WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Sunday, May 22, 2011

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ "ไพร่" ตัวพ่อ

ที่มา มติชน



โดย ตวงศักดิ์ ชื่นสินธุ


เป็น ข่าวร้อนฉ่าตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้าถึงการปะทะคารมกันผ่านทางเฟซบุ๊ก เมื่อ "อำมาตย์ชาย+อำมาตย์หญิง" กับ "ไพร่" ที่บังเอิญไปใช้บริการร้านอาหารเดียวกัน แม้จะไม่ได้ปะหน้ากันตรงๆ ก็ตาม

แต่แล้วเครื่องดื่มขวดเดียวก็ทำให้เรื่องไม่น่าจะเป็นเรื่องกลับเป็นเรื่องขึ้นมาจนได้

มติ ชน "อาทิตย์สุขสรรค์" มีโอกาสได้เป็นแขกรับเชิญที่บ้านเศรษฐสิริ ย่านสนามบินน้ำ เจ้าของบ้านไม่ใช่ใครอื่น คือ "ไพร่" ตัวพ่อ ที่กล่าวได้ว่ามีแม่ยกมากที่สุดในบรรดานักพูดเสื้อแดง

...ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หรือ เต้น

เป็น คนอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช เกิดเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2518 เป็นลูกชายคนเล็กของนายสำเนา และนางปรียา ใสยเกื้อ มีพี่ชาย 1 คน ชื่อ นายเจตนันท์ สมรสกับ (แก้ม) สิริสกุล ใสยเกื้อ อดีตนางฟ้าสายการบินแห่งหนึ่ง มีทายาทเป็นชายหนึ่ง คือ ด.ช.นปก หรือ น้องช้างน้อย และหญิงหนึ่งคือ ด.ญ.ชาดอาภรณ์ หรือ น้องตราตรึง

ชีวิต ตั้งแต่เด็กเติบโตมาในครอบครัวผู้นำท้องถิ่น ที่มีปู่และตาเป็นผู้ใหญ่บ้าน พออายุได้ไม่กี่เดือนพ่อแม่ก็แยกทางกัน เด็กชายเต้นจึงไปอยู่กับครอบครัวฝ่ายแม่

จบชั้นประถมจากโรงเรียนวัด พระมหาธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช แล้วมาเรียนชั้นมัธยมที่โรงเรียนเบญจมราชูทิศนครศรีธรรมราช ซึ่งที่โรงเรียนนี้เองที่เป็นสถานเพาะบ่มเด็กผู้ชายคนหนึ่งให้กลายเป็นดาว เด่นคว้าแชมป์บนเวทีโต้คารมมัธยมศึกษา ซึ่งถือว่าเป็นรายการที่โด่งดังมากในขณะนั้น

สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ คณะนิเทศศาสตร์ ปริญญาโทจากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

ความที่เป็นนักกิจกรรม นักโต้วาทีเก่า ทำให้เขามีวาจาเป็นเสมือนมนตราเรียกคะแนนความรักจากบรรดาแม่ยกได้อย่างท่วมท้น

เขาย้อนอดีตเมื่อวันวาน ที่มาของความมุ่งมั่นที่อยากจะเข้าไปเป็นผู้แทนราษฎรในสภาว่า...

"ผม เป็นหลานผู้ใหญ่บ้าน เวลามีการทำถนนในหมู่บ้าน พวกคนขับรถดั๊มพ์ คนขับรถแทร็กเตอร์ก็จะกินมานอนที่บ้านผู้ใหญ่ มันกลายเป็นภาพที่ผมซึมซับมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วก็เข้าใจว่าคนอยู่กับสังคมชนบท อยู่อย่างชาวบ้านอยู่อย่างไร

...ที่ บ้านผมก็เป็นครอบครัวที่เป็นนักสู้ ไม่ยอมให้ใครมารังแกง่ายๆ ผมผ่านประสบการณ์ตรงนั้นมา ได้เผชิญหน้ากับอิทธิพล อำนาจมืดมาสารพัดรูปแบบ"

เขาสมัคร ส.ส.สองครั้งสองคราวเพราะชอบการเมือง ได้เป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์สมใจ แต่เป็นได้แค่ 7 วัน

และนี่เป็นอีกครั้งของการสมัครเป็นแคนดิเดต ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคเพื่อไทย

