ที่มา thaifreenews
โดย Porsche
ก่อนที่จะเล่าเรื่องที่ตั้งใจจะคุยให้ท่านผู้อ่านฟัง จะขอพูดถึงบทความเก่าของ “วาทตะวัน” ที่ผ่านสายตาท่านผู้อ่านไปแล้ว และอาจกลายเป็น talk of the town ต่อไปในอนาคตข้างหน้า
เรื่องดังกล่าว เกี่ยวข้องกับบุคคลที่ถูกผมวิพากษ์วิจารณ์เอาไว้หนักหนาสาหัส ในเรื่องความไม่โปร่งใสในการปฏิบัติหน้าที่ คนแรกคือ “เลดี้ดั๊ก” หรือ “จารุวรรณ เมณฑกา”ที่ผมให้อีกหนึ่งฉายาดังว่า “เป็ด หัวยักษ์” ซึ่งในที่สุดแล้ว คณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็งัวเงียขี้ตากรัง ออกมาแถลงว่าได้รับเรื่อง และตั้งอนุกรรมการขึ้นมาสอบสวนตามข้อกล่าวหา เป็นที่เรียบร้อยแล้ว สิริรวม 2 คดี ด้วยกัน ได้ข่าวล่าสุดว่า ผู้ที่ผมกล่าวอ้างไว้ในบทความอย่าง พล.ต.ต.เสวก “อัศวินดำ” ปิ่นสินชัน และผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ กำลังทยอยกันเข้าให้ปากคำต่อคณะอนุกรรมการแล้ว
อีกรายหนึ่ง คือนายวิชา มหาคุณ พระเอกประจำ ป.ป.ช. ซึ่งต้องขอให้ท่านผู้อ่าน ย้อนไปดูคอลัมน์ของ “วาทตะวัน” ชื่อ “บอกตรงๆว่า รับไม่ได้ กับคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุด ‘ไอ้บัง’ จริงๆ!!!”
ซึ่งลงเว็บ www.vattavan.com และหนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์ ไปตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2552 เป็นกรณีเกี่ยวข้องกับ พันตำรวจเอก ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ หรือ ฤทธิรงค์ เทพจันดา หรือที่รู้จักกันในฉายาว่า
“โอ๋ สืบหก” (เพราะเขาเคยดำรงตำแหน่งผู้กำกับการสืบสวน ตำรวจนครบาล ที่ 6) ซึ่งถูก ป.ป.ช.ดำเนินคดี กรณีคนไปร้องด่านายกทักษิณชินวัตร ที่ศูนย์การค้าพารากอน ปทุมวัน แล้วถูกชาวบ้านอัดเอา จนตำรวจต้องแยกเอาตัวหลบไปโรงพัก ซึ่ง ป.ป.ช. ความเห็นว่า “โอ๋ สืบหก” เป็นเจ้าพนักงานละเว้นในการปฏิบัติตามหน้าที่ ส่งเรื่องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จนนายตำรวจผู้นี้
ต้องถูก ‘ไล่ออก’ จากราชการไป!
แต่ท่านผู้อ่านครับ
เกมไม่ได้จบลงง่ายๆ แค่นั้น เพราะ “โอ๋ สืบหก” นั้นเป็นนายตำรวจสายเลือดดี เป็นตำรวจตระเวนชายแดนอยู่หลายปี ผ่านการรบกันยิงกันมาพอตัว มีเลือดนักสู้เต็มหัวใจ เมื่อเห็นว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม เจ้าตัวก็ฟ้องศาลปกครองเข้าให้ ต่อสู้กันยาวนานนับปี จนในที่สุดศาลปกครองท่านก็มีคำสั่งว่า
อนุกรรมการไต่สวนมีลักษณะต้องห้าม กระบวนการไต่สวนของคณะกรรมการไต่สวนไม่ถูกต้อง และการปรับข้อเท็จจริงไม่เข้ากับบทกฎหมาย มติของคณะกรรมการ ที่ชี้มูลความผิด “โอ๋ สืบหก” จึงมิได้เป็นไปตามกฎหมายบัญญัติไว้ และไม่มีผลบังคับ!
