ใช่ แต่ว่ามันอยู่ที่สถานการณ์ไหนควรทำอย่างไรจะไม่บู๊เพราะอารมณ์ โมโห แต่จะบู๊เพราะจำเป็นเท่านั้น และต้องให้ชนะเท่านั้น รวมทั้งต้องมีวิธีการที่ปลอดภัยที่สุด สมัยเด็กผมไม่เคยตีใครด้วยความโมโห ผมตีให้เพื่อนทั้งนั้นจริงๆ
- ในช่วงการต่อสู้ที่รุนแรง คิดถึงลูก?
ห่วง คิดว่าลูกไม่ควรมารับผิดชอบหรือเผชิญอะไรกับสิ่งที่เราสู้ ไม่แฟร์ เพราะว่าลูกควรจะมีชีวิตที่สะดวกสบายไม่ควรมีชีวิตผ่านความทุกข์และความกด ดัน แต่ว่าเมื่อเราออกมาสู้ลูกก็หลีกเลี่ยงผลกระทบพวกนี้ไม่พ้น ตอนถูกขังก็เป็นห่วง ห่วงมากเข้าก็เลยปรับวิธีคิดใหม่ ถ้าคิดว่าสามคนเป็นแค่ลูกเมีย มันห่วงไม่จบ ผมก็เลยคิดว่าเขาสามคนเป็นเสื้อแดง เมื่อสามคนเป็นคนเสื้อแดงเขาจะต้องสู้เขาก็ต้องผ่านความเจ็บปวดพวกนี้มาให้ ได้ เพราะครอบครัวเสื้อแดงหลายครอบครัว เจ็บปวดกว่านี้อีกคนที่เขารักตาย พิการ บาดเจ็บ ผมแค่ถูกขังก็มีวันออก เห็นหน้ากันได้ทุกวันเวลาไปเยี่ยม
- เข้าไปอยู่ในคุกได้อะไรบ้าง?
ผม อ่านหนังสือเป็นลังๆ มีญาติพี่น้องส่งให้ คิดว่าอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ไทยตั้งแต่ปี 2475 ถึงปัจจุบันจนหมดและประวัติศาสตร์การต่อสู้ของมหาตมะ คานธี เหมา เจ๋อ ตุง ดร.ซุน ยัด เซ็น การปฏิวัติ ชนชั้นนายทุนในอังกฤษการปฏิวัติฝรั่งเศส การต่อสู้ในปากีสถาน การต่อสู้ของโฮจิมินห์ ฯลฯ
อ่านแล้วเอามาเทียบ เคียงกับการต่อสู้ของเราจะเห็นมิติของการตัดสินใจมิติการประเมินสถานการณ์ ผลกระทบที่เกิดขึ้น บางเรื่องเทียบเคียงกันได้เลยบางเรื่องเป็นความแตกต่างที่เราเก็บไว้ในคลัง ของความรู้เผื่อว่าจะเจอเหตุการณ์แบบนี้ เผื่อว่าสถานการณ์การต่อสู้ของประชาชนมันมีลักษณะคล้ายคลึงกันเทียบเคียงกัน มันอยู่ที่เราจะจับอะไรมาพูด
- ทำไมจึงหยิบคำว่า "ไพร่" มาใช้ในการต่อสู้?
ผม เพียงแค่ต้องการสื่อสารกับคนทั้งสังคม ที่ผมเรียกตัวเองว่า "ไพร่" เพื่อจะสื่อว่าที่พวกคุณทำกับเราทุกอย่างเพราะไม่ได้เห็นเราเป็นประชาชนใช่ หรือไม่ เพราะเห็นเราเป็นไพร่ใช่ไหม จึงทำกับเราแบบนี้ ถ้าเห็นเราเป็นประชาชนต้องมีสิทธิเสรีภาพ แต่ถ้าเห็นเราเป็นไพร่จะจิกหัวใช้ยังไงก็ได้ จะรังแกจะกดขี่ทำอะไรก็ได้
ความ หมายของคำว่า "ไพร่" ของผมคือ ไม่ได้ต้องการจะบอกว่าคนจน-คนรวย เรื่องสูง-เรื่องต่ำ แต่เป็นเรื่องของคนที่ถูกกดขี่ ถูกลดทอนความเป็นประชาชน ผมต้องการสื่อสารสิ่งนี้
คำว่า "ไพร่" ไม่ใช่ว่าผมเพิ่งบัญญัติขึ้นมีการใช้มาชั่วนาตาปี แต่ผมต้องการจับคู่คำ จะเรียกว่า "ขี้ข้า" (หัวเราะ) มันก็ดูจะไม่เข้าเท่าไร ครั้นจะไปเรียกว่า "พี่น้องขี้ข้าทั้งหลาย" มันก็ไม่ได้ หาอยู่หลายคำ จนกระทั่งสุดท้ายมาใช้คำว่า "ไพร่" นำมาสร้างเรื่องราวเป็นสนามการต่อสู้ระหว่างอะไรกับอะไร ไม่เชิงประชดแต่ต้องการจะทิ่มแทงไปตรงใจกลางของปัญหา ส่วนคำว่าอำมาตย์ก็มาจากอำมาตยาธิปไตย ไม่ได้มีอะไรสลับซับซ้อน
ผม เชื่อว่าปัญหาทางชนชั้นของประเทศนี้มีจริง แล้วนายกรณ์ ก็ได้ยืนยันอีกครั้งว่ามีจริง ผมไม่คิดว่าปี 2554 จะมีคนคิดแบบนี้ได้ แต่ก็เป็นเรื่องที่สังคมได้เห็นแล้ว
- วางอนาคตของครอบครัวไว้อย่างไร?
ผม ว่าการต่อสู้ของคนเสื้อแดงอีก 3-5 ปีน่าจะได้ข้อยุติและหลังจากนั้นผมจะอยู่ในฐานะใดไม่ใช่เรื่องที่ต้องวิตก กังวล ผมก็ดูแลครอบครัวให้เติบโตเป็นชีวิตที่มีความสุขที่เขาต้องการเท่านั้น
คือ ทำบ้านเมืองให้น่าอยู่เสียก่อน แล้วค่อยทำบ้านเราให้น่าอยู่สำหรับลูกเมียของเราเอง ถ้าไม่ทำบ้านเมืองให้น่าอยู่สำหรับทุกคน มันหันมามองลูกเมียข้างหลังมันหันมองไม่เต็มตา เพราะหันไปมองข้างหน้ามันยังมีความเจ็บปวดมันยังมีการกดขี่เอารัดเอาเปรียบ กันอยู่แบบนี้