ค่ำ วันหนึ่ง ณัฐวุฒิ สวมชุดเสื้อยืดคอกลมสีขาวกางเกงขาสั้น ลายสก๊อตแบบสบายๆ ผายมือเชื้อเชิญให้เข้าไปนั่งคุยแบบสบายๆ ภายในบ้าน พร้อมกับแนะนำให้รู้จักกับภรรยาสุดที่รักและแก้วตาดวงใจทั้งสอง

ตามเข้ามารู้จักกับเรื่องราวของเขา...ผู้ชายที่ประกาศกับใครๆ ว่า เขาคือ ไพร่ ตัวจริง



- เป็นนักโต้วาทีตั้งแต่ยังอยู่ชั้นมัธยม?

ผม เป็นนักกิจกรรม เวลาในโรงเรียนมีงานอะไรผมจะทำหน้าที่เป็นโฆษกมาตั้งแต่เด็กๆ สมัยนั้นผมเกเรมาก กินเหล้า สูบบุหรี่ ตั้งแต่ ม.1 พอขึ้น ม.3 ก็ไปตีกับเด็ก ม.6 เป็นขาใหญ่ตั้งแต่อยู่ ม.4 แล้ว

อย่างตอนที่ โรงเรียนจัดกิจกรรมปีใหม่ ผมก็บอกเพื่อนที่ห้องเอากระดาษหนังสือพิมพ์ไปปิดช่องหน้าต่างให้มืด แล้วเอาไฟมาติด เครื่องเสียงมาตั้ง เปิดเป็นดิสโก้เธคเต้นดื่มกันสนุกสนาน มีเพื่อนๆ มากันกว่า 300 คน สนุกกันมาก แต่เด็กผู้หญิงไม่เอาด้วยเพราะเหม็นควันบุหรี่ ออกไปร้องไห้หน้าห้องจนครูทราบเรื่อง ต้องเชิญผู้ปกครองมาพบครู ตอนนั้นผมพาแม่ไป แม่ผมร้องไห้เสียใจไม่คิดว่าให้ลูกมาโรงเรียนแล้วจะมาเป็นแบบนี้ ผมเลยได้คิดว่า ผมทำให้น้ำตาลูกผู้หญิงคนหนึ่งที่รักเรายิ่งกว่าชีวิตไหล

หลัง จากนั้นเริ่มคิดใหม่ทำใหม่ ลดกิจกรรมโลดโผน แล้วหันไปเริ่มสนใจกิจกรรมการเมืองในโรงเรียน พอมีการเลือกตั้งประธานนักเรียน ผมทำหน้าที่เป็นประธานฝ่ายประชาสัมพันธ์ ช่วยหาเสียง ช่วยปราศรัยให้กับพรรคๆ หนึ่ง จนชนะได้เป็นกรรมการนักเรียน คราวนี้พอมีรายการโต้วาที อาจารย์จึงส่งไปแข่ง ตอนนั้นโต้วาทีดังมาก มีนักเรียนหญิงวิทยาลัยต่างๆ ขอเพลงให้ฟังทุกคืน รายการวิทยุดังๆ เชิญผมไปสัมภาษณ์ มีจดหมายจากทั่วประเทศเขียนมาถึงเป็นลังๆ

- มีครูสอนโต้คารม?

มี อาจารย์ที่โรงเรียนช่วยสอนบ้าง เช่น อาจารย์ทวี แดงหวาน แต่จริงๆ แล้วผมสั่งสมประสบการณ์ในการพูดมาจากการปราศรัยช่วยน้าชายหาเสียงตอนสมัคร ส.จ.ที่อำเภอสิชล ตอนนั้นผมอายุ 16 ปี ยังพูดไม่ค่อยเป็น แต่ก็มีคนมาฟังกันมากคงเพราะบอกกันปากต่อปากว่ามีเด็กมาพูด ปรากฏว่า น้าชายผมชนะเลือกตั้ง

- ได้สัมผัสกับการเมืองเต็มๆ ด้วยตนเองครั้งแรกเมื่อไหร่?