คำพิพากษานี้ ถึงที่สุดแล้ว เพราะผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง ป.ป.ช. ผู้บัญชาการต้นสังกัด และคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ต่างก็ไม่อุทธรณ์คำพิพากษา ทำให้นายตำรวจที่ตั้งใจทำงานตามหน้าที่
อย่าง “โอ๋ สืบหก” ซึ่งมีตำแหน่งสูงขึ้นเป็น ‘รองผู้บังคับการ’ แล้วได้กลับเข้ารับราชการอีกครั้ง และเข้ารับการฝึกอบรมจนสำเร็จการศึกษาในหลักสูตรผู้บริหารชั้นสูง มีคุณสมบัติครบถ้วน ที่จะโอกาสก้าวหน้าเป็น ‘นายพล’ ได้แล้ว
แต่ท่านผู้อ่านครับ
“โอ๋ สืบหก” ก็ไม่ได้หยุดยั้งแต่เพียงเท่านั้น เขายังได้ฟ้องร้องนายวิชา มหาคุณ ในฐานะประธานอนุกรรมการ ป.ป.ช. กับพวกรวม 5 คน ซึ่งได้สอบสวนดำเนินการกับเขาอย่างไม่ชอบธรรม ต่อศาลอาญาในข้อหากระทำผิดต่อตำแน่งหน้าที่ราชการ และศาลนัดไต่สวนคำร้องเมื่อเดือน ธ.ค.ปีที่แล้ว และนัดไต่สวนฝ่ายโจทก์ต่อ ในวันจันทร์ ที่ 11 มกราคม 2553 (เพราะครั้งที่แล้วไต่สวนไม่เสร็จ)
ที่น่าสนใจมาก คือ ฝ่ายโจทก์ยังได้อ้างตุลาการศาลเชียงใหม่ ผู้ตัดสินคดีนี้มาเป็นเบิกความในชั้นไต่สวนด้วย ผมจึงเห็นว่าเป็นกรณีที่น่าศึกษาเป็นอย่างมาก เพราะ ป.ป.ช. ที่ดูเหมือนว่า ใหญ่โตคับฟ้านั้น
ถูกฟ้องเป็นจำเลยได้!
ถ้าผู้ถูก ป.ป.ช. กระทำ เขาเห็นว่าการปฏิบัติหน้าที่ของ ป.ป.ช. ไม่ว่าเป็นกรรมการหรืออนุกรรมการนั้นปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่ถูกต้องชอบธรรม
จึงอยากชักชวนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเพื่อนข้าราชการอื่น ที่ว่างราชการ ไปฟังการสืบพยาน
ในวันจันทร์ที่ 11 ม.ค.ที่จะถึงนี้ จะได้เป็นความรู้ไว้ เผื่อในวันข้างหน้า ท่านอาจต้องตกอยู่ในฐานะเดียวกับ
“โอ๋ สืบหก” จะได้รู้ลู่ทางที่จะดำเนินการต่อสู้กับ ป.ป.ช. และหากท่านไม่ได้ความเป็นธรรม จากการสอบสวนของ ป.ป.ช.ที่ไม่ได้เป็นไปตามหลัก “ศุภนิติกระบวน” อย่างที่ “โอ๋ สืบหก” โดนเข้าอย่างจัง จะได้รู้แนวทางเอาไว้สู้รบปรบมือ ไม่ใช่ปล่อยให้คนพวกนี้มาย่ำยีเอากับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่ปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบของบ้านเมือง ได้แต่เพียงฝ่ายเดียว และเพื่อแสดงให้เห็นว่า
คนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็พร้อมที่จะตอบโต้ด้วยความรุนแรง หนักแน่น ในสัดส่วนหรืออัตราเดียวกันกับผู้ที่รุกรานเขา!
