WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Monday, October 26, 2009

สงกรานต์เลือดคือ จุดเปลี่ยนของสงคราม อำนาจโบราณกำลังแพ้

ที่มา thaifreenews

บทความโดย...ลูกชาวนาไทย



หากจะกล่าวว่าคนเสื้อแดงได้รับชัยชนะในสงครามการต่อสู้ทางการเมืองครั้งนี้แล้ว ผมก็คิดว่าเร็วเกินไปที่จะกล่าวเช่นนั้น แต่ปัจจัยต่างๆ สามารถชี้ขาดได้ว่า "ขบวนการเสื้อแดงและท่านายกฯทักษิณ ชินวัตร" จะไม่พ่ายแพ้ทางการเมืองอีกแล้ว และกำลังอยู่ใน ขั้นรุกทางยุทธศาสตร์อย่างต่อเนื่องด้วย

ก็อย่างที่เห็น การเมืองระหว่างประเทศในการประชุมผู้นำอาเซียนที่หัวหินครั้งนี้ ผู้นำหลายประเทศแสดงความไม่พร้อมและไม่กระตือรือร้นในการเข้าร่วมเท่าที่ควร จะพูดได้ว่า "เข้าร่วมอย่างเสียไม่ได้" ด้วยซ้ำไป ประเทศสำคัญมาไม่ทันพิธีเปิด ที่จริงคือ บอยคอตทางการทูตนั่นแหละ


สุลต่านบรูไน เข้าพำนักในบ้านของท่านทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นปรปักษ์และศัตรูคนสำคัญของรัฐบาลไทย และปรปักษ์ของอำมาตยาธิปไตยอำนาจโบราณของไทยด้วย นอกจากนี้ การที่นายกฯฮุนเซน ของกัมพูชา ให้การต้อนรับ พล..ชวลิตอย่างดี รวมทั้งการบอกว่าได้สร้างบ้านพักให้ท่านทักษิณ ชินวัตร ที่กรุงพนมเปญ ซึ่งนัยยะทางการทูตคือ การให้ที่พักพิงและศัตรูของรัฐบาลไทย นี่คือ การแสดงความไม่เกรงใจ หรือไม่แคร์รัฐบาลไทยนั่นเอง

นี่ยังไม่นับรวมการที่ศรีลังกา ให้การต้อนรับท่านทักษิณ ชินวัตรอย่างดี

ทำไมต่างประเทศกล้าแสดงเช่นนี้ ผู้นำประเทศเหล่านี้ไม่รู้เชียวหรือว่า ท่านทักษิณนั้น ไม่ได้เป็นปรปักษ์ทางการเมืองอย่างแท้จริงกับ รัฐบาลของนายอภิสิทธ์ แต่เป็นปรปักษ์ทางการเมืองกับ "อำนาจโบราณ" ของไทยเลยทีเดียว รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เป็นเพียง นอมินี เท่านั้น แต่อำนาจเบื้องหลังนั้น คือ ตัวการสำคัญ

ผมว่าต่างประเทศเขารู้ครับ และเขาประเมินได้แล้วว่า "อำนาจโบราณ (นิยามว่าอำมาตย์เสียหน่อยแต่ความหมายกว้าง) ของไทย กำลังเสื่อมถอยและกำลังพ่ายแพ้กับ "สงครามความขัดแย้งทางการเมืองไทยครั้งนี้"

ปัจจัยเรื่อง ภาวะสุขภาพ นั้นเป็น "สัญญาณสำคัญ" ของแผ่นดินไหวระดับ 7 ริกเตอร์ เลยทีเดียว

ที่นี้ทำไมผมตั้งหัวข้อบทความนี้ว่า จุดเปลี่ยนของสงครามการเมืองไทยครั้งนี้คือ "สงกรานต์เลือด" ทั้งๆ ที่ฝ่ายรัฐบาล สื่อกระแสหลัก โหมโฆษณาว่านั่นคือ "ความพ่ายแพ้ของคนเสื้อแดง"




แต่ผมไม่คิดว่านั่นคือความพ่ายแพ้ แต่เป็นการถอยร่นทางยุทธศาสตร์ เพราะฝ่ายตรงข้าม "ระดมสรรพกำลังทั้งหมดที่พวกเขามี รุกเพื่อหวังทำลายล้างขบวนการคนเสื้อแดงให้สิ้นซาก" แต่ขบวนการของคนเสื้อแดงกลับไม่ได้ถูกทำลายพินาศแต่อย่างใด

ใครเป็นนักการทหาร หรือเสนาธิการของอำมาตย์ ก็คงเคยเรียนประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สอง ที่เยอรมันเปิดยุทธการ "สงครามบัลจ์" หรือ Battle of the Bulge [url]http://en.wikipedia.org/wiki/Battle_of_the_Bulge[/url] เพื่อหวังทำลายการรุกของพันธมิตรหลังการยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดี แต่เยอรมันรุกได้ประมาณเดือนครึ่ง ก็หมดพลังและโดนรุกกลับ สุดท้ายก็แพ้สงคราม นั่นเป็นการระดมสรรพกำลังรุกครั้งสุดท้าย

