ที่มา ประชาไท
ใบตองแห้ง
4 ม.ค.53
4 ม.ค.53
สถานการณ์ปี 2553 จะเป็นอย่างไร? ใครจะไปรู้ ไม่ใช่หมอดูฟันธง (ฮา)
แต่เท่าที่แว่บไปสนทนากับเพื่อนพ้องน้องพี่สายพันธมิตร กับเพื่อนพ้องน้องพี่สายเสื้อแดง เก็บความคิดความเห็นทั้งสองซีก มาประมวลกับสถานการณ์ที่รับรู้ในฐานะคนข่าว
ก็พอจะมองคร่าวๆ ได้ว่า ทักษิณน่ะไปไม่รอดหรอก แต่อำมาตยาก็ไปไม่รอดเช่นกัน เพียงเกี่ยงกันว่าใครจะ “ไป” ก่อน
ข้อสำคัญคือหลังจากนั้นมันจะเละแค่ไหน ประเทศไทย
ขั้วทักษิณเป็นรอง แต่ต้องดิ้นรนเสี่ยงครั้งสุดท้ายภายในรอบปีนี้ ไม่เพียงเพราะคดียึดทรัพย์อย่างเดียว แต่เพราะทอดเวลาไป พลังม็อบเสื้อแดงจะยิ่งถูกปิดล้อม โดดเดี่ยว ให้อ่อนล้าลงเรื่อยๆ แม้ใครบอกว่าอุดมการณ์ประชาธิปไตยของคนเสื้อแดงไม่ตาย แต่ทักษิณ “ตาย” ได้ครับ ความนิยมต่อทักษิณตายได้ ขณะที่ความร้อนแรง อารมณ์ดุเดือดของ “ม็อบ” ก็จะถูกกัดกร่อนไปตามกาลเวลา ถ้าไม่มีอะไรใหม่ๆ มากระตุ้น
พูดอย่างนี้บางคนอาจเถียงว่ามวลชนเสื้อแดงตื่นตัวกว้างขวาง แต่ “มวลชน” กับ “ม็อบ” ต่างกัน ในสถานการณ์ที่ทอดเวลานานไป คุณอาจมีมวลชนมากขึ้น แต่ไม่สามารถสร้างม็อบที่มีพลังคั่งคุโกรธเกรี้ยว กระทั่งพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ยึดสนามบินหรืออนุสาวรีย์ได้
ทักษิณจึงต้องเสี่ยง โดยผลอาจเป็นตรงข้าม
ขณะที่มองไปอีกขั้ว ฝ่ายอำมาตย์ก็กำลังอยู่ในหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ที่ไม่ว่าเปลี่ยนอย่างไร ก็น่าวิตกสำหรับพวกเขาทั้งนั้น จึงได้แต่ประวิงเวลา หวังเอาชนะทักษิณให้ได้ในเวลาน้อยนิดที่เหลืออยู่ (หลังจากนั้นอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด)
ฉะนั้นฝ่ายอำมาตย์จึงอยากใช้ความรุนแรงเผด็จศึกเช่นกัน ดังที่เห็นแต่งชุดทหารออกมาเดินแผ่รังสีอำมหิต ใช่ว่าทักษิณจะอยากแรงข้างเดียวเสียเมื่อไหร่
แต่ไม่ว่าจะจบอย่างไร ไม่ว่าใครจะไปก่อน มันก็เละอยู่ดี เพราะนี่ใม่ใช่การต่อสู้ระหว่างผู้มีอำนาจ 2 กลุ่ม แต่เป็นความขัดแย้งทางสังคมที่บ่มปัญหามาเนิ่นนาน มวลชนมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง ทั้งสองขั้วอำนาจไม่ว่าใครชนะ ก็ไม่มีคำตอบให้สังคมไทย