อย่างไรก็ตาม สำหรับตัวนายวิชา มหาคุณ นั้น ยังต้องมีการบ้านอีกแยะ เพราะ “โอ๋ สืบหก” ได้ร้องไปยังพรรคการเมืองฝ่ายค้าน เรื่องที่ตัวเขาไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการสอบสวนของนายวิชา มหาคุณ และขอให้ยื่นถอดถอนบุคคลผู้นี้ ออกเสียจากความเป็นคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งบัดนี้ ปรากฏว่า
เรื่องราวเพื่อการถอดถอนนายวิชา มหาคุณ ก็ผ่านขั้นตอนการสอบทานของประธานวุฒิสภา ไปเรียบร้อยแล้ว อยู่ที่ว่าศาลอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ท่านจะมีดำเนินการไปตามกระบวนการที่มีอยู่!
ผมสงสัยว่า นายวิชาฯ ก็คงร้อนใจไม่น้อย เพราะมีสายข่าวรายงานเข้ามาให้ทราบว่า
ตัวนายวิชาฯ ต้องมุดเข้าบ้าน “ป๋า” หลายครั้งหลายหน แต่ข่าวเขาไม่ได้บอกว่า มุดเข้าบ้าน “ป๋า” คนไหน? ผมจะลองไปสืบเสาะดู แล้วนำมาเล่าสู่กันฟังอีกครั้ง
เรื่องของ “โอ๋ สืบหก” และนายวิชา มหาคุณ นั้น เป็นเรื่องที่ต้องติดตาม กระพริบตาเมื่อไหร่ อาจพลาดช่วงสำคัญไป จึงต้อง “แหกตา” ดูกันชนิดไม่กลัวลมโกรก จนตาอักเสบ เพราะเรื่องมันน่าติดตามจริงๆ!
หมดเรื่องที่แจ้งให้ท่านผู้อ่านทราบแล้ว คราวนี้ขอเข้าประเด็นที่ผมอยากจะสนทนากับท่านผู้อ่านบ้าง
เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2548 ซึ่งเหลือเวลาอีกเพียง 5 วัน ก่อนจะถึงวันอาทิตย์ ที่ 6 ก.พ.2548 ก่อนการเลือกตั้งใหญ่ ผมได้เขียนคอลัมน์ชื่อ
“เลิกหวยบนดิน เชิญสายการบินประชาธิปัตย์...แทงหวยบนดินของรัฐ ของแท้แน่ชัด.....ไทยรักไทย!! ” ลงบนเว็บไซด์ ผู้จัดการออนไลน์ โดยมีรายละเอียดย่อๆ ของบทความ คือ
ผมได้พูดถึงเรื่องการที่พรรคประชาธิปัตย์ ได้ใช้ป้ายหาเสียงที่มีถ้อยคำหมิ่นพระมหา...ชัดเจน ซึ่งทำให้พรรคดักดานนี้ เป็นพรรคการเมืองแรก ที่ใช้ถ้อยคำละเมิดเบื้องสูง มาเป็นถ้อยคำโฆษณาหาเสียง จนทำให้อาซิ้ม “กัลยา โสภณพานิชย์” กับพวกอีกหลายคน ถูกดำเนินคดี และพนักงานสอบสวนฝ่ายตำรวจก็สั่งฟ้องคดีนี้ไปยังพนักงานอัยการ
ฝ่ายอัยการกลับมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีนี้ โดยข่าวสารที่ปรากฏตามสื่อ ฝ่ายทนายแผ่นดินเขาอ้างเหตุผลว่า
ผู้ต้องหา “ไม่มีเจตนา” กระทำความผิด!
เรื่องนี้ ไม่ได้เป็นเรื่องคาใจเฉพาะตำรวจทั้งหลายเท่านั้น แต่ประชาชนที่จงรักภักดีต่อสถาบัน ก็ยังข้องใจไม่น้อยเพราะหลักฐานมันเป็นสติ๊กเกอร์ ที่ปรากฏถ้อยคำที่เป็นหลักฐานในเรื่อง “หมิ่นสถาบัน” ชัดเจนอย่างนั้น อัยการยังดันเสือกออกมาบอกได้ว่าสั่งไม่ฟ้องเพราะ ผู้ต้องหา “ไม่มีเจตนา” กระทำความผิด
อัยการนี่เก่งจริงๆ ล่วงรู้กระทั่งเจตนาของกลุ่มผู้ต้องหา โดยไม่สนใจกับข้อความในสติ๊กเกอร์ว่า...มันพิมพ์กันมาอย่างไร!?
