ที่มา ประชาไท
ที่มา: เฟซบุ๊ค Charnvit Ks
22 กรกฎาคม 2554
จดหมายถึงว่าที่ นรม. หญิง จากนายเชิง แก่นแก้ว: ว่าด้วย “อาเซียน” และสงครามกับสันติภาพไทย-กัมพูชา
จดหมายถึงว่าที่ นรม. หญิง
จากนายเชิง แก่นแก้ว: ว่าด้วย “อาเซียน”
และสงครามกับสันติภาพไทย-กัมพูชา
A Letter to a Woman Premier from Nai Cherng
Kaenkeo (21 July 2011)
ถึง
ว่าที่ นรม. หญิง (ผ่านกัลยาณมิตร และสื่อมวลชน)
(1) เนื่องในโอกาสที่จะถึง “วันแม่แห่งชาติ” ปีนี้ และเนื่องในโอกาสที่
ฯพณฯ จะเป็นสตรีคนแรกที่ดำรงตำแหน่ง นรม. ของ “สยามประเทศไทย” ผมขอส่งความปรารถนาดีเนื่องในวันแห่ง
“ความรักอันยิ่งใหญ่”
ขอ “สันติภาพ” จงบังเกิดมีต่อพี่น้องร่วมชาติของเรา
กับมนุษย์ “ข้ามพรมแดน” ใน “ประชาคมอาเซียน” อุษาคเนย์
(2) ต่อสถานการณ์การเมือง (ที่) เป็นพิษ และสภาพที่เสี่ยงต่อ “สงครามที่คนอื่น
(อาจ) ก่อ” ขึ้นได้นั้น ผมหวังว่า ฯพณฯ ว่าที่ นรม. จะใช้ทั้งแรงกายแรงใจ สติปัญญา
รวมทั้งความเป็น “หญิง” ความเป็น “แม่” และความเป็น “ภริยา” ในการบริหารบ้านเมืองเพื่อประโยชน์สุขของประชามหาชนในชาติของเรา
และเพื่อสันติสุขของมนุษย์ “ข้ามพรมแดน” ใน “ประชาคมอาเซียน” อุษาคเนย์
(3)
ผมมีข้อเสนอ ดังต่อไปนี้
ก. โปรดให้ความสำคัญต่อ “อาเซียน” ในการดำเนินนโยบายต่างประเทศและการทูตของไทย
ข. โปรดสร้างสัมพันธไมตรี กับเพื่อนบ้านใกล้เคียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกัมพูชา
ลาว และพม่า
ค. โปรดไปเยี่ยมเยียน และสร้างความสัมพันธ์ด้านวัฒนธรรมเป็นหลัก โดยไปเยือนประเทศอาเซียนที่เคยมี
หรือกำลังจะมีผู้นำระดับชาติที่เป็นสตรี
ง. โปรดไปเยือนสถานที่ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม เช่น บรมพุทโธ (Borobudur) มัสยิดอีสติกัล (Istigal) หรือโบสถ์บาร๊อคฟิลิปปิน (Philippine Baroque Church) นาขั้นบันไดบานาเว (Banawe Rice Terraces) มหาเจดีย์ชเวดากอง
(Shwe Dagon) พุกาม (Pagan) ตลอดจนปราสาทวัดพู
(Vat Phou) ปราสาทนครวัด-นครธม (Angkor) ปราสาทจามปาหมี่เซิน (Myson) และ/หรือเมืองประวัติศาสตร์
เช่น เว้ (Hue) มะละกา (Melaka) และปีนัง (Pinang)
(4) อนึ่ง
ผมมีข้อเสนอเฉพาะกิจกับกัมพูชา ดังนี้ คือโปรด “เปลี่ยนเขตปลอดทหาร เป็นเขตสันติภาพถาวร”
(Turn the Demilitarized into a permanent Peace Zone) ตามแนวทางทั้งสองนี้ คือ
ก.
บทกวีประทับใจของสุจิตต์ วงษ์เทศ ที่ว่า
"ปราสาทพระวิหารสันติภาพ
ทาบปราสาทสวรรค์สโมสร
ศรีอุษาคเนย์นิรันดร
ประชากรหรรษาประชาคม"
ข.