เพื่อนพ้องน้องพี่สาย พธม. ที่ผมมีโอกาสได้สนทนา จึงมองข้ามช็อตแล้วบอกว่า ไม่ว่าไพ่จะออกหน้าไหน “ฝ่ายก้าวหน้า” ทั้งในเสื้อเหลืองเสื้อแดง จำเป็นต้องหันกลับมาจับมือกัน นี่ทั้งมองในเชิงอุดมคติและในความเป็นจริง เพราะจะฝากความหวังกับนักการเมืองหรือขุนนางอำมาตย์ไม่ได้ ต้องสร้างการเมืองภาคประชาชนให้เข้มแข็ง โดยต้องมองโลกในแง่ดีว่า เสื้อเหลืองก็มาจากความเกลียดชังคอรัปชั่น เสื้อแดงมาจากเรียกร้องต้องการความเสมอภาค และแก้ไขปัญหาความยากจน
แหม พูดอะไรสวยๆ แบบนี้ ผมเห็นด้วยอยู่แร้ว (ฮา) ใครมั่งไม่อยากเห็น “ฝ่ายก้าวหน้า” ทั้งคนตุลา พฤษภา NGO นักวิชาการ นักเคลื่อนไหว ฯลฯ ที่ทะเลาะกันให้วุ่นแบ่งเป็นฝ่ายเหลืองแดงหรือสองไม่เอา กลับมาจูบปากกัน คุถ่านไฟเก่าสมัยเคยเป็นมิตรร่วมรบ สหายร่วมอุดมการณ์
แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแย้งว่า แม้ทุกคนจะมองเห็นและอยากเห็น แต่ในความเป็นจริงแล้วมันยากส์นะ ไม่รู้จะเละตุ้มเป๊ะแค่ไหนกว่าจะกลับมาจับมือกันได้ เพราะปลุกความเกลียดชังกันไปไกลเสียแล้ว แล้วก็ยังเติมเชื้ออยู่ไม่หยุด
เพื่อนพ้องก็บอกว่า โอเค มันอาจจะไม่เป็นจริงวันสองวันนี้หรอก แต่ถ้าเชื่อว่าวันหนึ่งวันหน้า (วันไหนไม่รู้) ที่เรา (อาจ) กลับมา-อย่างน้อยก็เป็น “แนวร่วม” กันได้ อย่างน้อยวันนี้ก็ขอให้หลีกเลี่ยงการเล่นเรื่องส่วนตัว การชี้หน้าด่ากันเป็นส่วนตัว หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย อย่างน้อยก็สำหรับ “ฝ่ายก้าวหน้า” ในเสื้อเหลืองเสื้อแดง ที่ต่อสู้กันด้วยความเห็นต่าง โดยยังคงไว้ซึ่งอุดมการณ์ ไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง
ส่วนพวกที่มีผลประโยชน์หรือพวกที่ถลำลึกเกินจะถอย ก็ปล่อยเขาไปเฮอะ ประเมินๆ ว่าอาจจะมีซัก 20-30% ของเพื่อนพ้องน้องพี่ ที่อาจจะกลับมาไม่ได้ มองหน้ากันไม่ติด ไม่สามารถเป็นมิตรเป็นแนวร่วมกันได้ จนชาติหน้าตอนบ่ายๆ
ที่พูดกันเรื่องนี้ เพราะเขาได้ข่าวไม่ค่อยดีว่า เพื่อนพ้องน้องพี่ในเสื้อแดง เจ็บแค้นถึงขั้นอาฆาตมาดร้ายพวกเสื้อเหลือง ซึ่งเป็นสิ่งไม่น่าจะเกิดขึ้น ถ้า “พวกเราจะฆ่ากันเอง”
ผมฟังแล้วก็ตกใจว่า เฮ้ย อะไรจะขนาดนั้น มันบ้าไปแล้ว คงเป็นพวกเพี้ยนๆ มั้ง
แต่ก็บอกว่าผมเข้าใจนะ ที่เพื่อนพ้องเสื้อแดงจะโกรธแค้นเสื้อเหลือง เพราะเสื้อเหลืองเป็นฝ่ายทำเขาก่อน นอกจากบิดเบือนหลักการประชาธิปไตยแล้ว ยังให้ร้ายป้ายสีตั้งแต่ “ปฏิญญาฟินแลนด์” ถึง “ขบวนการล้มเจ้า” แม้คนพูดคนเอามาเล่นอาจไม่ใช่ “พวกเรา” แต่คุณไม่ห้ามปราม ไม่ช่วยแก้ต่าง ขยิบหูขยิบตา หรือให้ท้ายด้วยซ้ำ
