ที่มา มติชน
รายงานพิเศษ
สิริญญา นิมะกุล
"น่าฮักเนอะ"
เป็นเสียงที่ดังออกมาจากปากของบรรดาพ่อค้าแม่ค้าและชาวเชียงใหม่ที่เดินจับจ่ายซื้อของอยู่ในตลาดวโรรส
หลัง จากได้เห็นภาพของเด็กชายตัวน้อยวัยเก้าขวบเดินเคียงข้าง "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ปาร์ตี้ลิสต์อันดับ 1 ของพรรคเพื่อไทยผู้เป็นแม่หาเสียง
การหาเสียงใน "บ้านเกิด" ของ "ยิ่งลักษณ์" ครั้งนี้ แม้จะเป็น "ครั้งแรก" ในฐานะ ผู้เสนอตัวชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีตัวที่ 28
กระนั้น ไม่สามารถถือได้ว่าเธอเป็น "น้องใหม่" ไปเสียทีเดียว
เนื่อง จากที่ผ่านมา "ยิ่งลักษณ์" มีประสบการณ์ในการขอคะแนน "คนเมือง" ให้สนับสนุน "พ่อเลิศ ชินวัตร" บิดา และ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" พี่ชายมาแล้ว
แต่ ทว่าเป็นครั้งแรกอย่างแท้จริงของ "น้องไปค์" ด.ช.ศุภเสกข์ อมรฉัตร ลูกชายคนเดียวของ "แม่ปู" ซึ่งสองแม่ลูกต่างช่วยกันชูนิ้วชี้ สัญลักษณ์เลข 1 อันเป็นหมายเลข ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทยอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าวในเดือนพฤษภาคม โดยเฉพาะ "น้องไปค์" ที่ส่งยิ้มจนตาหยีให้กับคนที่ผ่านไปมาอย่างรู้งานจน "ได้ใจ" พี่ป้าน้าอาไปไม่น้อย
ไปค์ อันมีความหมายถึง หอก, ทวน, หลาว ถือเป็นอาวุธ "ลับ" ทางการเมืองอีกชิ้นที่ถูกหยิบมาใช้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ เรื่องครอบครัวถูกมองว่าจะเป็นจุดด้อยของยิ่งลักษณ์ แต่ก็มีความพยายามพลิกให้เป็นบวกอย่างเราเห็น
"อาศัยแค่ว่า ถ้าช่วงไหนไม่มีโอกาสได้อยู่กับลูก ก็อาจจะขอลูกไปช่วยหาเสียงบ้าง เพื่อที่จะให้เขารู้สึกว่าแม่ไปทำงานจริงๆ นะ เขาจะได้สบายใจค่ะ" ยิ่งลักษณ์บอกถึงที่มาที่ไปของ "ผู้ช่วยตัวน้อย"
ด้วยความที่เป็นลูก ชายเพียงคนเดียว ทำให้ "แม่ปู" ห่วงความรู้สึกของ "น้องไปป์" มากที่สุด และก่อนหน้าที่จะตัดสินใจก้าวสู่ปลักโคลนทางการเมืองเธอได้ทำความเข้าใจกับ ลูกชายว่า "แม่" จะอาสาไปทำงานรับใช้ประเทศชาติ