คำสั่งของ ศาลโลก กรุงเฮก เมื่อวันที่ 18
กรกฎาคม ที่กำหนดให้มี “เขตปลอดทหาร” หรือ demilitarized zone รอบๆ
ตัวปราสาท ทั้งในเขตแดนของไทย และของกัมพูชา โปรดร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านในการนำเอา
"เขตปลอดทหาร" นั้น มาแปลงเป็น "เขตสันติภาพถาวร” ให้มีลักษณะเป็น
“เขตแดนร่วม” หรือ shared border ทั้งนี้เพื่อกิจการด้านวัฒนธรรม
เศรษฐกิจ ที่ปลอดจากการเมือง (ชาตินิยม) เป็นพิษ ทำให้เขตแดนเป็นสมบัติร่วมของ
"ชาวบ้าน" ของประชามหาชนทั้งสองชาติสืบไปชั่วกัลปาวสาน
ขออวยพรให้ ฯพณฯ ว่าที่ นรม. หญิง ประสบความสำเร็จในการทำงาน “เพื่อชาติ
และราษฎรของสยามประเทศไทย” ครับ
ด้วยความนับถือยิ่ง
เชิง แก่นแก้ว
น เกาะสิงหะปุระ
Love not War with ASEAN Neighbors, especially Cambodia, Laos and Burma
For PEACE click: http://www.petitiononline.com/sc2011/petition.html
PPS: แนบจดหมายเก่ามาเพื่อโปรดทราบด้วย ครับ FYI:
จากนายเชิง แก่นแก้ว: ว่าด้วยสงครามไทย-กัมพูชา
A Letter to a Khunying from Nai Cherng Kaenke
จดหมายถึงคุณหญิง จากนายเชิง แก่นแก้ว
(14 February 2011)
ถึงคุณหญิง และกัลยาณมิตร
(1) Happy Valentine’s Day และขอส่งความปรารถนาดีเนื่องในวันแห่ง “ความรัก”
ขอ “สันติภาพ” จงบังเกิดต่อพี่น้องร่วมชาติของเราใน
“สยามประเทศไทย” กับมนุษยชาติ “ข้ามพรมแดน” ใน “เขมรกัมพูชา”
ในลาว ในอุษาคเนย์ และใน “ประชาคมอาเซียน”
(2) ต่อสถานการณ์การเมืองปัจจุบัน ทำให้ผมนึกถึงข้อคิดข้อเขียนของ
อ. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อันเป็นที่รักเคารพของเรา “จากครรภ์มารดา ถึงเชิงตะกอน” (
From
Womb to Tomb) ที่กล่าวไว้ว่า
“เมื่อจะตาย ก็ขออย่าให้ตายอย่างโง่ ๆ อย่างบ้า ๆ
คือตายในสงครามที่คนอื่นก่อให้เกิดขึ้น
ตายในสงครามกลางเมือง
ตายเพราะอุบัติเหตุรถยนต์
ตายเพราะน้ำหรืออากาศเป็นพิษ
หรือตายเพราะการเมืองเป็นพิษ”
(3)
ผมเชื่อว่า “การเมือง
(ที่) เป็นพิษ” ในการเมืองภายในของบ้านเมืองเรา
ที่ลามปามไปยังประเทศเพื่อนบ้าน จาก “สันติภาพ”
(Peace) กำลังกลายเป็น “สงคราม” (War) จาก “สนามการค้า” (Market Place) กลับเปลี่ยนเป็น “สนามรบ” (Battlefield) นั้น ด้านหนึ่ง มาจากกิเลศและตัณหา จาก “โลภ-โกรธ-หลง”
และอีกด้านหนึ่งมาจาก “อวิชชา” จาก “อประวัติศาสตร์” ขาดความเคารพนับถือในสิ่งที่
