WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Tuesday, November 24, 2009

บทรำพัน..วันสุกดิบก่อนสงครามใหญ่ เสื้อแดง VS. อำมาตย์ 28 พ.ย.52

ที่มา thaifreenews

บทความโดย...ลูกชาวนาไทย


ก็คาดว่าสงครามทางการเมืองไทยในเดือนธันวาคม 2552 นี้จะร้อนแรงครับ ทุกฝ่ายไม่มีฝายใด ย่นระย่อหรือไม่มีใครกลัวใครอีกต่อไป ไม่มีฝ่ายใดท้อถอยหรือหมดกำลังใจ ทั้งสองฝ่ายขวัญและกำลังใจยังไม่ย่อหย่อนลงไปแม้แต่น้อย

สถานการณ์ศึกตอนนี้ จึงเปรียบเสมือน "ช่วงระดมพล" ของมหาอำนาจต่างๆ ก่อนกระโจนเข้าสู่สงครามใหญ่ เหมือนครั้งสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง หรือสงครามโลกครั้งที่สอง

ผมจึงคาดว่าการศึกยังอีกยาวไกล สนามรบยังคงต้องนองไปด้วยซากปรักหักพังอีกต่อไป

ผมคาดว่าในด้านมวลชน ไม่มีฝ่ายใดสามารถขยายมวลชนพิ่มได้อีกแล้ว ไม่ว่าฝ่ายคนเสื้อแดงหรือคนเสื้อเหลือง ไม่ว่าจะทุมการโฆษณาชวนเชื่อ ทำ ปจว. อย่างหนักหน่วงอย่างไรก็ตาม ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนใจมวลชนทั้งสองฝ่ายได้อีกแล้ว ไม่ว่าจะใช้เงื่อนไขใดก็ตาม

จะปลุกกระแสชาตินิยม ก็คงไม่ได้มากไปกว่านี้

จะปลุกกระแส สถาบัน ผมว่าคนก็คงไม่มีปฎิกริยามากไปกว่านี้


เรียกว่าเงื่อนไขทางจิตวิทยาในการปลุกเร้ามวลชนไม่มีผลต่อการสร้างมวลชนได้เพิ่มเติมอีกแล้ว

เงื่อนไขต่างๆ ได้ "ยกออกมากองต่อหน้าคนทั้งประเทศแล้ว"

คงไม่มีคนเกลียดทักษิณมากไปกว่านี้

และคงปลุกกระแสเรื่องสถาบัน ไม่ได้มากไปกว่านี้

ทุกอย่างถึงจุดอิ่มตัวหมดสิ้นแล้ว

เหลือแต่การ "ปะทะกันด้วยอำนาจเท่านั้น"

1. ฝ่ายรัฐบาล หรือคนเสื้อเหลือง หรืออำมาตยาธิปไตย

ผมคิดว่าฝ่ายนี้ได้ระดมอาวุธ สรรพกำลังทั้งหลายเท่าที่มี ไม่ว่าอำนาจรัฐ กองทัพ ตุลาการภิวัฒน์ และมวลชนฝ่ายขวา หรือเงื่อนไขสถาบัน ผมว่ากลุ่มอำมาตย์ได้เอาออกมาใช้จนหมดสิ้นแล้ว

แม้แต่การไล่ล่าทักษิณ บีบบังคับมิตรประเทศทั้งหลายทั่วโลกให้ส่งตัวทักษิณให้ หรือแม้แต่ทะเลาะกับเพื่อนบ้านเช่น กัมพูชา เพื่อบีบกรณีทักษิณ จนบานปลายคุมไม่ได้ หรือแม้แต่ การวางแผนสังหารด้วยการจารกรรมข้อมูลตารางการบิน เพื่อใช้เครื่องบินรบเข้าบีบให้ลงจอดหรือยิงทำลาย ฝ่ายอำมาตย์ก็ได้ทำจนหมดสิ้นแล้ว

แต่ก็ยังไล่ทักษิณไม่จนมุม

การใช้นโยบายรัฐบาลเพื่อซื้อใจคนรากหญ้า โดยไม่ละอายต่อการกลืนน้ำลายตนเองเรื่อง "ประชานิยม" ตั้งแต่แจกเงินสองพันบาท นโยบายปลดหนี้ อะไรต่าง ๆ ก็ทำหมดแล้ว