ตอน อายุครบ 25 ปี ในปี 2544 รัฐธรรมนูญกำหนดให้คนอายุ 25 ปีลงสมัครเลือกตั้งได้ แบบลงเขตเดียวเบอร์เดียวจึงตัดสินใจลงสมัคร ส.ส.สังกัดพรรคชาติพัฒนาโดยมี กร ทัพพะรังสี เป็นหัวหน้าพรรค

ตอน นั้นซื้อรถเก๋งมือสอง ยี่ห้อฮอนด้า แอคคอร์ด ขับลงไปที่บ้านเปิดเวทีปราศรัยอย่างเดียว มีคนฟังเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ มีคู่ต่อสู้คือ มาโนชย์ วิชัยกุล ของพรรคประชาธิปัตย์เป็น ส.ส.มาหลายสมัย ผมแพ้ได้คะแนนเป็นลำดับที่สอง แต่ได้คะแนนมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของพรรคชาติพัฒนาในภาคใต้

- สอบตกส.ส.แล้วกลับไปทำอะไรต่อ?

พอ สอบตกก็หมดตัว เหลือรถคันเดียวหมดไปหลายแสนบาท กลับมาบ้าน ตั้งหลักอยู่พักหนึ่ง ก็เริ่มมีงานทอล์คโชว์เข้ามา มีรายการโทรทัศน์ติดต่อเข้ามา อีกรายการรัฐบาลหุ่น ให้เลียนแบบเสียงของ ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี พอทำไปๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงภายใน มีบางส่วนถอนตัว แล้วผมเข้าไปทำหน้าที่แทนเขียนบทล้อการเมือง รายการเริ่มดัง เงินก็เข้ามามาก เริ่มไปเรียนต่อปริญญาโท คณะรัฐประศาสนศาสตร์ ที่นิด้า คิดว่ายังไงก็ควรจะมีฐานทางการศึกษาเพิ่มเติม เพราะว่าจะอย่างไรก็ตามผมก็ต้องกลับไปการเมืองอีก และงานที่ผมทำเป็นนักพูด นักบรรยายก็จำเป็นจะต้องมีวิชาความรู้อะไรพอสมควร

ปี 2548 ผมก็ลงสมัคร ส.ส.อีกครั้งในนามพรรคไทยรักไทย เขต 4 จ.นครศรีธรรมราช มีคนสมัคร 4-5 คน มีการทำโพล ผมคะแนนดีกว่าเพื่อน แต่ก็แพ้อีกได้คะแนน 28,000 คะแนน หมดตัวอีกรอบ แถมยังเป็นหนี้อีก ผมหมกตัวอยู่ในคอนโดฯไม่ออกไปไหนเลยไม่มีเงิน ได้กินข้าววันละ 2 กล่องที่แฟนซื้อมาให้ เป็นอย่างนี้ประมาณครึ่งเดือน ตัดสินใจนำสร้อยทอง ที่มีคุณค่ากับผมมากที่สุดไปขาย เป็นสร้อยที่ได้มาตอนเป็นแชมป์โต้คารมจากสมาคมผู้ปกครองและครูโรงเรียนมัธยม

- เลิกสนใจการเมือง ?

ไม่ ครับ จากนั้นเริ่มมีคนติดต่อให้ไปพูดอีก เริ่มมีรายได้ ผมเริ่มสนิทกับพี่ตู่-จตุพร พรหมพันธุ์ (พ.ศ.2548) พี่ตู่มักจะโทร.มาชวนไปนั่งกินข้าวด้วยกัน จากนั้นก็เริ่มคบกันมาอยู่ด้วยกันตลอด จนมีการตั้งรัฐบาล

มาคิดทำ โทรทัศน์ช่องเอ็มวี 1 โดยนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี มาจัดรายการก่อนที่จะเป็นเอ็มวี 1 ก็มีผมกับพี่ตู่ ไปจัดรายการทางยูบีซี 9 ชื่อรายการ "คุยข่าวมันวันอาทิตย์" ทำสักพัก ก็ไปทำเอ็มวี 1 โทรทัศน์ดาวเทียม

จากนั้นวันที่ 2 เมษายน 2549 ได้เป็นผู้แทนสมใจ หลังสมัครลงปาร์ตี้ลิสต์ อยู่ลำดับดีมากคือ 98 ส่วนพี่ตู่ลำดับ 97 เข้าไปรายงานตัว ได้บัตรผู้แทนราษฎร แต่การเลือกตั้งครั้งประกาศเป็นโมฆะ เป็น ส.ส.ได้เพียง 7 วัน