ฉะนั้นถ้าอยากมองข้ามช็อต แลไปข้างหน้า เป็นจันทา โนนดินแดง ก็อย่าลืมก้มลงดูหัวแม่ทีนด้วยว่า พวกคุณเหยียบหัวแม่ทีนเพื่อนอยู่ แล้วจะกลับมาจูบปากกันได้อย่างไร
กระนั้นในภาพรวม เมื่อเพื่อนพ้องน้องพี่กระสัน อยากเห็นภาคประชาชนหาหนทางหันหน้าเข้าหากัน ร่วมมือกัน สลัดให้พ้นขั้วอำนาจที่ไม่เป็นประชาธิปไตยทั้งสองข้าง ผมก็ดีใจ สนับสนุน สนอง need เต็มที่ ช่วยอะไรได้ก็ยินดี
นั่นคือบทสนทนาที่ชื่นมื่น ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่
แต่...คุยกันหลัดๆ ไม่กี่วัน ก็อ่านเจอข่าวสุริยะใสให้สัมภาษณ์ว่ามีการขนอาวุธเข้ามา “ทักษิณจะจับมือกับนักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้ายทำการโค่นล้มระบอบการปกครองแบบปัจจุบัน เพื่อสถาปนาอำนาจการปกครองแบบใหม่ โดยเป็นไปได้ที่จะใช้ทหารทำการปฏิวัติหรือใช้วิธีการที่รุนแรง”
โห พูดไม่ออกเลย ช้อยเก็บฉาก พูดไปทำไมมี นี่ถ้าเพื่อนพ้อง “ฝ่ายซ้าย” ในเสื้อแดงเขาจะอาฆาตมาดร้ายบักใส ผมคงห้ามไหวหรอกนะ
ไม่ใช่ถือเอาคำพูดของเลขาธิการพรรคการเมืองใหม่เป็นเรื่องใหญ่เรื่องสำคัญ คำพูดแบบนี้มีเยอะแล้ว ท่วมทุ่ง ท่วมจอ ถ้าถือสาหาความกับคำพูดของยะใส มัวไปตอบโต้คงไม่ต้องทำมาหากิน
แต่ยกมาเพราะแสดงให้เห็นอีกนั่นแหละว่า เวลาจะเอาชนะกันแล้วเป็นอย่างนี้ทุกที ปากหนึ่งใจหนึ่งก็บอกว่าฝ่ายก้าวหน้าภาคประชาชนต้องไม่ฆ่ากันเอง แต่อีกใจหนึ่งอีกปากหนึ่งก็ “ฆ่า” กันทางอ้อม
ก็เหมือนที่โหนอำมาตย์มา 4 ปี เวลาคุยกันในวงเพื่อน บอกว่าใจจริงไม่เอาอำมาตย์ อุดมการณ์ยังเหมือนเดิม นี่เป็นแค่ยุทธวิธี แต่อ้าว พอเพื่อนออกมาต่อสู้อำมาตย์ คุณก็ทำลายเขา โจมตีเขา
ที่พูดไม่ใช่ไม่เชื่อว่าเพื่อนจริงใจ เพื่อนพ้องคบกันมา 30 กว่าปี ทำไมจะไม่รู้ว่าใจจริง “ไม่เอาอำมาตย์” เพื่อนพันธมิตรพูดกับผมทีไรก็บอกว่าการแอบอิงอำมาตย์เป็นแค่ยุทธวิธีโค่นทักษิณ (แถมยังคุยซะอีกว่าเราลากเขาลงมาให้ถูกวิจารณ์ ไม่ดีหรือ) แต่ปัญหาคือคุณไม่ขีดวงตีกรอบกำหนดท่าที ปล่อยให้ตีขลุมให้ร้ายไปทั่ว แล้วมาบอกว่าอย่าโกรธกันนะ เข้าใจกันนะ ไอ้เพื่อนยาก มันเป็นแค่ยุทธวิธี!
