WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Wednesday, October 28, 2009

แหยงกลุ่ม 16 ไม่กล้าแตะ ‘ราเกซ’

ที่มา บางกอกทูเดย์

บี้ ‘ทักษิณ’ สุดขอบฟ้าไล่ล่าอัปยศใต้เงา ‘กษิต’กับบุคลที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติอย่างแท้จริง “กษิต ภิรมย์” กลับไม่เคยนำพา หรือว่าเป็นเพราะบางคดีมีเงื่อนงำและโยงใยคนการเมืองอย่างลึกซึ้ง

เรื่องความสำเร็จของผลงาน สำหรับกระทรวงการต่างประเทศในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ ภายใต้การบริหารของนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการ คงเป็นเรื่องที่ยากจะหยิบยกขึ้นมาเอ่ยอ้างเพราะจับไปตรงไหนก็ยุ่ยไปหมดยิ่งในการจัดการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 15 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป ถือเป็นผลงานติดลบที่เห็นได้ชัดที่สุด ว่ากระทรวงการต่างประเทศในยุคนายกษิตไม่ได้มีประสิทธิภาพในการจัดงานระดับภูมิภาคเลยเพราะการเตรียมการในเรื่องนี้ใช้เวลานานร่วม 6 เดือน นับตั้งแต่การประชุมล่มไปเมื่อเดือนเมษายนแถมยังมีการใช้งบประมาณในการจัดงานไปกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินงบประมาณที่มาจากภาษีอากรของประชาชนคนไทยทั้งประเทศโปรแกรมงานระดับนี้ จะต้องเป็นที่รู้ตัวล่วงหน้าสำหรับประเทศสมาชิกอาเซียนอย่างน้อยที่สุดก็ 2-3 เดือน

หากกระทรวงการต่างประเทศทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศทำหน้าที่อย่างชนิดที่มิตรประเทศให้การยอมรับ ประเทศไทยคงไม่ต้องประสบกับภาวะหน้าแตกขนาดนี้การอ้างภารกิจจนไม่สามารถมาร่วมเปิดประชุมได้ของผู้นำ 4 ชาติ สะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินงานที่ไม่มีประสิทธิภาพและล้มเหลวโดยสิ้นเชิงของนายกษิตปัญหาก็คือ วันนี้นายกษิตได้มีการทบทวนบทบาทหน้าที่ในการเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือยังเพราะสิ่งที่นายกษิตยังคงมุ่งมั่นทำ ก็คือ การติดตามไล่ล่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อย่างออกหน้าออกตา ด้วยเหตุผลที่นายกษิตรู้อยู่แก่ใจลึกๆ ว่าทำเพราะอะไร?หากมุ่งมั่นที่จะทำหน้าที่เพื่อติดตามคนที่ถูกกล่าวหา หรือคนที่ต้องคดีกันจริงๆ แล้ว ยังมีคดีของคนดังๆ อีกมากมายที่หลายคนชัดเจนแล้วด้วยซ้ำว่า ได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติไปแล้วแตกต่างจากกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เป็นการกล่าวหาโดยคณะบุคคลที่มาจากการกระทำรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 จนทำให้หลายๆ ประเทศยังคงยินดีต้อนรับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะถือว่าเป็นคดีทางการเมืองเป็นการลี้ภัยทางการเมือง ซึ่งประเทศทั่วโลกถือว่าเป็นกรณียกเว้นที่จะไม่มีการส่งตัวกลับ ในขณะที่คดีเศรษฐกิจดังๆ หลายคดี นายกษิตไม่เคยคิดที่จะใส่ใจดำเนินการอย่างถึงลูกถึงคนบ้างเลย ไม่ว่าจะเป็นการติดตามตัวนายปิ่น จักกะพาก อดีตผู้บริหารอาณาจักรเอกธนกิจที่อื้อฉาว ซึ่งปัจจุบันหลบหนีคดีไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษอย่างเปิดเผย ไม่ต้องยุ่งยากในการติดตามแต่กระทรวงการต่างประเทศ หรือนายกษิต ไม่เคยที่จะให้ความสนใจติดตามเลยแม้แต่น้อยอีกคนหนึ่งที่หลบหนีคดีมาเป็น 10 ปีแล้ว ทั้งๆ ที่ระดับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยในครั้งนั้น คือการล้มของธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ หรือแบงก์บีบีซี ซึ่งมีผลกระทบกับเศรษฐกิจของประเทศไทยนับหมื่นล้านบาท

