ที่มา vattavan
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
สถานการณ์ตัวประกัน (Hostage Situation) เป็นเรื่องที่โลกต้องเผชิญ ทั้งในรูปแบบอาชญากรรมธรรมดา และอาชญากรรมที่มีเป้าประสงค์ทางการเมือง ซึ่งแต่ละประเทศ ต้องทำการศึกษา รวมทั้งจัดหน่วยเฉพาะกิจ ที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นพิเศษ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว
การตกเป็นตัวประกันนั้น อาจเกิดจากการ ‘ลักพาตัว’ ซึ่งภาษาอังกฤษใช้คำว่า Kidnap แต่การจี้บังคับยานพาหนะ และผู้โดยสารอาจเป็นรถไฟ เรือ หรืออากาศยาน ภาษาอังกฤษใช้คำว่า
Hijack
คำหลังคือ “ไฮแจ๊ค” นี้ บ้านเรารู้จักกันดี ใช้กันเกร่อ จนจะกลายเป็นคำไทยไปแล้ว!
การจี้จับตัวประกันนั้น ผู้กระทำความผิดมีทั้งประสงค์ต่อทรัพย์ ความต้องการทางเพศ หรือวัตถุประสงค์อื่นฯลฯ ส่วนที่มีความมุ่งหมายทางการเมืองนั้น เช่น การบีบบังคับให้รัฐบาล ปล่อยผู้ร่วมอุดมการณ์ ที่ถูกทางการจับกุมคุมขังไปก่อนหน้านั้น แต่อาจมีการเรียกร้องเอาเงินด้วยก็ได้เป็นต้น
ตัวประกันที่ถูกจับไปนั้น อาจถูกจำกัดเสรีภาพทางร่างกาย หรือถูกคุมขังยาวนาน ไม่ใช่เป็นวัน หรือเดือน แต่บางครั้งผู้โชคร้ายต้องตกอยู่ในฐานะตัวประกัน เป็นแรมปี หรือหลายปี หากคนร้ายยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์ ตามที่ได้เรียกร้องไป
จะขอยกตัวอย่าง ทั้งเรื่องอาชญากรรมธรรมดา และอาชญากรรมที่มีความมุ่งหมายทางการเมือง ที่น่าสนใจมาเป็นข้อมูลตัวอย่าง ให้กับท่านผู้อ่านได้รับทราบบางกรณี ดังนี้
เมื่อปี พ.ศ.2549 มีผู้พบเด็กสาว ชื่อ Natascha Kampusch (นาตาชา คัมปูช) สาวน้อยวัย 18 ปี ซึ่งเด็กสาวคนนี้ได้อ้างตอนที่มีผู้พบตัวว่า
เธอคือเด็กหญิงที่หายตัวไปเมื่อ 8 ปีก่อน คือในปี 2541 ในระหว่างเดินทางไปโรงเรียน ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในตอนนั้น ต้องระดมกำลังกันค้นหาตัวเธอกันจ้าละหวั่น รวมถึงต้องขุดลอกท้องน้ำด้วย จนกลายเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วออสเตรีย ซึ่งเธอได้ปรากฏตัวหลังจากหายตัวไปหลายปี
ตำรวจเมืองนั้นสอบสวนทวนความแล้ว ปรากฏว่าเธอถูกชายชื่อWolfgang Priklopil (วูล์ฟกัง พริกโลพิล) เจ้าหน้าที่เทคนิคด้านการสื่อสาร วัย 44 ปี ซึ่งเป็นผู้ลักพาตัว นำนาตาชา ไปขังไว้ที่บ้านพักหลังหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านสตัสชอฟ ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของเธอ ในกรุงเวียนนาเพียง 16 กิโลเมตรเท่านั้น และเชื่อกันว่า เด็กสาวถูกคุมตัวไว้ในห้องเก็บของที่อยู่ชั้นใต้ดิน
ในรายงานข่าวระบุว่า พริกโลพิล ผู้ลักพาตัวซึ่งได้ฆ่าตัวตายหลังจากที่นาตาชาสามารถหนีรอดออกมาได้ ด้วยการโดดให้รถไฟชนตาย รายละเอียดทั้งหลายเลยพลอยตายไปกับตัวของผู้กระทำความผิดด้วย แต่ก็อาจได้ยินจากเด็กสาว หรือมีหนังสือออกมาให้ได้อ่านกัน
ผู้ตายได้ขังตัวนาตาชาผู้เคราะห์ร้าย เป็นเวลานานโดยไม่เป็นที่สะดุดตาชาวบ้าน จึงเป็นที่น่าแปลกว่า เขาทำเช่นนั้นได้อย่างไร ซึ่งรายละเอียดถูกเปิดเผยออกมาภายหลังโดยตำรวจ ระบุว่า
วูล์ฟกัง พริกโลพิล สามารถซ่อนตัวเธอได้อย่างสมบูรณ์แบบนั้น เป็นเพราะบ้านของเขา มีระบบป้องกันภัยอย่างดีนั่นเอง
เจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดเผยอีกว่า ระหว่างที่ถูกกักขัง วูล์ฟกัง พริกโลพิล จะคอยส่งอาหารและสิ่งของจำเป็นให้ นาตาชา นอกจากนี้เขายังสอนเธออ่านหนังสือ เขียนหนังสือและฝึกหัดเลขคณิต และ...