ทำไมผมจึงคิดว่า สงกรานต์เลือดเป็นอย่างนั้น ในศึกครั้งนั้น รัฐบาล กองทัพ และอำมาตย์ใหญ่คือเปรม ออกบัญชาการรบด้วยตัวเอง วางแผนทุกอย่าง ปิดล้อมด้านสื่อ สร้างสถานการณ์ให้คนเกลียดชังคนเสื้อแดง ด้วยการเอารถแก๊ส มาสร้างสถานการณ์ และสุดท้ายก็ใช้กำลังเข้าปราบ จุดประสงค์ของสงครามคือ "ทำลายล้างคนเสื้อแดงให้สิ้นซาก" แบบเดียวกับเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ผลของการรบคือ คนเสื้อแดงสลายการชุมนุม ผู้นำบางส่วนโดนคดี แต่นั่นเป็นผลทางยุทธวิธี เมื่อโดนทุ่มโจมตี ด้วยสรรพกำลังขนาดนี้ คนเสื้อแดงก็ต้องถอยร่น มันเป็นธรรมชาติของสงคราม การถอยไม่ได้หมายถึงการพ่ายแพ้

แต่ผลทางยุทธศาสตร์ของสงครามครั้งนั้น คือ คนเสื้อแดงแทนที่จะน้อยลง กลับเพิ่มมากขึ้น มีการปรับเปลี่ยนยุทธวิธี และขยายมวลชนเพิ่มเติม "อำนาจโบราณ" สร้างความเจ็บแค้นให้ชาวบ้านมากขึ้น ความรู้สึกต่อต้านแทนที่จะลดลงกับเพิ่มมากขึ้น

สงครามทางการเมือง ใครกุมหัวใจประชาชน ผู้นั้นกุมชัยชนะ เหมือนกับที่อำนาจโบราณกุมหัวใจประชาชนมากว่าครึ่งศตวรรษ แต่ศึกครั้งนั้น ทำให้เขาสูญเสียการกุมหัวใจประชาชนไปอย่างที่ไม่อาจเรียกกลับได้ด้วยการโปรประกันดาใดๆ

สงกรานต์เลือด จึงเป็นจุดเปลี่ยนของสงคราม ที่ "อำนาจโบราณ" มีพลังเพียงแค่นั้นเอง ใช้อย่างเต็มที่แล้ว ก็ยังไม่อาจทำลายล้างปรปักษ์ทางการเมืองได้ แต่ทำให้การต่อต้านขยายตัวและเปลี่ยนรูปแบบการต่อสู้ จนอำนาจโบราณนั้น ไม่มี "ยุทธวิธีหรือยุทธศาสตร์ใดที่จะเอาชนะสงครามครั้งนี้ได้"

เมื่อเอาชนะไม่ได้ "ความพ่ายแพ้จึงเป็นผลต่อเนื่องของสงคราม" รอวันถูกรุกกลับ และทำลายล้างลงไปเท่านั้น

ภาวะสุขภาพเป็นการ "ย้ำ" ว่า เวลาของอำนาจโบราณ (อำมาตย์ เช่นเปรม ฯลฯ) ใกล้หมดลงแล้ว

การทำสงครามยืดเยื้อ ในเวลาแก่ชรา เป็นไม้แทบจะถึงฝั่งรอมมะล่อแล้ว ในทางยุทธศาสตร์ถือว่าเขลาเป็นอย่างยิ่ง บริวารระดับรองลงมา เมื่อมองเห็นผลของสงครามเช่นนี้ "ภาวะกระโดดเรือหนี" จึงเห็นได้อย่างขัดเจน

ใครอ่าน "จดหมาย นพ.ประเวศ วะสี" ลูกน้องอำมาตย์ตัวเอ้ ฉบับล่าสุดนี้ จะเห็นได้ว่า "โทนของน้ำเสียงเปลี่ยนไป" อย่างชัดเจน จากแต่ก่อนเขียนด่าและตำหนิทักษิณเท่านั้น แต่ฉบับล่าสุดนี้ โทนของจดหมายคือ ผมยอมแล้ว ท่านสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น" แม้จะออกในทาง "ไว้ศักดิ์ศรีนิดๆ " ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่โทนของเสียง บอกชัดเจนว่า หมดทางสู้แล้ว

ในความเห็นของผม อำมาตย์มีทางเลือกทางเดียวคือ การเจรจา

ทางเลือกอื่นไม่มี การรุกทำลายเสื้อแดง ซึ่งก็คือ การเปลี่ยนใจคนไม่ต่ำกว่าครึ่งประเทศให้หันไปสยบอำนาจโบราณแบบเดิมนั้น ฟันธงเลยว่า เป็นไปไม่ได้ อยู่ที่ว่า พวกเขาจะยอมรักษาอะไรไว้