WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, July 23, 2011

ปัญหาอุปสรรคทางแพร่งสำคัญของ ′รัฐบาลใหม่′

ที่มา มติชน



โดย เกษียร เตชะพีระ



(เรียบ เรียงเพิ่มเติมจากส่วนท้ายของปาฐกถา "บ้านเมืองเป็นเรื่องของเรา" ในงานสัมมนา "ขับเคลื่อนประเทศไทย ภายใต้บริบทเศรษฐกิจสังคมยุครัฐบาลใหม่" จัดโดยเครือธนาคารกสิกรไทย, สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และสถาบันอิศรา อมันตกุล ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ และเซ็นทรัลเวิลด์, 8 กรกฎาคม 2554)

รัฐบาล ผสมใหม่ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำซึ่งเพิ่งชนะการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา กำลังฟอร์มตัวขึ้นสู่อำนาจท่ามกลางบริบทแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงใหญ่ของสังคม การเมืองไทย ที่อำนาจกำลังเปลี่ยนย้ายในหมู่ชนชั้นนำ, การเมืองกำลังเปลี่ยนผ่านจากแวดวงชนชั้นนำไปสู่มวลชน และแนวนโยบายเศรษฐกิจกำลังเปลี่ยนแปลงจากการพัฒนาที่ชี้นำโดยเทคโนแครตไป เป็นการกระจายความมั่งคั่งที่ผลักดันด้วยพลังการเมือง

และในฐานะที่ ประกาศตัวอย่างเปิดเผยชัดเจนแต่แรกว่ารัฐบาลใหม่นี้เป็นรัฐบาลโคลนนิ่ง ทักษิณ รัฐบาลใหม่ก็อาจคิดและทำผิดพลาดเพลี่ยงพล้ำซ้ำรอยรัฐบาลทักษิณและรัฐบาลนอมิ นีทักษิณแต่เดิม จนประสบความล้มเหลวในการรับมือและฟันฝ่ากระแสแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงที่ กำลังเกิดขึ้นได้เช่นกัน

เพื่อที่จะเข้าใจรัฐบาลโคลนนิ่งทักษิณ จึงน่าจะทบทวนทำความเข้าใจลักษณะ ฐานะ และบทบาททางเศรษฐกิจการเมืองของรัฐบาลทักษิณสักเล็กน้อย

ใน กรอบของระเบียบเศรษฐกิจการเมืองเปรียบเทียบระดับโลก รัฐบาลทักษิณจัดเป็นรัฐบาลเสรีนิยมใหม่รุ่นสอง หรือที่เรียกว่าเสรีนิยมใหม่เชิงสังคม/ชดเชย (second-generation neoliberalism, or social/compensatory neoliberalism) เช่นรัฐบาลประธานาธิบดีบิล คลินตัน ของอเมริกา และรัฐบาลนายกฯโทนี แบลร์ ของอังกฤษ

ซึ่งปรับเปลี่ยนแตกต่างไปจากบรรดารัฐบาลเสรีนิยมใหม่รุ่น แรกที่ยึดมั่นหลักตลาดเสรี บริสุทธิ์สุดโต่งและต่อต้านการแทรกแซงของอำนาจการเมืองไม่ว่าจากการเลือก ตั้งหรือจากมวลชนโดยตรงเข้ามาในการบริหารจัดการเศรษฐกิจ (the anti-politics of market fundamentalists/neoliberal purists) เช่น รัฐบาลเผด็จการทหารของพลเอกออกุสโต ปิโนเช่ต์ แห่งชิลี, รัฐบาลประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ของอเมริกา และรัฐบาลนายกฯมากาเร็ต แธตเชอร์ ของอังกฤษ

