ที่มา ข่าวสด
คอลัมน์ รายงานพิเศษ
สถานการณ์การเมืองปัจจุบันเป็นอย่างที่หลายคนวิเคราะห์วิจารณ์ไว้
ว่าถึงแม้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะเป็น "จุดแข็ง" ช่วยให้พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งถล่มทลายเกินครึ่งสภา
แต่หลังจากนั้นเมื่อพรรคเพื่อไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับกลายเป็น "จุดอ่อน" มากที่สุดของรัฐบาลเพื่อไทย
ไม่ ว่าเรื่องใดก็ตามมีชื่อ"ทักษิณ" เข้ามาเกี่ยวข้อง มักจะถูกเครือข่ายฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลนำไปขยายผลทางการเมืองอย่างรวดเร็ว เหมือนไฟลามทุ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องระมัดระวัง
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะน.ส.ยิ่งลักษณ์และรัฐบาลชุดนี้มีภาพลักษณ์ติดตัวมาตั้งแต่แรกว่า
มี จุดมุ่งหมายสูงสุดในการทวงคืนทรัพย์สมบัติของทักษิณ ซึ่งถูกยึดไปหลังการรัฐประหาร 19 กันยาฯ 49 รวมทั้งการผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมช่วยเหลือเดินทางกลับประเทศโดยไม่ต้องติด คุก
ถึงน.ส.ยิ่งลักษณ์ จะกล่าวย้ำหลาย ครั้งว่า รัฐบาลชุดนี้จะทำงานแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนทั้งประเทศ ไม่ทำงานแก้ไขปัญหาเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง
แต่หลังจากรัฐบาลเข้ามาบริหารงานเต็มตัว เพียงแค่ไม่ถึง 2 สัปดาห์นับจากการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม
กลับมีภาพบางอย่างโยงใยระหว่าง"รัฐบาลยิ่งลักษณ์"กับ"ทักษิณ"สะท้อนออกมาในทิศทางตรงกันข้าม
ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวติดตามความคืบหน้าฎีกาของคนเสื้อแดงจำนวน 3 ล้านชื่อที่ยื่นขอพระราชทานอภัยโทษให้ทักษิณ
หรือ การจุดพลุเปิดประเด็นของพ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองพิจารณาคำตัดสินคดีซื้อขายที่ดินรัชดาฯ ใหม่
โดยมีร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ "สายล่อฟ้า"ประจำรัฐบาลคนล่าสุดออกมา ประสานเสียงขานรับ
พ.อ.อภิวันท์ กับร.ต.อ.เฉลิม ยกแง่มุมที่ว่า กรณีศาลฎีกาฯ ตัดสินจำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ 2 ปี ไม่ใช่คดีทุจริต แต่เป็นการทำผิดรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่กฎหมายอาญา
ต่อ มาเมื่อศาลแพ่งตัดสินว่าสัญญาการซื้อขายที่ดิน ระหว่างคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยาของพ.ต.ท.ทักษิณ กับกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเป็นโมฆะ และให้คืนเงินแก่คุณหญิงพจมาน เท่ากับไม่มีการซื้อขายเกิดขึ้น จึงถือว่าพ.ต.ท.ทักษิณไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการซื้อขายเพราะสัญญาเป็นโมฆะ ตั้งแต่แรก
อย่างไรก็ตามทั้งหมดเป็นการตีความของทางฝั่งพรรคเพื่อไทย ซึ่งต่อมาได้เป็นหัวข้อถกเถียงกว้างขวางในหมู่นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญ ด้านกฎหมายว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยขนาดไหน
ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ แสดงความเห็นแย้งทันทีว่า ถึงศาลแพ่งตัดสินให้การซื้อขายที่ดินเป็นโมฆะ แต่ถือว่าการซื้อขายมีการทำผิดกฎหมายเกิดขึ้นจริง จึงไม่สามารถหยิบยกคำพิพากษาศาลแพ่งขึ้นมาหักล้างคำพิพากษาของศาลฎีกาฯได้