“บรรพชน-บรรพกษัตริย์” ของเราได้ทำเอาไว้
และขาดการเคารพกติการะเบียบของสังคมโลกที่เป็น “สากล”
และเป็น “อารยะ”
(4) ปัญหาที่มาจากกิเลศและตัณหา ว่าด้วย “โลภ-โกรธ-หลง” นั้น ก็คือ
โลภ เพราะอยากได้ “ปราสาท” กับ “พื้นที่”
โกรธ เพราะไม่ได้ “ปราสาท” กับ “พื้นที่”
หลง เพราะคิดว่าอาจจะได้ “ปราสาท” กับ “พื้นที่”
(5) ส่วนปัญหาที่เกิดจาก “อวิชชา” จาก “อประวัติศาสตร์” และจากการขาดความเคารพนับถือในสิ่งที่
“บรรพชน-บรรพกษัตริย์” ของเราได้ทำไว้
ก็คือเรื่อง “หนังสือสัญญา” ฉบับต่างๆ
และแผนที่ 11 ระวาง (แผ่น)
ที่
“สยาม” Siam ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 5 กับ เสนาบดีพระหัตถ์ซ้าย-ขวาของท่าน คือ คือ สมเด็จกรมเทววงศ์
(การต่างประเทศ) และสมเด็จกรมดำรงฯ (มหาดไทย)
จำต้องทำและให้สัตยาบันไว้กับฝรั่งเศสไม่ว่าจะเป็นฉบับ ค.ศ. 1893-1904-1907
(ตรงกับ ร.ศ. 112, 122, 125 และตรงกับ
พ.ศ. 2436, 2447, 2450 ตามลำดับ)
(6) รวมทั้งแผนที่ 11 ระวาง (แผ่น ที่มักจะรู้จักกันในนามของ 1:
200,000)
ที่ขีดเส้นพรมแดนครอบคลุมดินแดนจากแม่น้ำโขงตอนบน
(แม่ กบ-เชียงล้อม)-น่าน-เทือกพนมดงรัก-ตลอดลงมาจนถึงเมืองตราด อันเป็นผลงานของ “คณะกรรมการเขตแดนผสมอินโดจีนและสยาม” (Commission de Delimitation
entre l’Indochine et Le Siam) และอัครราชทูตสยามประจำกรุงปารีส
(หม่อมเจ้าจรูญศักดิ์ กฤดากร) ที่ทรงรับมาเป็นจำนวน 50 ชุด และส่งกลับมากรุงเทพฯ
ถวายให้กับเสนาบดีการต่างประเทศ คือ สมเด็จกรมฯ เทววงศ์ เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม
พ.ศ. 2451 (1908)
(7) การที่ต้องทำหนังสือสัญญาต่างๆข้างต้น การที่ต้องให้สัตยาบัน
และการที่ต้อง “รับ”
แผนที่ 11 ระวาง (แผ่น) นั้นมา ก็เป็นไปตามปรัชญาความเชื่อว่าด้วย “ชาติ” ของ “ราชาชาตินิยม”
หรือ Royal Nationalism ที่จะต้องรักษา “เอกราช-อธิปไตย” ของสยาม/Siam เอาไว้
ต้องยอมรับว่าสยามมีพื้นที่หรือดินแดน “จำกัด”
(limited land) เป็นเพียง “รูปขวานทอง”
และต้องยอมสละ “ส่วนเกิน” หรือส่วนที่เป็น “ประเทศราช-เมืองขึ้น” ที่ไป “ได้ดินแดน” (ของ “คนอื่น” ของ “เขมร-ลาว-มลายู”)
มา ไม่ว่าจะเป็น “เสียมราฐ-พระตะบอง-ศรีโสภณ-จำปาศักดิ์-หลวงพระบาง-เชียงตุง-เมืองพาน”
ตลอดจน “เคดะห์-ปลิส-กลันตัน-ตรังกานู”
(ที่ต้องยอมยกและแลกเปลี่ยนไปกับอังกฤษ เมื่อปี พ.ศ. 2452 หรือ ค.ศ.
