ที่มา thaifreenews
บทความโดย..ลูกชาวนาไทย
เหตุการณ์ทางการเมืองในสัปดาห์นี้ รู้สึกว่า ความรู้สึกที่หวั่นไหวกันในหมู่คนเสื้อแดง ที่ผมพอจะสัมผัสได้ในเว็บบอร์ดคือ การมีข่าวว่า ท่านทักษิณ ชินวัตร จะมีการเจรจา กับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เพื่อยุติความขัดแย้งทางการเมืองไทย ที่กำลังขัดแย้งกันอย่างรุนแรงหาทางออกไม่ได้นี้
กระแสนี้ก็เลยสร้างความหวั่นไหว ให้คนเสื้อแดงกลุ่ม "ก้าวหน้าค่อนข้างมาก" ที่คิดว่า หากทำอย่างนั้น เท่ากับว่าคนเสื้อแดงจะพ่ายแพ้ทางการเมือง มีการตกลงกันในหมู่ชนชั้นนำ เพื่อสลายความขัดแย้ง แล้วทิ้งประชาชนไม่สนใจการ "สถาปนาประชาธิปไตยที่สมมบูรณ์ อย่างที่คนเสื้อแดงกำลังต้องการอยู่ในขณะนี้”
กระแสข่าวนี้ไม่ใช่ว่า จะไม่มีมูลความจริง ผมเชื่อว่า ในสงครามจริงๆ นั้น การรบกับการเจรจา เป็นของที่ควบคู่กัน แต่ความขัดแย้งที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ไม่มีทางที่การเจรจาของคนสองสามคน จะทำให้สถานภาพความขัดแย้งเเปลี่ยงแปลงกลับไปสู่ความราบเรียบเหมือนก่อนเกิดวิกฤติการณ์ทางการเมืองได้ เนื่องจาก ความขัดแย้งที่ต่อเนื่องและยาวนาน ใช่ว่า จะสามารถทำให้จบลงได้อย่างรวดเร็วไม่ หากหลายๆ ฝ่ายที่เข้ามาสู่วังวนของความขัดแย้ง ยังไม่พึงพอใจ สถานการณ์ ความวุ่นวายก็ยังไม่มีทางที่จะจบสิ้น
กรณีคุณทักษิณนั้น การเจรจากับกลุ่มอำมาตย์ ผมคิดว่าเป็นอะไรที่วนไปวนมา ไม่มีทางหาข้อสรุปได้ เพราะปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ตัวคุณทักษิณ แต่มันอยู่ที่ "ชื่อเสียง เกียรติภูมิของคุณทักษิณ" ที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าตัว แม้ว่าคุณทักษิณ จะยอมรับยุติบทบาททางการเมืองอย่างที่อำมาตย์ต้องการ สถานการณ์ก็ไม่ใช่จบลงอย่างที่คิด เพราะประชาชน ผู้นำทางการเมืองต่างๆ ยังต้องการใช้ "ชื่อเสียงและเกียรติภูมิของคุณทักษิณ" เพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมือง เพื่อต้องการชนะเลือกตั้ง เขาก็ต้องใช้ชื่อเสียง Legacy ของคุณทักษิณ เพื่อรณรงค์ทางการเมือง สุดท้ายสิ่งที่อำมาตย์ต้องการทำลาย ไม่ใช่ตัวทักษิณแต่เป็น Legacy ของทักษิณ ที่พยายามทำลายมากว่าสามปี ซึ่งสุดท้ายก็ยังทำลายไม่ได้ แต่มันเข็มแข็งขึ้นเรื่อยๆ
Legacy ที่เข็มแข็งขึ้น เขาก็ยิ่งไม่ไว้ใจคุณทักษิณ แม้ทักษิณจะไม่ทำอะไร แต่การต่อต้านของประชาชนมันก็ยังไม่จบเสียที พวกอำมาตย์ ก็ระแวงทักษิณก็หาทางกำจัด หาว่าทักษิณอยู่เบื้องหลัง
สุดท้าย การเจรจาระหว่างทักษิณกับอำมาตย์ ก็ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด เพราะมันก็วนไปวนมาอยู่แบบนี้
ต่อให้คุณทักษิณ โดนฆ่าหรือ สังหารไป แต่ Legacy ก็ใช่ว่าจะจบ มันยิ่งแรง และยิ่งใหญ่ กลายเป็น "มหาบุรุษในตำนาน" ที่ยิ่งใหญ่ ศักดิ์สิทธิ์ และมีพลังมากขึ้นกว่าเดิม
ใครอ่านบทความเรื่อง Operation Hunter ที่ไล่ล่า กันด้วย F-16 ก็จะรู้ว่า พวกเขาคิดจะฆ่าทักษิณมากขนาดไหน
แต่หากใครดูหนังเรื่อง BraveHeart ก็จะเห็นชัดเจนว่า การฆ่า William Wallace ผู้นำปฎิวัติของคนสก็อตลงไป การลุกฮือของประชาชน ก็ไม่จบ แต่หนักหน่วงรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม ชื่อเสียง ของ Wallace ก็กลายเป็นตำนาน กระตุ้นการปฎิวัติแรงยิ่งกว่าเดิม มีคนต้องการ "สละชีวิตเพื่อมหาบุรุษในตำนาน" มากขึ้น สุดท้าย ก็ Robert Bruce ก็ใช้ Legacy ของ Wallace กู้เอกราชของสก็อตจนได้
กรณีทักษิณตอนนี้ก็ไม่ต่างกันมากมายนัก