นั่นคือฝีมือของนายราเกซ สักเสนา อดีตที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ แบงก์บีบีซีซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความล้มเหลวที่เห็นได้ชัดของกระทรวงการต่างประเทศ ในกาติดตามคนร้ายที่หลบหนีคดีไปอยู่ในต่างประเทศคดีเหล่านี้ นายกษิตไม่เคยที่จะสนใจ ผิดกับการติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ที่สนใจมากเป็นพิเศษมากเสียจนสร้างความเอือมระอาให้กับวงการทูต วงการรัฐมนตรีต่างประเทศของประเทศอื่นๆ จนกลายเป็น rumor ว่าเซ็งกับอาการก้าวร้าวและเก็บกดของนายกษิตเต็มทีแล้วจนทำให้การที่ไปเที่ยวคาดคั้น ขู่เข็ญหรือตั้งแง่ในเรื่องการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ รวมไปกระทั่งถึงระดับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กลายเป็นเรื่องตลกร้ายในวงการทูต ที่ไม่มีประเทศไหนให้ราคาอีกแล้วในขณะที่กรณีของราเกซ ทางประเทศแคนาดา รอแล้วรออีกให้ทางกระทรวงบัวแก้วของไทยแข็งขันในการที่จะดำเนินเรื่องให้ส่งตัวกลับ แต่ที่ผ่านมาทางไทยกลับเรื่อยๆ มาเรียงๆ เสียอย่างนั้นแหละหรือเป็นเพราะว่า หากนายราเกซ กลับมา จะกระเทือนไปถึงบรรดาบุคคลการเมืองที่คาบเกี่ยวอยู่กับการล้มของแบงก์บีบีซี จึงมีบางคนบางกลุ่มไม่ต้องการให้นายราเกซถูกส่งตัวกลับมาเมืองไทย เพราะในรอบนี้ ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม กระแสข่าวการส่งตัวนายราเกซกลับเมืองไทย มาจากทางประเทศแคนาดา โดยศาลอุทธรณ์มณฑลบริติช โคลัมเบีย ประเทศแคนาดา พิพากษายืนตามคำตัดสินของ นายมาร์ติน คูชอน รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมแคนาดา ที่จะให้ส่งตัวนายราเกซ มาให้ทางการไทยดำเนินคดีในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน และไม่ให้ประกันตัว เพราะเกรงว่าจะหลบหนีนั่นคือสะท้อนว่าศาลฎีกาประเทศแคนาดา ให้ความสำคัญในการส่งตัวนายราเกซ กลับมาให้ไทย เพราะคดียักยอกทรัพย์แบงก์บีบีซี มีมูลค่าสูงถึงกว่า 72 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2,500 ล้าน

เนื่องจากคดีกำลังจะหมดอายุความภายในปี 2553แต่นายศิริศักดิ์ ติยะพรรณ อธิบดีอัยการฝ่ายต่างประเทศ กลับยังคงออกตัวว่า จนถึงเวลานี้ ศาลฎีกาประเทศแคนาดา ยังไม่มีคำสั่งใดๆ ออกมา หลังจากที่นายราเกซ ยื่นเอกสารฎีกาไปแล้วเมื่อเดือน สิงหาคมที่ผ่านมา สิ่งที่ทางอัยการฝ่ายต่างประเทศ ทำคือเพียงแค่การประสานงานกับอัยการประเทศแคนาดา ซึ่งตรวจดูรายละเอียดคำร้องฎีกาของนายราเกซแล้ว ยังหวังว่าน่าจะมีการส่งตัวนายราเกซกลับ แต่ก็ต้องสัปดาห์หน้าเลยถึงอาจจะมีความชัดเจนในเรื่องนี้นี่คือประสิทธิภาพของการทำงานในการไล่ล่าคนของนายกษิต ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณคำถามที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ ทำไมกรณี ราเกซ สักเสนา พ่อมดทางการเงินที่อื้อฉาวเมื่อปี 2538 จึงมีคนไม่อยากที่จะให้กลับมาประเทศไทยหรือเพราะว่าเป็นเรื่องจริงที่นายราเกซพร้อมพวกได้ใช้ความแยบยลในการยักยอกทรัพย์ของแบงก์บีบีซี ด้วยการใช้วิธีการปล่อยกู้ที่มีความเสี่ยงสูง และกิจกรรมที่ใช้เงินทุนสูงมากให้พรรคพวกที่เป็น “นักการเมือง” ว่ากันว่าเป็นจำนวนหลายหมื่นล้านบาทก็ที่ดินเป็นหมื่นไร่ ซื้อมาในราคาไร่ละ 30,000 บาท แต่สามารถจำนองได้ถึงไร่ละ 300,000 - 500,000 บาทจากนั้นก็ใช้การแต่งบัญชีให้มีผลกำไรนับร้อยนับพันล้านบาท ทั้งที่ขาดทุนย่อยยับ! สุดท้ายแบงก์บีบีซี จึงล่มสลายลง เนื่องจากมีหนี้สินมหาศาลราว 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบประมาณ 1.2 แสนล้านบาท นายบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ต้องสั่งให้ นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น ดำเนินการสั่งปิดบีบีซี และตั้งคณะกรรมการเข้าควบคุมชำระบัญชีและทรัพย์สิน ในครั้งนั้นนายราเกซ ทิ้งคำพูดเป็นปริศนาเอาไว้ว่าเป็น “แพะรับบาป” จากกลุ่มผู้บริหารของบีบีซี และจากกลุ่มนักการเมืองซึ่งในเวลานั้น กลุ่มการเมืองที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับแบงก์บีบีซี ก็คือ กลุ่ม 16 นั่นเอง