1909 ปลายรัชสมัย “เสด็จพ่อ ร. 5”)
(8) แต่เมื่อเกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 (1932)
พวก “ผู้นำใหม่”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวก “เสนาอำมาตย์” หรือ “ปีกขวา” นักการเมืองสายทหารของ
“คณะราษฎร” ก็เปลี่ยนปรัชญาความเชื่อของตน
เปลี่ยนและ “สร้างชาติ” ตามแนวลัทธิ “อำมาตยาเสนาชาตินิยม” หรือ Military-Bureaucratic
Nationalism (แทน “ราชาชาตินิยม” Royal
Nationalsim)
ลัทธิใหม่นี้ เปลี่ยนนามประเทศจาก “ราชอาณาจักรสยาม” จาก Siam
เป็น “ประเทศไทย” เป็น Thailand พ.ศ. 2482 (1939) รวมทั้งเปลี่ยนเนื้อร้อง “เพลงชาติ”
(แต่ ไม่ได้เปลี่ยนทำนอง) จากประโยคขึ้นต้นว่า “อันสยาม นามประเทืองว่าเมืองทอง.....” เป็น “ประเทศไทย รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย.....”
แล้วก็ปลุกระดมความ “รักชาติ” การ “กู้ชาติ” ดำเนินการขยายดินแดนด้วยการ “เรียกร้องดินแดน” เพื่อให้ “ประเทศไทย”
เป็น “มหาอานาจักรไทย” (สะกดด้วย
น. หนู ตามตัวสะกดที่ถูกรัฐบาลให้เปลี่ยนในสมัยนั้น) ดังนั้น “ประเทศไทย” หรือ Thailand ก็มีสภาพเป็น
expanded land หาใช่ limited land อย่างของ
“ราชอาณาจักรสยาม” หรือ Siam ไม่
(9) ในปี พ.ศ. 2484-85 หลังการเปลี่ยนชื่อประเทศเพียง 2 ปี ก็เกิด “สงครามอินโดจีน” รัฐบาลของหลวงพิบูลสงคราม ก็ส่งกำลังของกองทัพบก-เรือ-อากาศ
บุกเข้าไปยึดดินแดนต่างๆมาได้ อาทิ เมืองเสียมราฐ (เอามาเปลี่ยนชื่อเป็นไทยๆว่า “จังหวัดพิบูลสงคราม”)-ยึดพระตะบอง-ยึดศรีโสภณ-(และปราสาทพระวิหาร)-ยึดจำปา ศักดิ์
(และปราสาทวัดพู)-ยึดไซยะบุรี (เอามาเปลี่ยนชื่อเป็นไทยๆว่า “จังหวัดลานช้าง” สะกดโดยไม่มีไม้โท)
รัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม “ประกาศสงคราม” กับอังกฤษและสหรัฐอเมริกาเมื่อ
25 มกราคม พ.ศ 2485 (1942) และด้วยความช่วยเหลือของ “พันธมิตรญี่ปุ่น
“ ก็ทำการยึดเมืองพาน-เมืองเชียงตุง (ในพม่า
เอามาเปลี่ยนชื่อเป็นไทยๆว่า “สหรัฐไทยเดิม”) แถมญี่ปุ่นยังมอบรัฐมลายู เช่น “เคดะห์-ปะลิส-กลันตัน-ตรังกานู”
ให้มาอีก รัฐบาลพิบูลสงครามเอามาเปลี่ยนชื่อเป็นไทยๆว่า “สี่รัฐมาลัย”
(10) นี่คือสภาพ “อีรุงตุงนัง” และ “มรดกทางประวัติศาสตร์”
ของสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ประเทศชาติของเราเกือบถูกยึดเป็น “เมืองขึ้น” และผู้นำของ “อำมาตยาเสนาธิปไตย”
หลายคนเกือบกลายเป็น “อาชญากรสงคราม” ถูกจับประหารชีวิต เมื่อมหามิตรญี่ปุ่นถูกถล่มด้วยระเบิดปรมาณูแพ้สงครามไป
โชคดีที่มี ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ “ปีกซ้าย” ของ “คณะราษฎร” ตั้ง “ขบวนการเสรีไทย”
ทำการใต้ดินขึ้นมา “กู้ชาติ” ไว้ได้ ทำการ “ประกาศสันติภาพ” เมื่อ 16 สิงหาคม 2488 (1945) นี่คือผลงานของ “บรรพชน-มหาบุรุษ”