จนมาถึงวันที่ 20 กันยายน 2549 หลังเกิดการปฏิวัติ ผมกับพี่ตู่ โทร.หาพี่วีระ (วีระ มุสิกพงศ์ อดีตประธาน นปช.) พี่วีระก็บอกให้ไปเจอกันที่พรรคไทยรักไทยเปิดแถลงข่าวสู้ ว่าไม่ยอมรับการปฏิวัติ

ก็ไปที่พรรคไทยรักไทย ผมไม่รู้เรื่องไม่เคยสู้กับคณะปฏิวัติ ผมนึกไม่ออกเลย ผมอยากเป็นผู้แทนฯเฉยๆ จะสู้อย่างไรกับการปฏิวัติ แต่ผมเคยเป็นผู้ชุมนุมตอนเดือนพฤษภา สนามหน้าเมืองนครศรีธรรมราช มีการตั้งเวทีขับไล่เผด็จการ ไม่รู้จักแกนนำ และคิดอยู่ในใจแล้วว่าผมไม่เอาการรัฐประหารตั้งแต่พฤษภาคม ปี 2535

- พอการต่อสู้ดุเดือดขึ้นกลัวบ้างหรือเปล่า?

ผม เป็นคนไม่กลัวคน ผมเป็นคนสนุกสนานเฮฮา ถ้าพูดเอาฮาก็พูดได้ทั้งวันทั้งคืน แต่ว่าข่มเหงกันไม่ได้รังแกกันไม่ได้ ไม่กลัว ไม่เคยวิตกกังวลกับเรื่องว่าเขาจะเอาไปขังหรือไปฆ่าเวลาสู้

เพราะ ถ้าสู้แล้วมันคิดเรื่องนั้นไม่ได้ ถ้าคิดเรื่องนั้นก็ไม่ต้องสู้ แต่ไม่ใช่มุทะลุจนไม่รอบคอบ พรรคพวกก็บอกว่าผมได้ทั้งบุ๋นทั้งบู๊ ผมว่าจริงๆ ไม่ใช่ แต่ว่ามันอยู่ที่สถานการณ์ไหนควรทำอย่างไรจะไม่บู๊เพราะอารมณ์ โมโห แต่จะบู๊เพราะจำเป็นเท่านั้น และต้องให้ชนะเท่านั้น รวมทั้งต้องมีวิธีการที่ปลอดภัยที่สุด สมัยเด็กผมไม่เคยตีใครด้วยความโมโห ผมตีให้เพื่อนทั้งนั้นจริงๆ

- ในช่วงการต่อสู้ที่รุนแรง คิดถึงลูก?

ห่วง คิดว่าลูกไม่ควรมารับผิดชอบหรือเผชิญอะไรกับสิ่งที่เราสู้ ไม่แฟร์ เพราะว่าลูกควรจะมีชีวิตที่สะดวกสบายไม่ควรมีชีวิตผ่านความทุกข์และความกด ดัน แต่ว่าเมื่อเราออกมาสู้ลูกก็หลีกเลี่ยงผลกระทบพวกนี้ไม่พ้น ตอนถูกขังก็เป็นห่วง ห่วงมากเข้าก็เลยปรับวิธีคิดใหม่ ถ้าคิดว่าสามคนเป็นแค่ลูกเมีย มันห่วงไม่จบ ผมก็เลยคิดว่าเขาสามคนเป็นเสื้อแดง เมื่อสามคนเป็นคนเสื้อแดงเขาจะต้องสู้เขาก็ต้องผ่านความเจ็บปวดพวกนี้มาให้ ได้ เพราะครอบครัวเสื้อแดงหลายครอบครัว เจ็บปวดกว่านี้อีกคนที่เขารักตาย พิการ บาดเจ็บ ผมแค่ถูกขังก็มีวันออก เห็นหน้ากันได้ทุกวันเวลาไปเยี่ยม

- เข้าไปอยู่ในคุกได้อะไรบ้าง?