แต่มวลชนสนับสนุนฝ่ายอำมาตยาธิปไตยก็ไม่เพิ่มมากขึ้น สถานการณ์ไม่ได้เปรียบในการสงครามครั้งนี้แต่อย่างใด

2. ฝ่ายคนเสื้อแดง ทักษิณ และประชาธิปไตย


ฝ่ายคนเสื้อแดงนั้น หากคนที่ไม่ได้คลุกคลีกับคนเสื้อแดง นักวิเคราะห์แต่จากวงข้างนอก แล้วเดาเอา แบบ ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ หรือนักวิชาการล้าหลังมวลชน บวกกับสื่ออำมาตย์ทั้งหลาย ก็จะ "คิดเอาเองแทบทั้งหมดว่า "คนพวกนี้ถูกทักษิณหลอกมา หรือ โดนทักษิณซื้อ

โดยเฉพาะพวกที่ "บ้าการเมืองภาคประชาชน" หรือการเมืองของเอ็นจีโอก่อนหน้านี้ ก็จะมองด้วยความไม่เข้าใจว่าคนเสื้อแดงเป็นอย่างไร แล้วพวกเขาก็สรุปด้วยอวิชชาว่า คนพวกนี้ถูกทักษิณหลอกมา หรือ เป็นเบี้ยล่างของนักการเมือง หรือเกมการเมืองเป็นต้น

ในฐานะที่คลุกคลีกับเสื้อแดงมาแต่เริ่มต้น และอยู่บนคลื่นกลุ่มต้นๆ ของ "นักรบไซเบอร์" ทั้งหลาย รวมทั้งได้พบปะกับมวลชนต่างๆ ผมสรุปได้ว่า "คนเสื้อแดง" ประกอบด้วยคนสองกลุ่มคือ กลุ่มคนชั้นกลางก้าวหน้าทั้งที่นิยมอุดมการณ์แบบเสรีนิยม และอุดมการณ์แบบโชเชียลลิสต์ (แต่ทั้งสองกลุ่มเกลียดเผด็จการอำนาจนิยม เพียงแต่แตกต่างกันที่แนวคิดด้านเศรษฐกิจ) อีกกลุ่มหนี่งคือ คนรากหญ้าที่สู้เพื่อปากท้องของตน

สำหรับคนชั้นกลางนั้น ไม่ต้องวิจารณ์มาก พวกเขา เกลียดเผด็จการอำนาจนิยม และหวังที่จะปฎิวัติประชาธิปไตย พวกเขามีทั้งนิยมทักษิณเป็นการส่วนตัว (เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะนิยมยกย่องวีรบุรุษในความคิดของเขา) หรือ หวังที่จะเกาะกระแสทักษิณเพื่อนำไปสู่การปฎิวัติประชาธิปไตย คนพวกนี้มีจำนวนไม่น้อย อย่างน้อยก็น่าจะ 30-40% ของคนชั้นกลางในกรุงเทพ (ข้อพิสูจน์คือ ผลการเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ครั้งล่าสุด ระหว่าง แซมและสุขุมพันธุ์ น่าจะบอกสัดส่วนของแต่ละฝ่ายได้ดีที่สุด คะแนนของปลื้มคือ คนในเมืองที่ไม่เอาทั้งสองพวก)

สำหรับคนรากหญ้าที่นิยมทักษิณนั้น พวกเขาเลือกสู้เพื่อปากท้องของตน หากมองเผินๆ ก็น่าจะเป็นแค่นี้ เขาเลือกทักษิณ เพราะทักษิณมีนโยบายช่วยเหลือพวกเขา