แต่ท่านปรีดี ก็ถูกกำจัดออกไปด้วย “การเมืองทราม-การเมืองเป็นพิษ”
(ถูกกล่าวหาใส่ร้ายป้ายสีในกรณีสวรรคตอันมืดมนของในหลวงรัชกาลที่ 8
เมื่อ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489) มีการ “รัฐประหาร พ.ศ. 2490”
โดยจอมพลผิน ชุณหะวัณ ที่นำ “อำมาตยาเสนาธิปไตย”
ของจอมพล ป. พิบูลสงครามกลับมา
และสืบทอดกันต่อๆมาโดยจอมพลสฤษดิ์-ถนอม-ประภาส ฯลฯ
และยังทรงอิทธิพลอยู่จนตราบเท่าทุกวันนี้
(11) จะเห็นได้ว่า “อำมาตยาเสนาชาตินิยม” ของสมัยจอมพล
ป. พิบูลสงคราม ที่มีหลวงวิจิตรวาทการเป็น “มันสมอง” มีทีมงานจากกรมศิลปากร (นายธนิต หรือ นายกี อยู่โพธิ์-นายมานิต วัลลิโภดม
หรือทีมงานของกรมโฆษณาการ (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นกรมประชาสัมพันธ์)
อย่างนายมั่น-นายคง (นายสังข์ พัธโนทัย) ก็ส่งมรดกตกทอดกันมายัง “สฤษดิ์-ถนอม-ประภาส” ตลอดจนทางสายของนักการเมืองพลเรือนอย่าง
“เสนีย์-คึกฤทธิ์ ปราโมช-ควง อภัยวงศ์”
เรื่อยมาจนบัดนี้เป็นเวลากว่า 70 ปี
จนถึงรุ่นของจำลอง-สนธิ-โพธิรักษ์-สมปอง-อดุล-ศรีศักร และรัฐบาลในปัจจุบัน
(12) นี่เป็น “หลุมดำทางการเมือง” (Political Black Hole) หรือ “หีบพยนต์-ผะอบนางโมรา” (Pandora’s Box) ที่หากตกลงไปก็ยากที่จะปีนป่ายขึ้นมาได้
หรือถ้าเปิดออกมา (จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม) ก็อาจถึงตายได้ คำถามของเรา ณ
บัด นี้ ก็คือเรา (หมายถึงคนส่วนใหญ่ของประเทศ นอก กทม.) จะรอดจาก “บ่วงกรรม” นี้ไปได้อย่างไร เราจะทำอย่างไรให้ “การเมืองเป็นพิษ” หรือ “การเมืองทราม”
กลายเป็น “การเมืองดี” ทำให้ประเทศชาติของเรารุ่งเรือง
มีศักดิ์มีศรี มีเกียรติภูมิในวงการระหว่างประเทศ
เคารพกติการะเบียบและกฎหมายระหว่างประเทศ ดำเนินการที่เป็น “สากล”
และเป็น “อารยะ”
กัลยาณมิตร และเพื่อนๆของผมในกลุ่ม “สันติประชาธรรม” ขอเสนอมายังคุณหญิงอีกครั้งหนึ่ง
และขอให้ช่วยนำความไปเรียนต่อ “บุคคลที่อยู่ใกล้ตัวคุณหญิง
ไม่ว่าจะเป็นพลเรือน หรือเป็นทหาร ไม่ว่าจะอยู่ที่ทำงาน หรืออยู่ที่บ้าน” ก็ตาม
ขอให้เรามาช่วยกัน “ปฏิบัติธรรม” ละเสียซึ่งโลภ-โกรธ-หลง
ขจัด “อวิชชา” และ “อประวัติศาสตร์” ในขณะเดียวกัน ก็ช่วยกันหลีกเลี่ยง “สงคราม” ช่วยกันแสวงหา “สันติภาพ
“ ช่วยกันทำให้ “สนามรบ” กลับเป็น “สนามการค้า” อีกครั้ง
ขอให้เรามาช่วยกัน ทำดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลของอุษาคเนย์-อาเซียน
ที่หลากหลายไปด้วยชาติพันธุ์ ระบบนิเวศ ธรรมชาติและวัฒนธรรม จาก “ดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ถึงพนมดงรัก
จากปราสาทพนมรุ้ง ถึงปราสาทพระวิหาร และปราสาทวัดพู จรดแม่น้ำโขงตอนกลาง ณ