พูดอย่างนี้ ใครไม่พอใจ ก็ว่ามา!!
ดังนั้น ผมไม่แปลกใจที่พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อมีโอกาสเป็นรัฐบาล ก็ต้องเร่งแก้ตัวเรื่องที่คนของพรรค ตกเป็นผู้ต้องหาเรื่องสำคัญซึ่งคนจะเข้าใจไปว่า “ไม่จงรักภักดี” เพราะมีเรื่องไม่สมควร ปรากฏเป็นหลักฐานชัดเจนแต่หนหลัง การแก้ตัวด้วยการพยายามแสดงต่างๆนานา ราวกับยืนยันให้ผู้คนเห็นว่า
พรรคของตัวนั้น...จงรักภักดีนะจ๊ะ! (แต่คนอื่นมีปัญหา!)
คนไทยจำนวนมาก ไม่ได้รับประทานแกลบ และคนจำนวนมากอาจลืมว่า พรรคประชาธิปัตย์เคยถูกกล่าวหาเรื่องพิมพ์สติ๊กเกอร์หมิ่นสถาบัน จนตำรวจต้องดำเนินคดี
เพราะชาวบ้านไปแจ้งความ
แต่คนอย่างผม...ไม่เคยลืม!
นานๆที ก็ต้องสะกิดต่อมความจำ ของพี่น้องประชาชนคนไทย ไม่ให้ลืมพฤติกรรมอันไม่เหมาะสม ของพรรคดักดานนี้ จนมีเรื่องมีราวให้เห็นมาแต่หนหลังอย่างเรื่อง สติ๊กเกอร์หมิ่นสถาบันเบื้องสูงอย่างที่ว่า หรือเรื่องอื่นๆที่เอ่ยเป็นน้ำจิ้มอีกก็ได้เช่น
- เป็นพรรคการเมืองแรก ของประเทศไทย ที่สมาชิกพรรคคนสำคัญ ถูกตัดสินจำคุกเพราะโกงการเลือกตั้ง
- เป็นพรรคการเมืองที่ต้องยุบสภา เพราะถูกกล่าวหาว่าจงใจทุจริตกรณีโกงที่ดิน ส.ป.ก.
- คณะที่ปรึกษาพร้อมเลขานุการรัฐมนตรี ลาออกกันยกชุด เพราะเรื่องทุจริต นี่ก็เป็นครั้งแรกของประเทศไทย อีกเหมือนกัน
- รัฐมนตรีของพรรคในรัฐบาลปัจจุบัน ต้องลาออก เพราะถูกกล่าวหาว่าทุจริตซ้อนกันถึง 2 คน ซึ่งก็เป็นครั้งแรกของประเทศไทย แถมรองนายกฯก็ถูกกล่าวหาด้วยเรื่องโกงเหมือนกัน จนกำลังจะถูกลดชั้น ให้พ้นตำแหน่งรองนายกฯ ไปเป็นข้าราชการการเมืองธรรมดา
นายอภิแสบฯ ยังวางท่าสะอาดเก๋ไก๋...และยังด้านอยู่ได้!