มีเพศสัมพันธ์กับเธอ!
สำนักข่าวออสเตรียรายงานข่าว โดยอ้างคำให้สัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวน ตอนที่ตำรวจพบตัวเธอ หลังจากถูกกักขังมานานกว่า 8 ปี เจ้าหน้าที่บอกว่า
“เธอหน้าซีด ดูราวกับว่าไม่ได้เจอกับแสงสว่างมาเป็นเวลานาน แต่เธอเปล่งเสียงได้ดี และสามารถอ่านและเขียนได้”
ที่ดีใจและน่าทึ่งมากคือ สาวน้อยคนนี้มีกำลังใจเข้มแข็ง เธอบอกว่า ได้หาทางหลบหนีตลอดเวลาและยืนยันหนักแน่นว่า เธอจะต่อสู้ชีวิตต่อไปอย่างไม่เกรงกลัว
อย่างไรก็ตาม ข่าวบอกว่าสาวน้อยที่น่าสงสาร นาตาชา คัมปูช ซึ่งได้ปรากฏตัวทางโทรทัศน์แล้ว ยังคงต้องได้รับการบำบัดทางจิตอีกเป็นระยะเวลาหนึ่งด้วย!
นี่เป็นคดีที่ ‘สะเทือนขวัญ’ ประชาชนชาวออสเตรีย เป็นอย่างมาก เพราะบ้านเมืองของเขานั้น คดีอาชญากรรมน้อยกว่าบ้านเรามาก และเมื่อมีคดีใหญ่อย่างนี้เกิดขึ้น ก็เป็นที่ตกอกตกใจของผู้คนไปทั่วประเทศ
รวมทั้งชาติอื่นๆ ในยุโรปด้วย!!
ส่วนตัวอย่างเรื่องการจับตัวประกันทางการเมือง นั้น ท่านผู้อ่านคงจำได้ว่า ผมเคยเขียนเล่าเรื่อง “โอปราห์ วินฟรีย์” (Oprah Winfrey) ซึ่งรายการโทรทัศน์ของเธอ โด่งดังไปทั่วโลก ยาวนาจะครบ 25 ปี แล้ว โดยเขียนเล่าไว้ในบทความชื่อ
“ซุปเปอร์จังไร”
(http://vattavan.com/detail.php?cont_id=246)
ท่านที่ยังไม่ได้อ่าน ลองเข้าไปดูกันได้
เมื่อต้นเดือนมีนาคม ผมดูรายการของโอปราห์ เธอได้สัมภาษณ์ผู้หญิงชื่อ อิงกริด เบตันคอร์ท (Ingrid Betancourt) สตรีเชื้อสาย โคลัมเบีย-ฝรั่งเศส ซึ่งเคยตกเป็นตัวของกลุ่มปฏิวัติ FARC หลังจากต้องตกเป็นตัวประกันยาวนานกว่า 6 ปี
เธอผู้นี้มีประวัติที่น่าสนใจมาก เพราะเคยเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของประเทศโคลัมเบีย และได้รับคะแนนเสียงเป็นลำดับ 5 และโด่งดังไปทั่วโลกถูกลักพาตัวโดยกองโจร (Guerilla forces) ในปี 2002 ในระหว่างการหาเสียง การถูกจองจำอยู่นานถึง 6 ปี ตั้งแต่ลูกสาวของเธออายุ 13 ปี ผู้คนที่ติดตามข่าวเธอ เมื่อเวลาผ่านไปเป็นปี และหลายปี ต่างก็ดูเหมือนจะสิ้นหวังกัน
ไม่น่าเชื่อว่า ผู้หญิงคนนี้แข็งแกร่งผิดคาด บางครั้งเธอต้องถูกทรมาน ถูกล่ามโซ่เหมือนสัตว์อยู่ในป่าเป็นคืนเป็นวัน แต่เธอไม่ยอมปล่อยตัวหรือท้อแท้หมดหวัง
