by LB1
ทุกสิ่งในโลกนี้ มีขีดความสามารถรองรับแรงกระทำได้ระดับหนึ่ง
โดยถ้าเกินระดับนี้ไปแล้ว จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายเกิดขึ้นกับสิ่งนั้น
เราอาจเรียกระดับดังกล่าวนี้ว่า "ระดับของการยอมรับได้"
ดังเช่น การบรรจุน้ำลงในลูกโป่ง
เมื่อลูกโป่งแตก
ปริมาณน้ำจำนวนก่อนหน้าที่จะทำให้ลูกโป่งแตก คือระดับการยอมรับ (น้ำ) ได้ของลูกโป่งใบนั้น
คนก็เช่นกัน
เมื่อคนสัมผัสกับอารมณ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะอารมณ์ไม่พอใจ
ตราบใดที่ยังไม่เกินระดับของการยอมรับได้ คนก็จะเก็บความรู้สึกไว้ไม่ระเบิดความโกรธออกมา
ความสามารถในการรองรับการกระทำจึงเป็นเรื่องธรรมดา และเป็นสมบัติเบื้องต้นของทุกสรรพสิ่งในโลกนี้
แต่ความไม่ธรรมดาก็คือ แม้แต่ในสิ่งเดียวกัน ธรรมชาติก็สร้าง "ระดับของการยอมรับได้" มาให้แตกต่างกัน
บางคนโกรธง่าย บางคนโกรธยาก
ซ้ำร้ายเมื่อสะสมความโกรธไปจนถึง "ขีดจำกัด" แล้ว
ไม่มีใครตอบได้ว่า คนโกรธยาก จะระเบิดอารมณ์ออกมาได้รุนแรง มากหรือน้อยกว่า คนโกรธง่าย
ดังนั้นถ้าเราเข้าใจธรรมชาติของปรากฏการณ์นี้ ก็อย่าไปทำให้ใครโกรธจะดีกว่า
-
มีเหตุผลมากมายที่ตอบได้ว่า ทำไมจึงมีคนเสื้อแดงเกิดและเพิ่มจำนวนมากขึ้น
ก็เพราะมีเหตุ จึงมีผล...
ถ้าไม่มีการใช้อำนาจบาตรใหญ่ พวกมึงทำอะไรผิดเสมอ
ก็คงไม่มีเสียงคัดค้าน ไม่มีปฏิกิริยาต่อต้าน และไม่มีคนเสื้อแดงเกิดขึ้น
ซ้าร้าย....
เขื่อนกักเก็บน้ำมีช่องทางระบายน้ำทิ้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ปริมาณน้ำเกิน "ระดับการยอมรับได้"
การชุมนุมของคนเสื้อแดงเพื่อสื่อความรู้สึกของตนเองให้อำมาตย์รับรู้ จึงเป็น "ช่องทางระบายน้ำทิ้ง"
แต่รัฐบาลหุ่นของอำมาตย์ไร้สมองกลับพยายามทุกวิถีทางที่จะอุด "ช่องระบายน้ำทิ้ง" นี้ไม่ให้ทำงาน
ความอดทนของคนมีขีดจำกัด
คนเสื้อแดงต้องเจ็บปวดกับเล่ห์เหลี่ยมความเลวร้ายของอำมาตย์และสมุน
และคนเสื้อแดงได้อดทนกับการถูกกระทำมามากพอแล้ว
อำมาตย์หน้าโง่เอย
ปีนี้คือปี พ.ศ.2553
คนเสื้อแดงรอเพียงวัน ว. เวลา น. ที่จะต่อสู้แตกหัก
แต่ก็ยังมีใจกว้างพอจะเปิดทางเลือกให้คู่ต่อสู้
จะยอมเจรจา
จะยอมรับการเปลี่ยนแปลง
จะยอมสูญเสียบางส่วน เพื่อรักษาบางส่วน
เพื่ออยู่ร่วมแผ่นดินกันต่อไป
หรือจะหลับหูหลับตาสู้ ....เพื่อพินาศย่อยยับ
อารมณ์โกรธแค้นเมื่อระเบิดขึ้น
จากคนโกรธง่ายที่สุดไปสู่คนโกรธยากที่สุด
จะก่อให้เกิดการระเบิดของอารมณ์โกรธอย่างต่อเนื่อง จากคนหนึ่งคนสู่คนทั้งประเทศ
ไม่มีอะไรพินาศยิ่งไปกว่าความพินาศจากความต้องการ "ระบายความแค้น"
อำมาตย์หน้าโง่เอย
บุคคลในหน้าประวัติศาสตร์มีอยู่เพียง 2 แบบ คือ ดีเลิศ กับ เลวระยำ
ถ้ายังดื้อด้านจนถึงวันพินาศ
คงรู้ใช่ไหมว่า
รายชื่ออำมาตย์หน้าโง่ทั้งหมดจะปรากฏอยู่ "หน้าใด" ของประวัติศาสตร์ไทยช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ 26.