ฯลฯ
ผมไถลเลยประเด็นไปไกลสักนิด เพราะพูดเรื่องพรรคดักดานทีไรแล้วของมันขึ้น ต้องขอกระตุกกลับเข้ามาประเด็นที่ตั้งใจพูดกันในวันนี้กันสักหน่อย คืออย่างนี้ครับ
ในคอลัมน์ชื่อ “เลิกหวยบนดิน เชิญสายการบินประชาธิปัตย์...แทงหวยบนดินของรัฐ ของแท้แน่ชัด.....ไทยรักไทย!! ” ของผมออกมาบนผู้จัดการออนไลน์นั้น คือ 1 ก.พ.2548 นั้น อยู่ระหว่างการ ‘เคาท์ดาวน์’ ของการเลือกตั้งใหญ่ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเพิ่งมาขึ้นแทนนายชวน หลีกภัย คุยนักคุยหนาว่า
การเลือกตั้งที่จะมาถึงในปีนั้น พรรคดักดานภายใต้การนำเขา จะต้องได้ที่นั่งในสภามากกว่า 200 ที่นั่ง แต่พอใกล้ถึงวันเลือกตั้ง คงจะพอรู้ว่าตนจะต้องพ่ายแพ้แน่ๆ เพราะไม่มีนโยบายเด็ดๆมาจูงใจชาวบ้าน (แม้กระทั่งถึงยุคของนายมาร์ค มุกควาย ก็ทำได้แต่เพียงนำเอานโยบายทักษิณมา “ต่อยอด” เท่านั้น เพราะคิดเองไม่ค่อยจะเป็น) นายบัญญัติฯคงรู้ว่า เสียงคงสู้ทักษิณไม่ได้ เลยตัดสินใจ ประกาศนโยบายสำคัญของพรรคขึ้นมา ก่อนถึงการเลือกตั้งครั้งนั้นเพียงไม่กี่วัน คือ
“ยกเลิก-หวยบนดิน”
เป็นนโยบายที่ “กลับขั้วสลับข้าง” ต่างจากนโยบายของพรรคไทยรักไทย โดยสิ้นเชิง เพราะพรรคนั้นเขามีนโยบาย ให้รัฐขายหวยบนดินเอง เมื่อมีรายได้เข้ามา ก็คืนกลับไปเป็นรูปอุดหนุนการศึกษา ส่งเด็กบ้านนอกของเรา ไปเรียนเมืองนอกกับเขาบ้างเพื่อกลับมาพัฒนา ท้องถิ่นของตัว ซึ่งเป็นการคิดนอกกรอบ ส่วนนายบัญญัติฯ กับพรรคประชาธิปัตย์ อ้างว่าจะยกเลิกหวยรัฐ ให้ตำรวจจัดการเจ้ามือหวยเถื่อนแทน
ผมเขียนวิจารณ์ว่า
...พรรคประชาธิปัตย์กล้าหาญมากจริงๆในเรื่องนี้ เรียกว่าวัดดวงกันเลย จะได้รู้ว่าใครหมู่หรือจ่ากันแน่...
ผลการเลือกตั้งในปี พ.ศ.2548 ได้พิสูจน์นโยบาย “ยกเลิก-หวยบนดิน”ได้เป็นอย่างดี เพราะพรรคประชาธิปัตย์ พ่ายแพ้ราบคาบ ได้ ส.ส.เกินร้อยมาแค่กะหรอมกะแหรม
หวิดเป็นพรรค ‘ต่ำร้อย’ ด้วยซ้ำไป!
มาวันนี้ นายอภิแสบ ภักดีโพเดียม ก็มาอีหรอบเดียวกันกับนายบัญญัติฯ หัวหน้าพรรคคนเก่า คือ แสดงท่าทีให้ผู้คนเข้าใจว่า เขาจะกลับมายึดถือเอาแนวทางของนายบัญญัติฯ มาเป็น “นโยบาย” ของพรรคดักดานอีกครั้งอีกครั้ง
ผู้คนในบ้านในเมืองจำนวนมาก ที่เห็นว่า การมีหวยนั้นเป็นเรื่องดี เพราะนอกจากมีหวยไว้เล่นคลายเครียด ถูกก็ดีไป ไม่ถูกก็เหมือนกับได้ทำบุญ เพราะรัฐบาลเขานำเอาเงินจากชาวบ้าน ที่แทงหวยใต้ดินอยู่แล้ว เอาขึ้นมาบนดินเพื่อเป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชน ไม่ต้องให้เงินเหล่านั้น ไปเสริมบารมีให้กับเจ้ามือ
ซึ่งจะกลายเป็น “เจ้าพ่อ” และ “เจ้าแม่” แล้วเข้าสู่วงการเมืองทั้งท้องถิ่นและระดับชาติกันต่อไป
ส่วนคนที่ไม่ชอบก็บอกว่า ไม่มีประโยชน์เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ไม่ควรมีทั้งหวย มวย ม้า รวมทั้งเหล้ายาปาปิ้งไม่ต้องไปขายมัน บ้านเมืองเราจะได้สะอาด ร่มเย็นเป็นสุข เช้าก็สวดทำวัตรเช้า ก่อนนอนก็สวดทำวัตรเย็น ฟังดูก็ดีเหมือนกัน
มันก็พูดได้ทั้งด้านดี และด้านร้าย เถียงกันไม่จบ!