อย่างเช่นคำพูดของยะใส ชัดเจนว่าเป็นการทำร้ายและทำลาย “ฝ่ายซ้าย” ในเสื้อแดง ไม่ใช่แค่ทำลายทักษิณ (ชั่งหัวมันเถอะ) เพราะถ้าคุณบอกว่าทักษิณจะปฏิวัติหรือใช้วิธีการรุนแรง ความเป็นไปได้มากกว่าก็คือทักษิณใช้ทหารที่ตบเท้าเข้าพรรค ใช้บิ๊กจิ๋ว ใช้เสธแดง ฯลฯ ทักษิณนะหรือจะมาใช้ “ฝ่ายซ้าย” ที่ตอนนี้อายุเกินครึ่งร้อยแล้วทั้งนั้น ไม่เคยเดินป่าจับปืนมายี่สิบกว่าปี (ขี้เกียจพูดว่าเสื้อเหลืองน่ะก็ซ้ายเก่าตั้งแต่แกนนำไปจนถึงพวกอยู่หลังฉากอย่าง “ป้าผึ้ง” “ลุงปรีดา”)
เออ แล้วทำไมจะต้องทำลาย “ฝ่ายซ้าย” ในเสื้อแดง ก็เพราะมันเข้าล็อก “ยุทธวิธี” อีกนั่นไง ป้ายสีแดงให้ทักษิณ จ้องล้มสถาบัน มันง่ายดี (มักง่ายดี) เป็นตลกร้ายที่น่าสังเวชว่า “ฝ่ายก้าวหน้า” กลับปลุกผีคอมมิวนิสต์เสียเอง ปลุกอุดมการณ์ราชาชาตินิยมขึ้นมา “ฆ่าพวกทักษิณไม่บาป” แล้ว “ฝ่ายซ้าย” ในเสื้อเหลืองก็ยังหลับหูหลับตาตามกันไปได้
การพูดเรื่อง “เหลืองแดงจับมือกัน” ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะพูดกันมาตั้งแต่หลังสงกรานต์ที่เสื้อแดงพ่ายแพ้ และหลังสนธิถูกยิง แต่หลังจากนั้นก็เป็นเหมือนคำพูดที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ ลอยผ่านหน้าผ่านตาโดยไม่มีใครคิดจะเอื้อมมือคว้า ทั้งที่ฝ่ายก้าวหน้าทั้งสองสีรู้ดีว่า เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นทั้งในเชิงอุดมคติและในความเป็นจริง ...แต่ก็บอกว่า ยังไม่ถึงเวลา
ในเชิงท่าที ฝ่ายก้าวหน้าเสื้อเหลืองดูเหมือนจะเป็นฝ่ายยื่นมือก่อน แต่พอถึงจังหวะชุลมุนก็ยื่นดาบ ร่วมรุมกระหน่ำหรือช่วยฝ่ายอำมาตย์ซ้ำเติม เพิ่มความโกรธเกลียดที่มีต่อกันเป็นทุนอยู่แล้ว ตั้งแต่หลังรัฐประหาร การยื่นมือจึงเปล่าประโยชน์
เพราะถ้าจะยื่นมือจริง ฝ่ายก้าวหน้าเสื้อเหลืองในฐานะผู้กระทำ ในฐานะที่บิดเบือนหลักการเพื่อเป้าหมาย จะต้องเป็นฝ่ายจำกัดท่าทีก่อน เป็นฝ่ายที่ต้องถูกเรียกร้องสูงกว่า ต้อง “วิจารณ์วิจารณ์ตนเอง” ละ “เข้มงวดตนเอง ผ่อนปรนผู้อื่น” (ฝันไปเหอะ)
