ที่มา ข่าวสด
คอลัมน์ เหล็กใน
มันฯ มือเสือ
ไม่ว่าจะเป็นเอแบคโพลที่พบว่าคะแนนภาวะผู้นำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปรับตัวสูงขึ้นทุกด้าน สวนทางกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพโพลที่สำรวจคะแนนนิยมคนกรุงเทพฯ ในช่วง "โค้งแรก" ของการเลือกตั้งพบว่า
พรรคที่ได้คะแนนนิยมมากที่สุด ร้อยละ 25.8 ในระบบบัญชีรายชื่อ ได้แก่ พรรคเพื่อไทย รองลงมาคือ พรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 14.7
ทั้ง ยังพบคนกรุงตั้งใจเลือกผู้สมัครระบบแบ่งเขตจากพรรคเพื่อไทยมากที่สุด ร้อยละ 26.3 รองลงมา คือผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 15.2
ส่วนคำถาม "แจ๊กพอต" ที่ว่าอยากได้ใครมาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีมากที่สุด
อันดับแรกคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ร้อยละ 26.9 อันดับรอง คือนายอภิสิทธิ์ ร้อยละ 17.4
ถึงอีกร้อยละ 49-52 ยังไม่ตัดสินใจเลือกใคร พรรคใด หรือยังไม่แน่ใจว่าจะเลือกใครเป็นนายกฯ
แต่ตัวเลขเท่าที่ออกมาก็ตอกย้ำบรรยากาศขับเคี่ยวกันระหว่าง 2 พรรคใหญ่
กระนั้น ก็ตามฝ่าย "เหนือกว่า" ยังประมาทไม่ได้ ด้วยเหตุว่าเป็นการสำรวจคะแนนนิยมช่วงโค้งแรก ยังเหลือเวลาเกือบ 40 วัน กว่าจะถึงคำตอบสุดท้าย
โอกาสพลิกผันเกิดขึ้นได้ทุกวินาที
และ แม้ตัวเลขโพลที่ออกมาสะท้อนว่า วาทกรรม "เสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง" รวมถึงการหยิบยกประเด็น "นิรโทษกรรมทักษิณ" เพื่อมุ่งทำลายเครดิตพรรคเพื่อไทยและน.ส.ยิ่งลักษณ์
อาจ "ไม่เวิร์ก" เสียแล้วสำหรับบางพรรค
แต่ตรงนี้เองที่พรรคเพื่อไทยและน.ส.ยิ่งลักษณ์ ยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวัง
กรณีกลุ่มเสื้อแดงไปชูป้าย ร้องตะโกนหน้าเวทีปราศรัยของนายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์
เพื่อทวงถามความยุติธรรมให้เหยื่อ 92 ศพจากเหตุการณ์เดือนเม.ย.-พ.ค.2553
อันเป็นการเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ ไม่มีความรุนแรง ทำได้โดยไม่ขัดต่อกฎหมายเลือกตั้งตราบใดที่ไม่มีการทำร้ายร่างกายกัน
แต่ อีกด้านหนึ่งก็เป็นการเปิดช่องให้ผู้ไม่หวังดี หรือ "มือที่สาม" ฉวยโอกาสก่อเหตุโยนความผิดให้คนเสื้อแดง อย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในกรณี "คนชุดดำ"
จึงเป็นเรื่องถูกต้องที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จะรีบประสานไปยัง นางธิดา โตจิราการ ประธานนปช.
เพื่อเร่งหาทางอุดช่องโหว่ดังกล่าว