ที่มา thaifreenews
ด้วยความโกรธแค้นที่ซุนกวนสังหารน้องร่วมสาบานคือ กวนอู เล่าปี่ภายหลังได้รับการสถานปนาเป็นฮ่องเต้พระนาม “สมเด็จพระจักรพรรดิเจียงบู๊เต้” เล่าปี่ก็กรีฑาทัพไปตี ง่อก๊ก ของซุนกวนทันที และมาประจวบกับ น้องสาม เตียวหุย ถูกแม่ทัพของตนเองสังหารและหนีไปเข้ากับซุนกวนอีก เล่าปี่ เคียดแค้นดังไฟเผา กองทัพ 750,000 คนของเสฉวน ก็ยกไปโจมตี ง่อก๊ก ทันที
ทัพ เล่าปี่..รบชนะและไหลบ่ามาด้วยความฮึกเหิม.. ทัพง่อก๊กของซุนกวน..ไม่สามารถต้านทานความฮึกเหิมนี้ได้...ลกซุนจึงใช้กล ยุทธ ตั้งมั่นไม่ออกรบ..โดยยึดคำกล่าวที่ว่า “ลูกธนูพุ่งมาไกลก็ย่อมหมดแรง” ด้วยกลยุทธนี้สร้างความหงุดหงิดให้กับเล่าปี่ จนในที่สุดก็ขาดความรอบคอบ..และประกอบกับสภาพอากาศร้อนจัดทำให้เล่าปี่ ไม่ได้ก่อตั้งค่ายตามหลักพิชัยสงคราม..สุดท้ายก็ถูกลกซุน ลอบเข้ามาเผาค่าย จนวอดวายหมดทั้งทัพ และเล่าปี่เองก็ต้องตรอมใจจนสิ้นชีวิต...ทัพจ๊กก๊กของเล่าปี่ 750,000 คนก็วอดวายไปพร้อมกับความฮึกเหิมนั้นเอง...
การเลือกตั้งซ่อมที่ จ. มหาสารคาม ผ่านพ้นไปแล้วอย่างอย่างตื่นเต้นใจหายใจคว่ำ แม้ว่าพรรคเพื่อไทย จะชนะพรรคภูมิใจไทย ก็ชนิดฉิวเฉียด ถ้าเป็นม้าแข่งก็ต้องเรียกว่าต้องถึงขั้น “ถ่ายรูป” การชนะกันเพียง พันกว่าคะแนน จากคะแนนเสียงแสนกว่าคะแนนถือว่าชนะกันอย่างใกล้ชิดมาก..ซึ่งสามารถมองได้ 2 มุมด้วยกันก็คือ...
มุม แรก...ถึงอย่างไรประชาชนที่ชาวภาคอิสานในจังหวัดมหาสารคาม ก็ยังคงรักและศัทธานโยบายของพรรคเพื่อไทย ที่สืบทอดเจตนารมย์มาจากพรรคไทยรักไทย และรวมไปถึงศรัทธาท่านนายกทักษิณไม่เสื่อมคลาย ความฮึกเหิมที่พลพรรคเสื้อแดงที่ปลุกเร้ากันมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ยังคงกระหึ่มก้องและเป็นเหมือนพลังเร่งเร้าให้นักรบประชาธิปไตย พร้อมจะเรียกร้องขั้นแตกหักกับเผด็จการอมาตย์..
และผลก็ส่งออกมาแล้ว โดยการเลือกตั้งทั้งที่สกลนคร, และมหาสารคาม...แม้กระทั่งการเลือกตั้ง นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ หรืออีกหลาย ๆ ที่ ย่อมแสดงให้เห็นชัดว่า ชั่วโมงนี้คนเสื้อแดงกำลังฮึกเหิมอย่างที่สุด พร้อมที่สุดที่จะทำการต่อสู้ขั้นแตกหักกับรัฐบาลหุ่นเชิดของเผด็จการอมาตย์ นี้...ซี่งในมุมนี้ก็คือมุมแห่งความน่าพอใจและน่าชื่นชม
มุมที่สอง ...รัฐบาลและพรรคร่วม...โดยเฉพาะพรรคงูเห่าอย่างภูมิใจไทยของเนวิน พยายามอย่างยิ่งที่จะออกข่าวทางสื่อต่าง ๆ ที่จะแสดงบทบาทในการเป็นผู้สร้างความสมานฉันท์ให้กับประเทศนี้ ซึ่งในทางการเมืองนั้นพยายามแสดงให้เห็นว่าเป็นผู้ถอยออกจากความขัดแย้ง... ยื่นข้อเสนอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แม้ว่าจะเห็นได้ชัดว่าเพื่อเป็นการยื้อเวลา แต่สื่อที่อยู่ในมือก็พยายามออกข่าวให้เห็นว่ารัฐบาลเป็นฝ่ายถอย...