“เหลืองแดงจับมือกัน” กลับมาเป็นมิตร สมานันท์ (ฮา) จึงเป็นอะไรที่พูดไปก็เฝือ เหมือนท่องตำราลัทธิมาร์กซ์ สรรพสิ่งต้องเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลง ขัดแย้ง พัฒนา ฉะนั้นต่อให้กูเอาตีนราน้ำ ยังไงมันก็ต้องเปลี่ยน (ถูกทุกข้อ-ฮิฮิ)
ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ยังไม่ถึงสถานการณ์จำเป็นบังคับ คงต้องเข้าจุดอับก่อนกระมัง เละตุ้มเป๊ะกันก่อนกระมัง เพราะตอนนี้ต่างก็อยากเอาชนะขั้วอำนาจฝ่ายตรงข้ามก่อน โดยไม่คำนึงว่า ระหว่างทำศึกจะต้อง “ฆ่าฟัน” ไพร่พลที่ (เคย) เป็นพวกเดียวกันสักเพียงไร จะเหลือช่องทางเยื่อใยให้วันข้างหน้าหรือไม่
ในทัศนะของผม ก็ยังสนับสนุนและมีความหวังเช่นเดียวกับเพื่อนพ้องที่อยู่ใน พธม. ว่าวันหนึ่งฝ่ายก้าวหน้าเหลืองแดงจะกลับมาร่วมกันสร้างการเมืองภาคประชาชนให้เข้มแข็ง เป็นฟ้าสีทองผ่องอำไพ (รอบที่เท่าไหร่ไม่รู้)
เพียงแต่มองความเป็นจริงแล้วยังห่างไกล เหมือนที่ชอบพูดกันว่าเส้นทางปฏิวัติยังคดเคี้ยวยาวไกล (เลยไปไม่ถึง-ฮา) ไม่ได้ปรากฏเป็นจริงง่ายๆ แบบกลไกอภิปรัชญาเหมือนนิยายน้ำเน่า ซ้ำร้ายระหว่างเส้นทาง โอกาสที่ “พวกเราฆ่ากันเอง” ยังเกิดได้ง่ายกว่า
เมื่อมองไปข้างหน้า เห็นสถานการณ์ที่จะ “แรง” และ “เละ” ก็ไม่ได้หวังว่าฝ่ายก้าวหน้าเสื้อเหลืองเสื้อแดงจะหันมามีเยื่อใยคุถ่านไฟเก่า เอาแค่มองกันด้านบวกยังยากเล้ย อย่าไปคิดถึงจูบปากกัน (อ้วก)
ยิ่งถ้ายืมคำศัพท์คุณซ้ายเสเพล ขาเก่าว่ายทวนน้ำ ที่บอกว่าฝ่ายซ้ายเสื้อเหลืองเสื้อแดงต่างก็หันก้นให้ศักดินาล้าหลังและทุนสามานย์ ถ้าจะเรียกร้องให้จูบปากกันตอนนี้ ...บรื๋อออ
ฉะนั้นก็พูดได้แต่ว่า แก่ๆ กันทั้งนั้นแล้ว รู้อยู่แก่ใจ อะไรก็มองออก ผ่านประสบการณ์ชีวิตประสบการณ์ต่อสู้ทางการเมืองมา 20 ปี 30 ปี 40 ปี ยังไงก็ต้องมองเห็นว่า ขั้วอำนาจเขาแพ้ชนะกันไป ฝ่ายประชาชนยังไงก็ต้องอยู่ร่วมกัน ต้องหาทางออกด้วยกัน ถึงเวลาที่จะด่ากันหรือยุให้ฆ่ากัน ก็น่าจะยั้งคิดสักนิด (แล้วค่อยฆ่ากันต่อ-ฮา)
Que Sera, Sera, Whatever will be will be….