ผม อ่านหนังสือเป็นลังๆ มีญาติพี่น้องส่งให้ คิดว่าอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ไทยตั้งแต่ปี 2475 ถึงปัจจุบันจนหมดและประวัติศาสตร์การต่อสู้ของมหาตมะ คานธี เหมา เจ๋อ ตุง ดร.ซุน ยัด เซ็น การปฏิวัติ ชนชั้นนายทุนในอังกฤษการปฏิวัติฝรั่งเศส การต่อสู้ในปากีสถาน การต่อสู้ของโฮจิมินห์ ฯลฯ

อ่านแล้วเอามาเทียบ เคียงกับการต่อสู้ของเราจะเห็นมิติของการตัดสินใจมิติการประเมินสถานการณ์ ผลกระทบที่เกิดขึ้น บางเรื่องเทียบเคียงกันได้เลยบางเรื่องเป็นความแตกต่างที่เราเก็บไว้ในคลัง ของความรู้เผื่อว่าจะเจอเหตุการณ์แบบนี้ เผื่อว่าสถานการณ์การต่อสู้ของประชาชนมันมีลักษณะคล้ายคลึงกันเทียบเคียงกัน มันอยู่ที่เราจะจับอะไรมาพูด

- ทำไมจึงหยิบคำว่า "ไพร่" มาใช้ในการต่อสู้?

ผม เพียงแค่ต้องการสื่อสารกับคนทั้งสังคม ที่ผมเรียกตัวเองว่า "ไพร่" เพื่อจะสื่อว่าที่พวกคุณทำกับเราทุกอย่างเพราะไม่ได้เห็นเราเป็นประชาชนใช่ หรือไม่ เพราะเห็นเราเป็นไพร่ใช่ไหม จึงทำกับเราแบบนี้ ถ้าเห็นเราเป็นประชาชนต้องมีสิทธิเสรีภาพ แต่ถ้าเห็นเราเป็นไพร่จะจิกหัวใช้ยังไงก็ได้ จะรังแกจะกดขี่ทำอะไรก็ได้

ความ หมายของคำว่า "ไพร่" ของผมคือ ไม่ได้ต้องการจะบอกว่าคนจน-คนรวย เรื่องสูง-เรื่องต่ำ แต่เป็นเรื่องของคนที่ถูกกดขี่ ถูกลดทอนความเป็นประชาชน ผมต้องการสื่อสารสิ่งนี้

คำว่า "ไพร่" ไม่ใช่ว่าผมเพิ่งบัญญัติขึ้นมีการใช้มาชั่วนาตาปี แต่ผมต้องการจับคู่คำ จะเรียกว่า "ขี้ข้า" (หัวเราะ) มันก็ดูจะไม่เข้าเท่าไร ครั้นจะไปเรียกว่า "พี่น้องขี้ข้าทั้งหลาย" มันก็ไม่ได้ หาอยู่หลายคำ จนกระทั่งสุดท้ายมาใช้คำว่า "ไพร่" นำมาสร้างเรื่องราวเป็นสนามการต่อสู้ระหว่างอะไรกับอะไร ไม่เชิงประชดแต่ต้องการจะทิ่มแทงไปตรงใจกลางของปัญหา ส่วนคำว่าอำมาตย์ก็มาจากอำมาตยาธิปไตย ไม่ได้มีอะไรสลับซับซ้อน

ผม เชื่อว่าปัญหาทางชนชั้นของประเทศนี้มีจริง แล้วนายกรณ์ ก็ได้ยืนยันอีกครั้งว่ามีจริง ผมไม่คิดว่าปี 2554 จะมีคนคิดแบบนี้ได้ แต่ก็เป็นเรื่องที่สังคมได้เห็นแล้ว

- วางอนาคตของครอบครัวไว้อย่างไร?

ผม ว่าการต่อสู้ของคนเสื้อแดงอีก 3-5 ปีน่าจะได้ข้อยุติและหลังจากนั้นผมจะอยู่ในฐานะใดไม่ใช่เรื่องที่ต้องวิตก กังวล ผมก็ดูแลครอบครัวให้เติบโตเป็นชีวิตที่มีความสุขที่เขาต้องการเท่านั้น

คือ ทำบ้านเมืองให้น่าอยู่เสียก่อน แล้วค่อยทำบ้านเราให้น่าอยู่สำหรับลูกเมียของเราเอง ถ้าไม่ทำบ้านเมืองให้น่าอยู่สำหรับทุกคน มันหันมามองลูกเมียข้างหลังมันหันมองไม่เต็มตา เพราะหันไปมองข้างหน้ามันยังมีความเจ็บปวดมันยังมีการกดขี่เอารัดเอาเปรียบ กันอยู่แบบนี้