รัฐบาลทักษิณปรับแนวนโยบายเสรีนิยมใหม่ให้เข้า กับความเป็นจริงของการเมืองเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยซึ่งเรียกร้องความชอบ ธรรมที่กว้างไปกว่าหลักการตลาดเสรี และต้องการแรงสนับสนุนของประชาชน ผ่านการสร้างนโยบายสัญญาประชาคมใหม่แบบประชานิยม (populist social contracts) นำเสนอสิทธิและความเสมอภาคแบบใหม่ที่ต่างไปจากสิทธิและความเสมอภาค แบบเดิมของรัฐชาติในระบอบประชาธิปไตย กล่าวคือ เปลี่ยนจาก [สิทธิที่จะมีส่วนร่วมทางการเมือง + ความเสมอภาคในการเข้าถึงบริการและสวัสดิการต่างๆ ของรัฐ] ---> [สิทธิที่จะมีส่วนร่วมในตลาด + ความเสมอภาคในการเข้าถึงตลาด]

นโยบาย ประชานิยมต่างๆ ของรัฐบาลทักษิณก็คือการ ติดตั้งอุปกรณ์ที่จำเป็น (ห่วงชูชีพ) เพื่อมวลชนโดยเฉพาะคนชั้นกลางระดับล่างซึ่งขาดแคลนทุน, ที่ดิน, ทักษะ, การศึกษา ฯลฯ สามารถเอื้อมถึงสิ่งเหล่านี้สำหรับอาศัยใช้มันในอันที่จะเข้าร่วมและประคอง ตัวลอยคออยู่รอดได้ในตลาดแข่งขันเสรี

เสรีนิยมใหม่ของ รัฐบาลทักษิณจึงมิใช่เสรีนิยมใหม่หรือตลาดเสรีบริสุทธิ์ หากมีทั้งแง่มุมเชิงสังคม (ประชานิยม) และเชิงอุปถัมภ์กลุ่มทุนพวกพ้อง (โลกาภิวัตน์แบบลำเอียงเข้าข้างทุนนิยม พวกพ้อง crony-capitalist oriented globalization) และดังนั้นจึงถูกต่อต้านคัดค้านจากพลังหลายฝ่าย โดยเฉพาะ 1) พลังฝ่ายขวาภาครัฐ-ราชาชาตินิยม ("อำมาตย์", คปค., พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย), 2) พลังฝ่ายซ้ายตลาดเสรี (TDRI) และ 3) พลังฝ่ายซ้ายที่ต้องการกระจายอำนาจและทรัพยากรออกไปจากภาครัฐและทุนมาให้ภาคประชาชน (สมัชชาคนจน ฯลฯ)

ตราบ เท่าที่รัฐบาลใหม่โคลนเอาแนวนโยบายเสรีนิยมใหม่เชิงสังคมและโลกาภิวัตน์แบบ ลำเอียงเข้าข้างทุนนิยมพวกพ้องของรัฐบาลทักษิณต้นแบบมา ตราบนั้นก็คงจะเผชิญกับพลังคัดค้าน ต่อต้าน 3 ฝ่ายดังกล่าวอีก

ใน ความหมายนี้ รัฐบาลโคลนนิ่งทักษิณจึงน่าจะเผชิญกับทางแพร่ง (dilemmas) ด้านแนวนโยบายใหญ่ๆ 3 ประการ คล้ายกับรัฐบาลทักษิณต้นแบบด้วย กล่าวคือ :-

1) ทางแพร่งระหว่างประชาธิปไตยกับหลักนิติธรรม หรือนัยหนึ่งทางแพร่งระหว่างอาญาสิทธิ์ที่ได้มาจากมติเสียงข้างมากของ ประชาชนในการเลือกตั้ง กับการจำกัดอำนาจรัฐไว้ให้อยู่ในกรอบที่ไม่ไปล่วงละเมิดรัฐธรรมนูญ, สิทธิเสรีภาพเหนือร่างกาย ชีวิตและทรัพย์สินของบุคคล และเสียงข้างน้อย, รวมทั้งเหล่าสถาบันตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจบริหารตามรัฐธรรมนูญ โดยมีศาลตุลาการอิสระเป็นกรรมการคุมเส้น