"น้องไปค์เข้าใจว่า แม่ทำงาน เคยคุยกับเขาว่าแม่จะไปทำงานรับใช้ประเทศชาตินะ แม่เสนอตัวมาแข่งนะ ต้องรอผลว่าจะชนะการเลือกตั้งหรือไม่ คุยกับลูกว่าถ้าแม่มาทำงานการเมือง แม่อาจจะมีเวลาอยู่กับลูกน้อยลง เขาก็จะถามว่าน้อยลงแค่ไหนอะไร เราก็จะเล่าให้เขาฟัง สุดท้ายเขาก็ไม่พูดอะไร บอกว่าแล้วแต่แม่ ตอนนี้ลูกก็เริ่มปรับตัวได้แล้ว แต่อาจยังไม่ชิน"
"ยิ่งลักษณ์" เคยเล่าถึงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนนี้เมื่อครั้งที่ยังนั่งเป็นกรรมการผู้ อำนวยการ บ.เอสซี แอสเสท จำกัด ว่า "น้องไปค์" ทำให้ชีวิตของเธอมีความหมาย
"เป็น ช่วงที่มีความสุขที่สุด จากที่เมื่อก่อนเคยอยู่กัน 2 คนกับสามี (อนุสรณ์ อมรฉัตร) เสาร์อาทิตย์ก็ไปเดินเล่นกันไม่รู้จะไปทำอะไร ถือว่าน้องไปค์ทำให้ชีวิตครอบครัวนั้นมีความหมายมากที่สุด"
ด้วยความ รับผิดชอบในหน้าที่ทำให้เธอต้องบริหารเวลาว่างที่มีอยู่น้อยนิดให้แก่ลูก น้อยอย่างเต็มที่ "เราถือหลักว่าคนเราต้องบาลานซ์ทุกส่วนนะคะ ทั้งครอบครัวและชีวิตการงาน เวลาทำงานเราก็ทำอย่างเต็มที่ แต่ก็จะสละเวลาความเป็นส่วนตัวลงบ้างเพื่อให้แก่ลูก ตรงนี้เองเรากับลูกก็จะมีเวลาร่วมกันมากขึ้น เวลาทำงานก็ทำงานไป พอเลิกงานจะรีบกลับบ้านมาหาลูกแทนที่จะเที่ยวเตร็ดเตร่"
เมื่อวันเสาร์-อาทิตย์มาถึง "แม่ปู" ไม่รอช้าที่จะใช้โอกาสนี้อยู่กับลูกให้มากที่สุด
"วัน เสาร์จะเป็นวันของตัวเองแต่จะเอาลูกไปด้วย และทำกิจกรรมที่ลูกทำได้ ส่วนวันอาทิตย์นี่ก็จะอยู่ด้วยกันที่บ้าน ครึ่งเช้าจะพาลูกไปไดรฟ์กอล์ฟด้วยกัน พอตกบ่ายมาก็จะอยู่กัน 3 คนพ่อแม่ลูก"
โดยกิจกรรมที่ "แม่-ลูก" คู่นี้ชอบเป็นพิเศษคือการเล่นเปียโน
"บาง ทีคุณแม่ก็จะเล่นเปียโนกับลูก แม่เล่นมือซ้าย ไปค์เล่นมือขวา เนื่องจากเวลาเราน้อยสิ่งที่ควรจะทำคือหาอะไรที่เป็นกิจกรรมที่แม่กับลูกทำ ร่วมกันได้ จะทำให้เขารู้สึกว่าเวลาเยอะขึ้น?