พร้อมกันนั้นยังขยายผลโจมตีทางการเมืองข้อหาเดิมๆ คือ รัฐบาลยิ่งลักษณ์มุ่งทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือทักษิณให้พ้นผิด
นอกจากนี้ยังตอกย้ำว่า การเปิดประเด็น ขอให้ศาลฎีกาฯ รื้อคดีที่ดินรัชดาฯขึ้นมาวินิจฉัยใหม่
คือ"แผน สอง" ต่อเนื่องจาก"แผนแรก"กรณีคนเสื้อแดงเคลื่อนไหวทวงถามความคืบหน้าการยื่นถวาย ฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ ที่ถูก"ดอง"ไว้นานกว่า 2 ปีในยุค"รัฐบาลอภิสิทธิ์"เรืองอำนาจ
อย่างไรก็ตามกรณี"ฎีกาแดง" รัฐบาลพยา ยามชี้แจงว่าเป็นการสานต่อตามขั้นตอนปกติ ไม่ได้เกิดจากการเร่งรัดด้วยวิธีพิเศษ
สอดรับกับการที่พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ผู้รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง
สั่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 1 ชุด ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญกฎหมาย นักวิชาการ อัยการ ศาล และอธิบดีกรมราชทัณฑ์เป็นหลัก
ทำ หน้าที่กลั่นกรองตรวจสอบข้อเท็จจริงการยื่นถวายฎีกาดังกล่าว ให้ทุกอย่างเป็นไปตามข้อกฎหมาย และจารีตประเพณีการปฏิบัติ โดยไม่ได้กำหนดเวลาว่าจะต้องดำเนินการให้เสร็จเมื่อใด
อย่างไรก็ตามวิธีการของพล.ต.อ.ประชา ถึงจะช่วยลดแรงเสียดทานจากสังคมภายนอกได้ส่วนหนึ่ง
แต่ ด้านหนึ่งก็ฉายให้เห็นถึง กลยุทธ์ของฝ่ายตรงข้าม ที่พร้อมนำเรื่องที่เกี่ยวพันกับการช่วยเหลือทักษิณ ซึ่งมีทั้งเรื่องจริง เรื่องไม่จริง และเรื่องที่ยังคลุมเครือ
อย่างเช่น การคืนพาสปอร์ตแดง การถอนหมายจับของตำรวจสากล หรือการเดินทางเข้ากัมพูชา เป็นต้น มาขยายผลโจมตีได้ตลอดเวลา
ในจังหวะที่รัฐบาลเองก็มีปัญหาเต็มไม้เต็มมือให้ต้องเร่งรีบแก้ไข
ด่วนที่สุดตอนนี้ คือการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วม น้ำป่า ดินโคลนถล่มที่กลืนชีวิตประชาชนไปแล้วเกือบ 80 ราย
ปัญหา เศรษฐกิจปากท้องชาวบ้านที่ยังแก้ไขเห็นผลไม่ชัดเจน การโยกย้ายข้าราชการที่สังคมเริ่มเคลือบแคลงสงสัยว่า มีอะไรนอกเหนือจากเหตุผล"เพื่อความเหมาะสม"หรือไม่
ทุกอย่างเป็นปม ท้าทายรัฐบาลและนายกฯหญิงที่เคยขอเวลาพิสูจน์ผลงานใน 3 เดือน 6 เดือน ในสถานการณ์ลุ่มๆ ดอนๆ ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ไม่เห็นความจำเป็นว่ารัฐบาลต้องเร่งช่วยเหลือทักษิณใน เวลานี้
อีกทั้งล่าสุดตามสัญญาณที่ส่งผ่านมาจากแดนไกล ก็ไม่ได้แสดงอาการปลาบปลื้มใจกับแผนหนึ่ง-แผนสอง ที่คนในรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย พยายามทำเพื่อเอาใจสักเท่าไหร่
หาก ย้อนกลับไปตอนพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งใหม่ๆ แม้ทักษิณจะโผล่หน้าออกสื่อไทยสื่อเทศไม่เว้นวัน ด้วยเพราะเก็บอาการสะใจในชัยชนะไว้ไม่อยู่
แต่พอตั้งสติได้ทักษิณก็ รู้ดีว่า ตัวเองคือเงื่อนไขสำคัญหากต้องการให้ประเทศชาติเกิดความปรองดองเดินหน้าต่อ ไปได้ และที่สำคัญคือ ถ้าหากตนเองอยู่ต่างประเทศนานเท่าไหร่ พรรคเพื่อไทยก็อยู่เป็นรัฐบาลนานเท่านั้น
สิ่งที่รัฐบาลควรทำตอนนี้ จึงเป็นเรื่องการเดินหน้าสร้างผลงานให้ประชาชนได้ประจักษ์อย่างน้อยภายใน 6 เดือนตามที่เคยขอไว้ เมื่อรัฐบาลตั้งหลักได้มั่นคงแล้ว
ถึงเวลานั้นค่อยมาว่ากันเรื่อง "ของร้อน" อีกที