โดยที่กลุ่ม 16 เป็นชื่อกลุ่มการเมืองที่เกิดจากการรวมกันของ ส.ส.รุ่นใหม่ ในยุค 2535 โดยส่วนใหญ่เป็น ส.ส.พรรคชาติไทย และ พรรคชาติพัฒนา ก่อตั้งกลุ่มเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2535 โดยมี นายเนวิน ชิดชอบ ส.ส.บุรีรัมย์ ร่วมกับ ว่าที่ร้อยตรีไพโรจน์ สุวรรณฉวี ส.ส.นครราชสีมา พรรคชาติพัฒนา นายจำลอง ครุฑขุนทด ส.ส.นครราชสีมา นายสุชาติ ตันเจริญ ส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรคชาติไทย นายธานี ยี่สาร ส.ส.เพชรบุรี นายวราเทพ รัตนากร ส.ส.กำแพงเพชร เป็นแกนนำ และมี นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคชาติพัฒนา รับบทหนุมานอาสาเป็นหัวหน้ากลุ่มวันนี้หลายคนยังวนเวียนอยู่บนถนนการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายเนวิน ชิดชอบ ที่แม้ว่าจะถูกตัดสินให้เว้นวรรคทางการเมือง แต่ก็ยังสามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้ทุกรูปแบบ เพราะคณะกรรมการการเลือกตั้งให้ความเกรงใจเป็นพิเศษยิ่งนายเนวิน ประกาศที่จะให้พรรคภูมิใจไทย ซึ่งเกิดมาจากนายเนวินและก๊วนเพื่อนเนวิน เติบโตเป็นพรรคใหญ่ และยึดครองเสียง ส.ส.ภาคอีสาน เพื่อสานฝันในการเป็นนายกรัฐมนตรีเช่นเดียวกับที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยฝัน และทหารอุ้มให้ความฝันเป็นจริงมาแล้วดังนั้นแน่นอนว่าความหลังเมื่อครั้งเป็นกลุ่ม 16 จึงสมควรที่จะต้องเป็นตำนานที่ต้องปิดฉากไปให้สนิท ไม่ควรให้มาปนเปื้อนกับความฝันครั้งใหญ่ของนายเนวินในวันนี้แม้ว่าการกลับมาของนายราเกซ อาจจะไม่ส่งผลอะไรกับบรรดาคนการเมือง หรือหลายๆคนในกลุ่ม 16 แต่บางคนก็อาจจะรู้สึกว่า ระวังไว้ก่อนก็ไม่เสียหายเพราะต้องไม่ลืมว่านายราเกซ ถือว่าเป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์อันดีกับนักการเมืองมากหลาย โดยเฉพาะคนในกลุ่ม 16 หากเกิดมี “ข้อมูลลับ” ขึ้นมาจริงๆ และเป็นข้อมูลชนิดที่หากออกมาแฉเมื่อไร ได้สะท้านแวดวงการเมืองเมื่อนั้นถ้าแบบนี้ สู้ให้นายราเกซอยู่ต่างประเทศต่อไปอีก 1 ปี เพื่อให้คดีขาดอายุความจะไม่ดีกว่าหรือก็คงต้องดูว่า กับคดีที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศระดับนี้ นายกษิตจะจริงใจในการล่าเอาตัวกลับมาดำเนินคดีเพียงใด