ทางแพร่งนี้จะแสดงออกอย่างรวมศูนย์เป็นรูปธรรมในปัญหาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเปรียบเสมือนกับระเบิดลูกที่หนึ่ง

2) ทางแพร่งระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้องเครือข่าย กับผลประโยชน์ส่วนรวม
หรือนัยหนึ่งปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน (conflict of interest) อันเป็นกลุ่มอาการประจำตัวของรัฐบาลทักษิณแต่ก่อน

ทางแพร่งนี้จะแสดงออกอย่างรวมศูนย์เป็นรูปธรรมในปัญหาการทวงคืนทรัพย์สินของคุณทักษิณและญาติมิตรที่ถูกรัฐยึดไปซึ่งเปรียบเสมือนกับระเบิดลูกที่สอง

3) ทางแพร่งระหว่างความจำเป็นสองด้านที่ต้องทั้งหาทางรอมชอมปรองดองกับชนชั้นนำ เก่า กับตอบสนองความเรียกร้องต้องการของฐานมวลชนเสื้อแดง ทำให้รัฐบาลใหม่จะตกอยู่ในแรงกดดัน 2 ด้านที่หนักหน่วงรุนแรงกว่ารัฐบาลทักษิณแต่เดิมก่อนเกิดการปะทะแตกหักกับ กลุ่มชนชั้นนำเก่า และก่อนเกิดมวลชนเสื้อแดงเป็นฐานพลังสนับสนุนในยามพ่ายแพ้ลี้ภัย

หาก ทำได้ รัฐบาลโคลนนิ่งทักษิณคงต้องการทั้งรอมชอมกับชนชั้นนำเก่าและเอาใจมวลชนเสื้อ แดงไปพร้อมกัน เพื่อบรรลุเป้าหมายอำนาจการเมืองและการทวงคืนความยุติธรรมของตน, แต่หากต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง คงง่ายกว่าที่รัฐบาลโคลนนิ่งทักษิณจะโน้มไปในทางเลือกรอมชอมกับชนชั้นนำเก่า แทนที่จะตอบสนองมวลชนเสื้อแดงอย่างเต็มที่ (ดังคำกล่าวของคุณทักษิณช่วงเลือกตั้งในทำนองว่าคนที่เจ็บกว่าใครเพื่อนต้อง ยอมลืมและให้อภัยก่อน)

รัฐบาลโคลนนิ่งทักษิณน่าจะหยิบ ยื่นสิ่งที่ไม่ใช่ข้อเรียกร้องหลักสำคัญ ที่สุดแก่มวลชนเสื้อแดงอย่างใจกว้าง ไม่ว่าให้ลำดับ ส.ส.บัญชีรายชื่อต้นๆ หรือตำแหน่งฝ่ายบริหารกับแกนนำเสื้อแดง, ยกย่องสดุดีหรือชดเชยค่าเสียหายบาดเจ็บล้มตายแก่ญาติมิตรของผู้เสียชีวิตใน เหตุการณ์มีนา-พฤษภาอำมหิต 2553, เปิดโอกาสเพิ่มงบประมาณให้คณะกรรมการชุดต่างๆ ไต่สวนแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างยืดเยื้อเรื้อรัง ยาวนานออกไปเรื่อยๆ ฯลฯ

ทางแพร่งนี้ย่อมแสดงออกเป็นรูปธรรม ชัดเจนและแหลมคมที่สุดในปัญหาความจริง, ความยุติธรรม และความรับผิดชอบต่อกรณี 92 ศพมีนา-พฤษภาอำมหิต 2553 ซึ่งเปรียบเสมือนกับระเบิดลูกที่สามนั่นเอง