และอีกด้านก็พยายามรณรงค์ล้างสมองคนไทยให้มีความคิดออกมาในทาง “รักสามัคคี” เพื่อความสงบสุขของประเทศและเห็นแก่ความสุขของ “พ่อของแผ่นดิน” โดยใช้สื่อที่อยู่ในมืออีกเช่นกันในการรณรงค์เรื่องนี้
ซึ่ง ทั้งสองวิธีนี้เผด็จการอมาตย์ก็กระทำอย่างสอดคล้องและสอดรับกันอย่างเป็น ระบบ.. โดยอาศัยอำนาจอิทธิพลที่ตนเองมีอยู่นำมาเป็นอาวุธ “ทำลายความชอบธรรม” ในการเรียกร้องประชาธิปไตยของคนไทยทั้งแผ่นดิน...
การ ชนะของนายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ ผู้สมัครพรรคเพื่อไทย ที่มีคะแนนถึง 111,340 คะแนน ขณะที่นางคมคาย อุดรพิมพ์ ผู้สมัครพรรคภูมิใจไทย ที่ได้คะแนน 110,152 คะแนน นั้นอาจจะดูว่าเป็นชัยชนะท่ามกลางแรงกดดันจากอำนาจรัฐในทุกวิถีทางก็ตาม.. แต่ถ้ามองย้อนอดีตไปจะเห็นว่า นางคมคาย ที่เคยอยู่พรรคเพื่อแผ่นดิน ได้คะแนนเพิ่มขึ้นถึงกว่า 50,000 คะแนน... และนายประยุทธ์ เองก็อดีตเคยสังกัดอยู่พรรคชาติไทยมาก่อน แต่ก็ได้รับเลือกให้ลงสมัครเพราะ พรรคเพื่อไทย ไม่มีใครที่เป็นตัวหลักของพรรคที่จะนำมาลงได้ในนามของพรรคเพื่อไทยเอง (เพราะถูกแบนไปหมดทั้งสองรอบ)...
เวลานี้กลยุทธที่เผด็จการอมาตย์กำลังพยายามอย่างยิ่งที่จะกระทำ...จะมิใช่ “รุกและชน” แต่จะเป็นการ “ต้านทานและสงบนิ่งรอจังหวะ” และสร้างภาพ เพื่อแย่งความชอบธรรม ในการจัดการกับอำนาจต่อไป โดยอาศัยสื่อและเครื่องมือต่าง ๆ ที่อยู่ในมือเพื่อรอจังหวะและโอกาส ที่คนเสื้อแดง และประชาชนผู้รักประชาธิปไตย ผู้วิ่งมาแล้วอย่างแสนไกลจะหมดแรง และจะพลาดเปิดโอกาสให้กับเหล่าอมาตย์ในการพลิกกลับมาโจมตีได้อีกครั้ง
อย่า ลืมว่าเผด็จการอมาตย์ยังคงมีเครื่องมือ และอุปกรณ์ทุกอย่างทั้งในประเทศ รวมทั้งแรงสนับสนุนจากนอกประเทศ ที่จะทำลายประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตยให้สิ้นทรากไป...เพื่อกดหัวคนใน ประเทศให้สยบยอมไม่กล้าเงยหัวขึ้นมาต่อสู้...เหมือนกับที่ประเทศเพื่อนบ้าน ของไทยบางประเทศกระทำกับประชาชนของประเทศตนเองกระนั้น...
ด้วย เหตุนี้ สำหรับประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทุก ๆ ท่านจะต้องยึดมั่นในแนวทางการต่อสู้ที่ได้ดำเนินการมาไม่น้อยกว่า 3 ปี อย่างมั่นคงและไม่คลอนแคลนว่ากำลังทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ขณะที่แกนนำต้องก้าวเดินอย่างระมัดระวังที่จะก้าวต่อไปบนปลายมีดอันแหลมคม นี้... อย่าได้ประมาทโดยคิดว่าขณะนี้กองทัพประชาธิปไตยมีพร้อมทั้ง...ประชาชน, พรรคการเมือง, และกองกำลังติดอาวุธ แล้วจะเป็นฝ่ายชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด...ดูตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นที่ “จตุรัสเทียนอันเหมิน” และที่ “ธิเบต” กำลังประชาชนก็ถูกล้อมปราบอย่างสิ้นทรากถอนรากถอนโคน และไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมาต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการได้จนทุกวันนี้..สิ่ง เหล่านี้มิใช่จะเกิดขึ้นไม่ได้ สำหรับเผด็จการอมาตย์แล้วอะไรก็เป็นไปได้....
แต่ทว่าประชาชนผู้ รักประชาธิปไตยทั้งหลาย จะต้องเกรงกลัวจนไม่กล้าทำอะไร เพียงแต่ต้องมีความรอบคอบ และก้าวเดินอย่างระมัดระวัง ไม่ยินดีในความสำเร็จจนเกิดความฮึกเหิมจนเกินไป จนทำให้สุดท้ายต้องประสบกับความเสียหายอย่างยิ่งใหญ่ภายหลัง... “จะรุกเร็ว หรือรุกช้าแต่ขอให้ชนะ” ดีกว่า “รุกเร็วแล้วพลาด” ...และที่สำคัญ “มันเอาเราแน่ครับ”..
ปูนนก