ประเด็นต่อมาและสำคัญคือ ที่ผมคิดว่าเป็น “รากฐานของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทยในขณะนี้” คือ
"ประชาชนในชนบทได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว"
พวกเขาตระหนักถึง สิทธิและพลังในการเลือกตั้งแบบเป็นกลุ่มก้อนของพวกเขาแล้ว พฤติกรรมการเลือกตั้งของคนชนบทได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง จากเลือกตัวบุคคล เป็นการเลือกพรรคแล้ว
เมื่อ "คุณสมบัติพื้นฐานของผู้เลือกตั้ง" เปลี่ยนจากการเลือกตัวบุคคล เป็นการเลือกพรรค
การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างถอนรากถอนโคนก็มาถึง
เราจะไม่เห็นระบบหลายพรรคในการเมืองไทยอีกต่อไปแล้ว การแข่งขันจะเน้นในด้านนโยบาย และฝีมือการบริหาร การออกนโยบายที่เพ้อฝัน ทำไม่ได้ ก็จะไม่มีทางได้เกิดทางการเมืองอีกต่อไปได้
และที่สำคัญคือ "อำนาจการล็อบบี้ของอำมาตยาธิปไตย" ก็จะหมดไป เพราะการเมืองไม่ได้กระจัดกระจาย เป็นหลายขั้วอำนาจอีกต่อไปแล้ว แต่จะเหลือเพียงสองขั้วใหญ่ๆ คือ ฝ่ายก้าวหน้า กับฝ่ายอนุรักษ์นิยม
ทั้งสองกลุ่มนี้จะต้องแย่งประชาชนกัน ซึ่งสิ่งที่เขาจะต้องเอาไปแลกคือ การหยิบยื่นสิ่งที่ นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า "Social Welfare" หรือความมั่งคั้ง ใครเสนอได้ดีกว่า เป็นไปได้มากกว่าฝ่ายนั้นก็ได้อำนาจไปครองขั่วคราว 4 ปี
ดังนั้น ในความเห็นของผม "หากมีการเจรจากันจริง" สิ่งที่จะยุติคือ "สงครามปฎิวัติประชาชน" ที่ทำลายโครงสร้าง "สถาบันเก่าแก่" ของไทยไปเท่านั้น
แต่การปฎิรูปประชาธิปไตย จะยังดำเนินต่อไป การขจัดอำนาจของอำมาตยาธิปก็ยังจะดำเนินต่อไป
ผมว่าหากเจรจากันจริง ก็คงยุติสงครามปฎิวัติแบบฝรั่งเศสหรือรัสเซีย
แต่การปฎิรูปแบบอังกฤษ หรือญี่ปุ่นก็ยังจะดำเนินต่อไป สุดท้ายหากมีการเจรจากันได้สำเร็จ การเมืองไทยจะเป็นแบบอังกฤษ
หากไม่สำเร็จ ผมว่ามันจะยุติความขัดแย้งที่มุ่งไปสู่สงครมปฎิวัติได้ยาก เพราะมันไปในทิศทางนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ
ประชาชนเกินครึ่งประเทศ ไม่ค่อยแคร์กับ "โครงสร้างดั้งเดิม" สักเท่าไหร่แล้ว
หากเจรจากันจริง ฝ่ายเสื้อแดงที่ไม่พอใจคือ อาจเป็นกลุ่มแดงซ้าย หรือโซเชียบลิสต์ สุดกู่ แบบ อ.ใจ อึ้งภากรณ์" แต่พวกโซเชียลลิสต์ แบบกลางๆ ไม่สุดขั้วหลายคนก็คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะพวกเขารอได้
ผมคิดว่า พล.อ.ชวลิต คือคีย์แมนในเรื่องนี้
เพียงแต่ว่า กลุ่มอำมาตยาธิปไตย ที่มีทั้งสายเหยี่ยวและสายพิราบ จะเข้าใจหรือไม่เท่านั้น เข้าใจ ก็จะรักษาสถานภาพแบบอังกฤษเอาไว้ได้ หากไม่เข้าใจ ยังคิดจะเอาชนะปราบปรามประชาชนให้ราบคาบ หมุนกาลเวลาของประเทศกลับไปเหมือนก่อนปี 2549 แล้ว "หยุดกาลเวลา" เอาประเทศไว้ตรงนั้นตลอดไป
ผมคิดว่า สถานการณ์ของประเทศไทยก็จะค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าไปสู่สงครามปฎิวัติประชาชน มากขึ้นเรื่อยๆ
ถึงอย่างไรประเทศไทย ก็ไม่มีทางกลับไปเหมือนเดิมได้อีกแล้ว
สรุปคือ คนเสื้อแดงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการเจรจามากนัก
เพราะถึงอย่างไร ทุกฝ่ายก็ต้องมาเอาใจ “ประชาชน” ที่พฤติกรรมการเลือกตั้งเปลี่ยนไปแล้ว
พวกเขานอกจากจะต้องตกลงกันเองให้ได้แล้ว ก็จะถึงเวล มาเอาใจยักษ์หลับที่ตื่นขึ้นมาแล้ว คือประชาชน
หลังปี 2549 ประชาชนไม่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
จิตสำนึกของประชาชน ไม่ใช่ไพร่อีกต่อไปแล้ว และพวกเขาไม่กราบและบูชาพวกศักดินา ชนชั้นสูงกันอีกต่อไปแล้วด้วย
เมื่อจิตสำนึกของประชาชนเปลี่ยน โครงสร้างของสังคมจะเปลี่ยนแปลงตาม