เรื่องของหวยนั้น จะหา “หวยสามัคคี” กันได้ยากจริงๆ!!
สำหรับนายอภิแสบ ภักดีโพเดียม นั้นเขาจะคิดอย่างไรนั้นผมไม่สนใจ แต่รู้ชัดๆว่ากลางวันนายคนนี้เขากินแซนด์วิช ไม่ใช่ประเภทเดินดินกินข้าวราดแกง เหมือนชาวบ้านแบบเราๆท่านๆ ซึ่งตรงนี้แหละครับมันเป็นเรื่องสำคัญ เพราะนายคนนี้แกคาบช้อนเงินช้อนทองมาแต่เกิดด้วย จึงยากที่จะให้แกเข้าใจเรื่องของชาวบ้าน ไทยเดินดิน เลยทำให้พูดกันเรื่องหวยกันไม่สนุก เพราะโดยประเด็นของมันแล้ว “มีหวยแล้วดี...หรือมีหวยแล้วไม่ดี!?” เป็นเรื่องที่โต้เถียงกันได้...
ไม่รู้จบ!!
ที่ผมไม่ชอบใจอยู่อย่างเดียว เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องคือ การที่นายอภิแสบฯไม่พูดตรงไปตรงมา กับผู้คนที่เขาจะทำมาหากินกับการขายหวยออนไลน์ ว่า
“รัฐบาลของผม ไม่ต้องการให้มีหวยออนไลน์...นะโว้ย!”
แค่นี้ก็จบ
ชาวบ้านเขาจะได้รู้ เขาจะได้ไม่ลงทุนลงแรงและลงเงิน ไปเตรียมการขายหวย และถ้ารัฐบาลพรรคดักดานไม่ทำหวยบนดิน ในวันเลือกตั้งครั้งหน้า จะต้องมีการนำเอาเรื่อง “หวย” นี่แหละ เป็นนโยบายสำคัญ ของแต่ละพรรคเช่น
พรรคประชาธิปัตย์ไม่เอาหวยบนดิน แต่พรรคเพื่อไทยและพรรคอื่นสนับสนุน จะได้เอานโยบายมาแข่งกัน ให้รู้ดำรู้แดงกันอีกครั้งในการเลือกตั้งครั้งหน้า
จะได้รู้ดำรู้ดีว่า ใครเป็นหมู่หรือเป็นจ่า กันอีกครั้ง!
เมื่อวานผมไปตั้งวงสนทนากับเพื่อนฝูง พรรคพวกคนหนึ่งเขาถามปัญหา ทั้งที่ยังมีซาลามี่อยู่เต็มปาก
“เห็นหนังสือพิมพ์เขาว่า พลพรรคดักดานเอาเรื่องหวยมาชิงพื้นที่ข่าว เพื่อกลบเกลื่อนเรื่อง ‘สารพัดแดก’ ของพวกมันจริงหรือเปล่า!?”
ถามลอยๆพร้อมยกแก้ว จิบไวน์เพื่อช่วยกระทุ้งเนื้อในกระพุ้งแก้มให้ไหลลงคอไป
“ข้าว่าไม่ใช่...”
เสียงเพื่อนคนปากไว แย้งเนิบๆ ก่อนเจ้าตัวจะพูดต่อว่า
“ไอ้สันดานพวกนี้ มันถูกทั้งหวยงบชุมชนพอเพียง และหวยงบไทยเข้มแข็ง ร่ำรวยสุขสำราญ บานทะโรคไปแล้ว!!...”