ด้วยเหตุนี้ "น้องไปค์" จึงเป็นเด็กที่ติดแม่คนหนึ่ง
"ไป ค์ จะค่อนข้างติดคุณแม่ เพราะคุณแม่จะทำตัวว่าเป็นทั้งเพื่อนและแม่ ฉะนั้นเขาจะคุยกับเราได้ทุกเรื่อง แต่แม่ก็จะแบ่งบทบาทกับพ่อ คุณพ่อก็จะเป็นคุณพ่อที่ใกล้ชิดกับลูกเหมือนกัน แต่เป็นคุณพ่อที่มีระเบียบวินัย ที่ค่อนข้างเด็ดขาดหน่อย"
แต่ถ้าหากวันไหนติดภารกิจสำคัญ ผู้ที่จะมารับหน้าที่แทนไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นคุณพ่อของน้องไปค์นั่นเอง
"วัน ไหนกลับดึกจะบอกคุณพ่อว่าวันนี้ปูกลับดึก คุณพ่อก็จะมากล่อมลูกให้ พยายามสลับกันทำหน้าที่ น้อยครั้งมากที่จะทิ้งลูกอยู่ที่บ้านคนเดียว อย่างเวลาไปต่างประเทศเราต้องวางเวลาเหลื่อมกัน เพราะต้องมีคนหนึ่งดูแลที่บ้าน"
หัวอกคนเป็นแม่เธอก็เหมือน แม่ทั่วไปที่อยากเห็นลูกเป็นเด็กดีตั้งใจเรียน ที่สำคัญต้องเป็นคนน่ารัก เพราะถ้าทุกคนที่ใกล้ชิดรักเขาคนเป็นแม่จะภูมิใจ
"แม่ปู" จึงวาดหวังอนาคตของ "น้องไปค์" ไว้เพียงให้ลูกของเธอเป็นคนดีของสังคมเท่านั้น
"วันนี้ ไม่ได้ฝันมาก ขอแค่ว่าเขาเติบโตมาเรียนหนังสือ มีงานทำ เป็นคนดีของสังคม และสามารถอยู่ร่วมกันกับคนในสังคมได้ เป็นคนที่ทำประโยชน์ให้กับสังคมแบบนี้ก็พอค่ะ ไม่ได้คาดหวังว่าต้องเป็นนักธุรกิจต้องรวย ต้องมีเงินไม่ถึงขนาดนั้น"
สําหรับตัวตนของ "อนุสรณ์" คู่ชีวิตนั้น "ยิ่งลักษณ์" ให้คำนิยามสั้นๆ ว่า "ขี้อาย"
"สามีค่อนข้างขี้อายค่ะ คุณพ่อน้องไปค์จะไม่ค่อยชอบออกงาน เป็นคนง่ายๆ สบายๆ เลยไม่ค่อยได้เปิดตัว ส่วนใหญ่แล้วก็ทำธุรกิจเป็นหลัก"
แต่กระนั้น เมื่อถึงคราวที่ต้องตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตเธอได้นำปรึกษากับผู้เป็นสามีก่อน
"เขา ก็ให้แง่คิด 2 มุมน่ะค่ะ ว่าการเข้ามาทำการเมือง แน่นอนว่าเราต้องได้เจอกับแรงกดดันต่างๆ ทางด้านของสามีก็บอกว่ารับได้ไหมอะไรได้ไหม เราก็บอกว่าถ้าเราตั้งใจมาทำงาน ก็เชื่อว่าประชาชนก็คงจะให้โอกาสเราในการพิสูจน์น่ะค่ะ ฉะนั้น สิ่งที่เข้ามาในการเมือง แน่นอนก็ต้องอดทน"
กับข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับสามีที่ผ่านเข้ามานั้น???
"ยิ่งลักษณ์" ยืนยันหนักแน่นว่าสิ่งสำคัญที่สุดในการครองคู่คือความ "เชื่อใจ" ที่ต้องมีให้กันและกัน
"เรา ต้องเชื่อใจ ไม่ว่าข่าวอะไรก็ตาม ขอให้ทั้งตัวเองกับสามีต้องคุยกันเข้าใจกัน ทุกอย่างถ้าเราไม่เข้าใจกันเนี่ย อย่างไรต่อให้มาสะกิดนิดเดียว ไม่ต้องเยอะหรอกค่ะ ก็ทะเลาะกันแล้ว ว่าถ้าเราทำงานการเมือง ทั้งสองคนต้องมั่นใจและหนักแน่น"
"ที่สำคัญ อย่าให้อะไรมากระทบกับลูกเพราะไม่อยากเห็นลูกมองการเมืองเป็นภาพที่น่ากลัว อยากเห็นเขามองการเมืองเป็นสิ่งที่ทำคุณประโยชน์ให้กับสังคมมากกว่านะค่ะ" ยิ่งลักษณ์กล่าวตอนท้าย