ขณะที่ความแตก ต่างสำคัญระหว่างรัฐบาลทักษิณต้นแบบกับรัฐบาลโคลนนิ่งยิ่งลักษณ์ก็คือ รัฐบาลทักษิณปกครองโดยอาศัยรัฐธรรมนูญปฏิรูปการเมือง พ.ศ.2540 ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของฝ่ายบริหารโดยสร้างตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่เข้มแข็งขึ้นมา, ส่วนรัฐบาลโคลนนิ่งยิ่งลักษณ์กลับจะต้องบริหารอยู่ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ ประชามติ พ.ศ.2550 (รวมทั้งพระราชบัญญัติฉบับอื่นๆ ที่ออกโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติของ คมช.) ที่ออกแบบมา "เพื่อป้องกันคนอย่างทักษิณ" โดยจำกัดควบคุมอำนาจฝ่ายบริหารไว้ในบทบัญญัติต่างๆ มากมายผ่านกลไกและตัวแทนของสถาบันที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งด้วยเสียงข้าง มาก (non-majoritarian institutions) โดยเฉพาะฝ่ายตุลาการ

สรุป

เพื่อ ให้สอดคล้องกับบรรยากาศแห่งการปรองดองหลังการเลือกตั้งและต้อนรับรัฐบาลใหม่ ผมใคร่ขอสรุปจบลงด้วยเรื่องการปรองดอง 3 ข้อ กล่าวคือ

1) สำหรับพลังการเมืองทุกพรรคทุกฝ่าย การปรองดองที่สำคัญที่สุดคือปรองดองกับประชาธิปไตย หมายความว่า เราควรถือเป็นจุดเริ่มพื้นฐานในการออกเดินทางร่วมกันไปต่อจากนี้ว่า ประชาธิปไตยจะอยู่ยั้งยืนยงกับเราที่นี่, ฉะนั้น เราต้องหาทางปรองดองกับประชาธิปไตยและอยู่กับประชาธิปไตยให้จงได้ แม้ว่าผลการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยจะออกมาไม่ตรงกับใจเรา, ได้คนที่เราไม่ชอบหรือคิดว่าไม่ดี, เราก็ไม่มีทางเลือกของระบอบปกครองอื่นนอกจากประชาธิปไตย เพราะต้นทุนความเสียหายที่ได้เกิดต่อชาติบ้านเมืองมาแล้วในรอบ 5 ปีนี้ และจะเกิดต่อไปหากเลือกแก้ปัญหาด้วยรัฐประหารและระบอบเผด็จการอีก มันแพงเกินไป, การต่อสู้คัดค้านหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงทางการเมืองต่างๆ พึงต้องดำเนินไปภายใต้กรอบของระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น

2) สำหรับแฟนๆ ของคุณยิ่งลักษณ์ การปรองดองที่สำคัญที่สุดของรัฐบาลยิ่งลักษณ์คือ ปรองดองกับหลักนิติธรรมในความหมายของการเป็นรัฐบาลที่มีอำนาจจำกัด (the rule of law = limited government) บรรดาผู้สนับสนุนคุณยิ่งลักษณ์ควรต้องช่วยเธอโดยหาทางป้องกันไม่ให้ระบอบ ประชาธิปไตยภายใต้รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์กลายเป็นแบบอำนาจนิยมเหมือนสมัยรัฐบาล ทักษิณ เพราะระบอบประชาธิปไตยอำนาจนิยม (authoritarian democracy) อันหมายถึงรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยเสียงข้างมาก ทว่าใช้อำนาจเกินเลยไม่จำกัด ไปล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้คนพลเมืองโดยมิชอบนั่นแหละที่เป็นตัวขับดัน คนให้ไปหาการรัฐประหารเป็นทางออก

3) สุดท้าย สำหรับรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์เองและผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลาย วิธีจัดการ/ปรองดองกับพลังต่อต้านประชาธิปไตย ที่เรียกร้องรัฐประหารไม่ขาดปากนั้น ไม่ใช่ไปทำให้พวกเขากลายเป็น "วีรชน" ด้วยการกดขี่ข่มเหงรังแกพวกเขา แต่ควรทำให้พวกเขากลายเป็น "ตัวตลก" จะดีกว่า