ป.ล.ที่จริงไม่อยากใข้คำว่าฝ่ายก้าวหน้า แต่ใครๆ ใช้กันจนชิน ว่าหมายถึงคนที่เคยเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อเสรีภาพ ประชาธิปไตย ความเป็นธรรมในสังคม ไม่ว่ารุ่นตุลา รุ่นพฤษภา หรือรุ่นอื่นๆ
ที่ไม่ชอบคำว่าฝ่ายก้าวหน้า เพราะสมัยจะออกจากป่ามีเรื่องตลกล้อ พคท. ว่า เขตงานใหม่แห่งหนึ่งมีผู้ปฏิบัติงาน 3 คน หัวหน้าหน่วยเป็นสมาชิกพรรค อีกคนเป็น ย. อีกคนเป็นสหายทำมะดา มีปัญหาอะไร คนเป็น ส.ก็คิดคนเดียวก่อน แล้วเรียก ย.มาคุย จากนั้นค่อยคุย 3 คน
สหายทำมะดาอดรนทนไม่ไหว ถามว่าทำไมต้องทำยังงี้ เพราะป่าทั้งป่าเห็นหน้ากันแค่ 3 คน หัวหน้าหน่วยก็บอกว่า “สหายเอ๋ย ท่านประธานเหมาสอนเราว่า ที่ไหนๆ ก็มีคน 3 ประเภท คือก้าวหน้า เป็นกลาง และล้าหลัง” (ฮา) วันรุ่งขึ้นลงไปมอบตัวทันที ว่าตูล้าหลังนี่หว่า
คำว่าฝ่ายก้าวหน้าจึงมีความหมายไม่ใคร่จะดี เพราะคู่กับฝ่ายล้าหลัง บางครั้งก็เหมือนดูถูกคนอื่น ประธานเหมาเลยแก้เกมว่า “อ่อนน้อมถ่อมตนทำให้คนก้าวหน้า เย่อหยิ่งทำให้คนล้าหลัง” ซึ่งก็ทำให้หลายๆ คน ทำท่าอ่อนน้อมถ่อมตนจนเกินเหตุ เราเรียกพวกนี้ว่า “ไอ้พวกอยากก้าวหน้า”
ป.ล.2 อนุสนธิจากเรื่องมาบตาพิษ มีคนทักท้วงว่าสุทธิ อัชฌาศัย ไม่ได้เป็นอนุกรรมการสิทธิฯ ผมผิดพลาดจริงๆ เพราะตอนนั้นมีข่าวป้วนเปี้ยนอยู่ นึกว่าเป็น ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ ตรวจสอบใหม่แล้วพบว่าสุทธิไม่ได้เป็น แต่นิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ กับวีระ สมความคิด เป็น ฉะนั้นผมผิดพลาดในรายละเอียดแต่ไม่ผิดในสาระสำคัญ ว่าด้วยการขยายบทบาทของพันธมิตรสายภาคประชาชน
ข้อทักท้วงที่สองมาจากหมอนิรันดร์ ซึ่งชี้แจงผ่านคนกลางมาว่าท่านไม่ได้เป็นพันธมิตร และไม่เห็นด้วยกับพันธมิตรบางอย่าง ด้วยความเคารพ ผมชื่นชมที่คุณหมอคัดค้านรัฐบาลประกาศ พรบ.ความมั่นคงฯ แต่มองยังไงก็ต้องขอบอกว่าคุณหมอเป็น “แนวร่วมพันธมิตร” เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่เห็นด้วยกับพันธมิตรบางอย่าง ไม่ชอบสนธิ ไม่เอาจำลอง ฯลฯ แต่ไม่คัดค้านรัฐประหารไม่คัดค้านการยึดทำเนียบสนามบิน แถมยังปกป้อง วางเฉย หรือทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น คนเหล่านี้ถือเป็น “แนวร่วมพันธมิตร” ซึ่งก็มีตั้งแต่ร่วมใกล้ชิดร่วมห่างๆ ว่ากันเป็นรายๆ
ขอย้ำว่าในเรื่อง “มาบตาพิษ” ผมไม่ได้บอกว่าพันธมิตรสายภาคประชาชน ทำในสิ่งที่ผิดเสียหมด พวกเขาใช้โอกาส ใช้อำนาจต่อรอง เพื่อประโยชน์ประชาชน (เหมือนกรณีบังคับใช้สิทธิยา) เพียงแต่มีคำถาม 2 ข้อคือหนึ่ง ต้นทุนของการได้มา ที่ต้องสนับสนุนรัฐประหารและการสืบทอดอำนาจอำมาตยาธิปไตย สอง ความเหมาะสมของการใช้ “ยาแรง” ที่จะมีแรงต้านต่อการต่อสู้ของภาคประชาชน เกิดภาพลบต่อ NGO ในภาพรวม