เธอปลุกปลอบใจตัวเอง และด้วยความรักความหวังที่จะเห็นลูกสาวอันเป็นที่รัก ทำให้เธอมีชีวิตต่อไปได้ด้วยความทรหดอดทน
เบตันคอร์ท เกิดมาในครอบครัวนักการทูต ใช้เวลาในช่วงที่เติบโต ในฝรั่งเศส ในฐานะลูกสาวของนักการทูตโคลอมเบีย
ในปี ค.ศ. 1989 การลอบสังหารผู้ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีโคลอมเบีย ชื่อ Luis Carlos Galán ทำให้เบตันคอร์ท ละทิ้งชีวิตที่สุขสบายในฝรั่งเศส และหวนกลับคืนกับถิ่นกำเนิดของเธอ และกลายเป็นนักการเมือง ที่เรียกตัวเองว่า เป็น นักเสรีนิยม-ต่อต้านคอรัปชั่น ในการลงสมัครเลือกตั้งสภา
คองเกรส
การเมืองและการเลือกตั้งในโคลอมเบีย ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคุณเป็นหญิงสาวที่ไม่มีคนรู้จัก มีทุนจำกัด และไม่ยอมร่วมใช้วิธีซื้อเสียงที่ทุกคนปฏิบัติกัน
ในที่สุด เธอก็ประสบความสำเร็จ ได้รับเลือกเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร และเส้นทางการเมืองก็ลากยาว จนเธอเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี
วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2002 เธอและผู้จัดการฝ่ายรณรงค์หาเสียงสมัครเป็นประธานาธิบดี คลาร่า โรฮาซ์ ก็ถูกลักพาตัวโดยผู้ก่อการร้ายขวางกั้นถนน
มีหลักฐานทางวีดีโอว่า เธอยังมีชีวิตอยู่ กลุ่มผู้สนับสนุน ก็รณรงค์หาเสียงให้เธอต่อไป โดยช่วยกันขนเอารูปถ่ายของเธอ ที่ติดบนกระดาษแข็งใหญ่เท่าตัวจริง ไปแทนตัวเธอในการหาเสียง
พอถึงวันลงคะแนน เบตันคอร์ทผู้ซึ่งเป็นเหยื่อของการถูกลักพาตัว ติดอันดับที่ห้า ในจำนวนผู้เข้าชิง 11 คน ได้คะแนนกว่า 50,000 เสียง
จากนั้นแม้จะมีเสียงเรียกร้องจากชาวโลก ก็ไม่สามารถโน้มน้าวให้คนร้ายปล่อยตัวเธอออกมา แต่อย่างใด ได้
ในปี ค.ศ.2007 ความหวังว่า มีวีดีโอเทปม้วนหนึ่ง จากกลุ่มกบฏ ซึ่งบันทึกในเดือนตุลาคม 2007 ฉายให้เห็นภาพเธอดูซูบผอม ทั้งยังบอบบางอย่างน่าเวทนา ไร้ร่องรอยให้เห็นว่า ครั้งหนึ่งเธอคนนี้นี่แหละ เป็นนักการเมืองที่เข้มแข็ง และมากบารมี อีกทั้งยังมีข่าวลือกันสนั่นว่า
เธอใกล้ความตายแล้ว แต่...