เว้นระยะถอนใจนิด ก่อนพูดต่อด้วยเสียเข้มว่า
“มันไม่อยากให้ชาวบ้าน มีโอกาสได้ถูกหวย เดี๋ยวจะไปร่ำรวยแข่งกับพวกมัน...ไอ้พวกเปรต!!!”
.....................
ท้ายบท บังเอิญมีข้อมูลของกองสลาก เกี่ยวกับรายได้ของหวยบนดิน ที่นำไปจัดสรรเพื่อประโยชน์กับสังคม
สรุปยอดเงินบริจาคจากโครงการสลากแบบเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว (ณ เดือนกรกฎาคม 2549)
รายได้สุทธิ 72 งวด เป็นเงินทั้งสิ้น28,267,666,369.36 บาท
จำแนกรายจ่ายเพื่อสังคม ดังนี้
1. ทุนการศึกษาเด็กโครงการเขียนเรียงความ งวดที่ 1 - 125,000,000.00 บาท
2. สัปดาห์วิทยาศาสตร์ - 35,500,000.00 บาท
3. ทุนการศึกษาเด็กโครงการเขียนเรียงความ งวดที่ 2 - 400,590,000.00 บาท
4. โครงการอ่าน เขียน เรียน เที่ยว - 10,000,000.00 บาท
5. โครงการทุนการศึกษาต่อของนักเรียนระดับอุดมศึกษา (ปริญญาตรี) - 50,113,732.00 บาท
6. โครงการเสริมความรู้และสร้างรายได้นักเรียนในระหว่างปิดภาคฤดูร้อน - 10,000,000.00 บาท
7. โครงการแก้ไขปัญหาเด็กยากจนที่ได้รับผลกระทบจากโรคเอดส์ - 600,000.00 บาท
8. โครงการแก้ไขปัญหาเด็กยากจนที่ได้รับผลกระทบจากโรคเอดส์ - 289,626,730.00 บาท
9. โครงการแก้ไขปัญหาเด็กยากจนที่ได้รับผลกระทบจากโรคเอดส์ - 195,072,737.00 บาท
10. โครงการทุนการศึกษาแก่ลูกผู้มีรายได้น้อย ระยะที่ 1 - 773,000.00 บาท
11. ทุนการศึกษาเด็กโครงการเขียนเรียงความ งวดที่ 3 - 402,519,000.00 บาท
12. โครงการ “หนึ่งอำเภอหนึ่งทุน” - 446,469,420.00 บาท
13. ทุนการศึกษาแก่ลูกผู้มีรายได้น้อย - 2,000,000.00 บาท
14. ทุนการศึกษาแก่ลูกผู้มีรายได้น้อย - 470,227,000.00 บาท
15. ทุนการศึกษาแก่นักเรียนไทยที่ศึกษา ณ ประเทศสหพันธรัฐรัสเซีย - 11,340,000.00 บาท
16. โครงการเขียนเรียงความสำหรับเด็กและเยาวชนด้อยโอกาส - 402,519,000.00 บาท
17. โครงการประชาสัมพันธ์งานและพัฒนายุทธศาสตร์ สำหรับแก้ไขปัญหาเด็กยากจนและเด็กด้อยโอกาส - 31,000,000.00 บาท
18. ทุนการศึกษาบุตรธิดาอาสาสมัครสาธารณสุข - 2,000,000.00 บาท
19. ทุนการศึกษาแก่บุตร-ธิดาผู้ทำประโยชน์แก่สังคมและราชการ - 526,221,000.00 บาท
20. พิธีมอบทุนสนับสนุนการศึกษาในส่วนของต่างจังหวัด - 600,000.00 บาท
21. โครงการทุนการศึกษาแก่ลูกผู้มีรายได้น้อย ระยะที่ 1 (1 อำเภอ 1 ทุน) - 186,297,575.00 บาท
22. ทุนการศึกษาแก่ลูกผู้มีรายได้น้อย - 1,691,773,173.00 บาท
23. ทุนการศึกษาแก่ลูกผู้มีรายได้น้อย - 8,950,000.00 บาท
24. ทุนการศึกษาต่อของนักเรียนจากทุกอำเภอและกิ่งอำเภอในระดับอุดมศึกษา - 4,521,067.00 บาท
25. ทุนการศึกษาของนักเรียนระดับอุดมศึกษา - 276,360,892.00 บาท