คอนพะเพ็ง-แก่งหลี่ผี” กลายเป็น “มรดกโลกข้ามเขตแดน” เพื่อ “ความรัก-สันติภาพ-สันติสุข-และอหิงสา” ของ “ประชาคมอาเซียน” ที่ “ไร้พรมแดน”
ให้จงได้ (Asean Trans-Boundary World Heritage Sites from
Dong Phyayen-Khaoyai to Phnom Dangrek-Prasat Phnom Rung/Preah Vihear/Vat Phou
to Khone Papeng/Li Phi Falls and the Middle Mekong Basin)
ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพื่อ “ชาติ และราษฎรไทย” ของเรา
เพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อพ่อแม่พี่น้องลูกหลาน
หลายพันหลายหมื่นชีวิต ที่อยู่ตามแนวชายแดนกว่า 800 กิโลเมตร จากอุบลฯ ศรีสะเกษ
จากสุรินทร์ บุรีรัมย์ จากสระแก้ว-จันทบุรี-ถึงตราด ผู้คนที่เป็นเพียงชาวบ้าน
แค่ชาวชนบท ด้อยการศึกษา (ไม่มีแม้แต่ประกาศนียบัตรมัธยม โดยไม่ต้องพูดถึงระดับปริญญาตรี
อย่างเราๆท่านๆ ในเมืองหลวง)
และก็ด้อยซึ่งโอกาส ที่ต้องเผชิญต่อ “สงคราม” และสภาพของบ้านแตกสาแหรกขาด
สูญ เสียชีวิตและเลือดเนื้อ ทำมาหากินไม่ได้ ที่อยู่ทางฝั่งตะเข็บชายแดนของ “สยามประเทศไทย” ที่ร่วมชะตาและร่วมกรรมกับผู้คนที่ก็เหมือนๆกัน
เป็นญาติพี่น้องกัน ร่วมสายเลือดเดียว ทั้งยังร่วมวัฒนธรรม
ร่วมภาษากันในฝั่งตะเข็บชายแดนของ “เขมรกัมพูชา” จากสตุงแตรง ถึงพระวิหาร จากอุดรมีชัย ถึงบันทายมีชัย โพธิสัตว์ และเกาะกง
ดังข้อเสนอต่อไปนี้
1. ขอให้กองกำลังของทั้งสองประเทศใช้ขันติธรรม และความอดกลั้น
ยุติการสู้รบโดยทันที
ทั้งนี้เพื่อรักษาไว้ซึ่งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและกองทัพตามชายแดนของ
ทั้งสองฝ่าย
2.
ขอให้ถอนกำลังทหารของทั้งสองฝ่ายออกจากพื้นที่พิพาทอย่างเร่งด่วน
เพื่อลดการเผชิญหน้าทางทหารตามชายแดนระหว่างกัน
3. ขอให้ยุติเคลื่อนกำลังทหารเข้าไปยังจุดพิพาทอื่นๆ ที่ยังคงเป็นปัญหากันอยู่
เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะมิให้ขยายตัวออกไปยังจุดอื่นๆตามแนวชายแดน
4. ขอให้เร่งรัดการแก้ไขปัญหาพิพาทเรื่องเขตแดน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่พิพาทบริเวณปราสาทพระวิหาร
โดยผ่านกลไกการเจรจาทวิภาคีซึ่งมีอยู่แล้ว อันได้แก่คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมซึ่งได้จัดตั้งตามบันทึกความเข้าใจแห่งราช
อาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ลงวันที่ 14 มิถุนายน 2543
5. ขอให้ทุกฝ่ายยึดมั่นในหลักการแห่งอหิงสา
ยุติการนำประเด็นความขัดแย้งเรื่องเขตแดนมาแสวงหาประโยชน์ทางการเมือง
ไม่ว่าการเมืองภายในประเทศ หรือการเมืองระหว่างประเทศ
อันจะทำให้ปัญหาบานปลายกลายเป็นชนวนสงครามที่ยากจะหาทางยุติลงได้
ด้วยความระลึกถึง
เชิง แก่นแก้ว
สิงหะปุระ
Love not War with ASEAN Neighbors, especially
Cambodia and Laos