แต่สำหรับคนที่เกิดในชนบทอย่างผม ผมคิดว่ามีอะไรที่มากกว่านั้น มีบางสิ่งบางอย่างได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มคนในชนบท นั้นคือ "พฤติกรรมการเลือกตั้งที่เปลี่ยนไป" ก็อย่างที่ผมเคยพูดเอาไว้หลายครั้ง คนชนบทหลังปี 2540 เป็นต้นมา มีพฤติกรรมการเลือกตั้งที่เลือกเป็นพรรคโดยตลอด หากมองลึกลงไป คือ เกิดการเรียนรู้ขึ้นอย่างสำคัญในชนบทคือ พวกเขาตระหนักถึงพลังของ 1 เสียงของพวกเขา และพวกเขาจะเทคะแนนให้พรรคการเมืองที่เขาเห็นว่า "จะสามารถช่วยเหลือเขาได้" พรรคการเมืองนั้นจะต้องมีนโยบายที่ชัดเจน จับต้องได้ ไม่เพ้อฝัน และมีผลงานเป็นที่ปรากฎ ไม่ใช่ว่าจะออกนโยบายเพ้อฝันอย่างไรก็ได้ และคนชนบทจะต้องเชื่อด้วยว่า "นายกรัฐมนตรี" ที่เขาเลือกนั้น จะสามารถช่วยเหลือเขาได้จริงๆ

ดังนั้น การสร้างนโยบายลมๆ แล้งๆ หวังโฆษณาหาเสียงอย่างเดียว ไม่อาจหาคะแนนเสียงได้แล้วใน พ.ศ.นี้

การซื้อเสียง ทุ่มงบประมาณลงท้องถิ่น ผมก็ไม่คิดว่าจะสามารถได้ผลแต่อย่างใด มันจะต้องมี "โครงสร้างทางนโยบายในภาพรวม" เป็นแพ็กเก็จ ที่มีความเป็นไปได้แบบนโยบายของพรรคไทยรักไทย เท่านั้นจึงจะสามารถสร้างความนิยมได้

นโยบายแบบ 99 วันเราทำได้ ขายฝันแบบไม่มีที่มาที่ไปนั้น จะได้รับการหัวเราะเยาะด้วยความขบขันมากกว่า

องค์ประกอบของเสื้อแดงทั้งสองกลุ่มนี้ ทำให้คนเสื้อแดงในสามปีมานี้ ขยายตัวขึ้นทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ อย่างต่อเนื่อง

สถานการณ์ของคนเสื้อแดงคือ ไม่มีทางแพ้อีกต่อไป ไม่ว่าจะใช้เงื่อนไขการปราบอย่างรุนแรง หรือ การล่อลวงด้วยวิธีการต่างๆ ก็ตาม จะไม่มีทางเปลี่ยนคนเสื้อแดงกลับไปสู่สภาพแบบเดิมได้อีก

เงื่อนไขสถาบันที่เคยเป็น อุดมการณ์ชาติยาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และไม่มีทางใช้เงื่อนไขนี้ ปลุกเร้าให้คนเสื้อแดงกลับไปสนับสนุน อุดมการณ์ดั้งเดิมนี้ได้อีกแล้ว จะปลุกเร้าด้วยการโปรประกันดาอย่างหนักหน่วงเช่นใด ก็ไม่มีทางเกิดผลเหมือนเช่นเดิม

วันเวลาที่หวานชื่นของอุดมการณ์แบบนี้ ได้ผ่านเลยไปแล้ว

ผมคิดว่า สงครามยังอีกยาวนาน และการปะทะกันในปี 2553 จะยืดเยื้อ แต่ผมคาดว่า ฝ่ายคนเสื้อแดงได้เรียนรู้ที่จะ “ทำสงครามแบบยืดหยุ่นไปแล้ว” ดังนั้น การใช้ “แข็งปะทะแข็ง” จะไม่มีอีกต่อไป แต่จะใช้ เงื่อนไขการแปรเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ จนฝ่ายปราบปราม ไม่สามารถทำอะไรได้

ผมไม่คิดว่าจะมีการนองเลือด

แต่จะไม่มีสันติภาพ และไม่มีการปะทะ

อำมาตยาธิปไตย จะค่อยๆ โรยราและหมดพลังไปตามเงื่อนไขของสังขาร

คนเสื้อแดงและอุดมการณ์ประชาธิปไตย จะค่อยๆ กลืนกินและปรับเปลี่ยนสังคมนี้ไป

แน่นอน ประเทศไทยยังคงต้อง “ป่วยไข้” ไปอีกหลายปี

เป็น “เสือป่วยแห่งดินแดนอุษาคเนย์” ไปอีกหลายปี

จนกว่า ดินแดนแห่งชาวศิวิไลน์จะมาถึง

จนกว่าจะถึงอรุณรุ่งแห่งศิวิไลน์ ซึ่งผมไม่คิดว่าจะรอนานนัก