26. ทุนการศึกษาของนักเรียนจากทุกอำเภอและกิ่งอำเภอ - 3,463,308.00 บาท
27. โครงการบัณฑิตเพื่อความมั่นคง - 1,374,000.00 บาท
28. โครงการแก้ไขปัญหาเด็กที่ได้รับผลกระทบ เด็กด้อยโอกาส - 49,700,000.00 บาท
29. ทุนการศึกษาแก่ลูกผู้มีรายได้น้อยแก้ไขปัญหาเด็กเร่ร่อน - 120,348,960.00 บาท
30. ทุนการศึกษาโครงการเขียนเรียงความสำหรับเด็กและเยาวชน - 798,499,960.00 บาท
31. ทุนการศึกษาแก่ลูกผู้มีรายได้น้อย งวดที่ 3 - 852,584,110.00 บาท
32. โครงการแก้ไขปัญหาเด็กยากจนและเด็กด้อยโอกาส - 9,496,000.00 บาท
33. ทุนการศึกษาแก่บุตร-ธิดาผู้ทำประโยชน์ต่อสังคมและราชการ - 317,355,680.00 บาท
34. โครงการ “หนึ่งอำเภอหนึ่งทุน” - 91,227,307.00 บาท
35. โครงการ “หนึ่งอำเภอหนึ่งทุน” - 9,778,067.00 บาท
36. โครงการ “หนึ่งอำเภอหนึ่งทุน” - 3,463,308.00 บาท
37. โครงการแก้ไขปัญหาเด็กพิการ เด็กเร่ร่อน และเด็กที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาโรคเอดส์ -
19,102,290.00 บาท
38. ค่าใช้จ่ายจัดงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ ประจำปี 2548 - 35,000,000.00 บาท
39. ค่าใช้จ่ายโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน ประจำเดือนกันยายน 2548 - 385,091,348.00 บาท
40. ทุนการศึกษาแก่นักเรียนไทยที่ศึกษา ณ ประเทศสหพันธรัฐรัสเซีย - 3,024,000.00 บาท
41. โครงการ “โรงเรียนแกนนำจัดการเรียนร่วมระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับบุคคลออทิสติก" - 2,424,114.00 บาท
42. ค่าใช้จ่ายในกระบวนการคัดเลือกผู้รับทุนโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน รุ่นที่ 2 - 44,065,000.00 บาท
43. ทุนการศึกษาแก่ลูกผู้มีรายได้น้อย งวดที่ 1 สำหรับทุนการศึกษาปี 2548 - 1,590,320,300.00 บาท
44. ทุนการศึกษาแก่บุตร-ธิดาผู้ทำประโยชน์ต่อสังคมและราชการ งวดที่ 1 สำหรับทุนการศึกษาปี2548 - 606,667,840.00 บาท
45. ทุนการศึกษาต่อของนักเรียนจากทุกอำเภอและกิ่งอำเภอในระดับอุดมศึกษา - 4,513,391.00 บาท
46. ทุนการศึกษาต่อของนักเรียนจากทุกอำเภอและกิ่งอำเภอในระดับอุดมศึกษา - 273,437,422.29 บาท
47. โครงการแก้ไขปัญหาเด็กยากจนและเด็กด้อยโอกาส โครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน รุ่นที่ 2 ปี2549 88,013,264.50 บาท
48. ทุนการศึกษาแก่บุตร-ธิดาผู้ทำประโยชน์ต่อสังคมและราชการ งวดที่ 2 สำหรับทุนการศึกษาปี 2548 - 2,170,034,540.00 บาท
(ไม่เห็นมีใคร เอาไปเข้าพกเข้าห่อที่ไหนเลยนี่!)
ที่มา : สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล http://www.glo.or.th/detail.php?link=summary3d2d
http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=196