ดูเหมือน ‘ปาฏิหาริย์’ มีจริง!
ต้นปี 2008 FARC ได้ปล่อยตัวผู้ช่วยของเบตันคอร์ท คลาร่า โรฮาซ์ พร้อมกับตัวประกันอีกกลุ่มหนึ่ง และต่อในวันที่ 2 กรกฎาคม ทหารโคลอมเบีย แฝงกายเป็นพวกกบฏ ได้ล่อ FARC ให้ส่งตัว เบตันคอร์ท และตัวประกันอีก 14 คน แล้วบรรทุกกลุ่มที่ถูกใส่กุญแจข้อมือนี้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ พอบินขึ้นสู่อากาศ ตัวประกันทั้งหลายต้องตะลึงเมื่อได้ยินว่า
พวกเขาเป็นอิสระแล้ว!
อิงกริด เบตันคอร์ท โผล่ออกมาจากป่าโคลอมเบีย ดูซีดเซียวแต่มีรอยยิ้ม เธอบอกเป็นนัยแต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเรื่อง การ “ทรมานและหมิ่นประมาท” ที่เธอต้องประสบ บอกว่า
“สิ่งเดียวที่ฉันเตรียมใจไว้ คือ ฉันต้องการจะให้อภัย และการให้อภัยก็มาพร้อมกับการลืมเลือน”
ตั้งแต่การปล่อยตัวของเธอในปี 2008 เบตันคอร์ท ได้พบกับลูกๆ และครอบครัวของเธอในฝรั่งเศส เธอเดินทางไปสหรัฐฯ ในเดือนกันยายน เพื่อแสดงปาฐกถาที่สหประชาชาติ เรื่อง สถานการณ์ที่เลวร้ายสำหรับเหยื่อผู้ก่อการร้าย เธอเรียกร้องให้มีฐานข้อมูลรวมศูนย์ เพื่อจัดระบบและเผยแพร่ความต้องการของเหยื่อ
นิตยสาร"ไทมส์"ได้จัดอันดับอิงกริด เบตันคอร์ท (Ingrid Betancourt) เป็นบุคคลแห่งปี ประจำปี 2008 และเธอยังได้รับเสนอชื่อ ให้รับรางวัล ‘โนเบล’ สาขาสันติภาพด้วย!!
ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ
คนเรานั้น อิสรภาพและเสรีภาพ เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดของชีวิต บางประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา วางอัตราโทษฐานลักพาตัว หรือ Kidnap เอาไว้สูงมาก และถือเป็นความผิดต่อ federal หรือเป็นความผิดต่อรัฐบาลกลาง ซึ่งเจ้าหน้าที่สอบสวนกลางหรือ FBI สามารถเข้าทำการสอบสวนได้ทันที โดยไม่ต้องรอกำหนดเวลาให้คนร้ายข้ามมลรัฐ หรือข้าม state line ไปเสียก่อนเหมือนคดีทั่วไป
สำหรับเรื่อง Hijack หรือจี้เอาตัวประกัน นั้น ผมเพิ่งได้ยินการปราศรัยที่เวทีมัฆวานเมื่อไม่กี่วันมานี้ โจมตีอาจารย์คนหนึ่งแห่งมหาวิทยาลัย ‘ดิงดองเที่ยงคืน’ ซึ่งโดนกล่าวหาว่า
เขา Hijack เมีย...เพื่อนอาจารย์ ด้วยกัน!
ความจริงไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะที่โด่งดังมากกว่านั้นก็มี เช่น นักการเมือง
Hijack เมีย...สมาชิกร่วมพรรคการเมือง เดียวกัน!!
การ Hijack เมียเพื่อน ก็ผิดศีลข้อ 3 แต่ที่ร้ายไปกว่านั้น คือ ในปี พ.ศ.2549 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ Natascha Kampusch (นาตาชา คัมปูช) โดนลักตัวไปล่วงละเมิดทางเพศนั้น การปกครองระบอบประชาธิปไตย ของปวงชนชาวไทย
ถูก “ไอ้บังกบฏ” กับพวกทหาร Hijack ไป!
ที่ร้ายที่สุด คือ แม้บ้านเมืองจะมีการปกครองแบบประชาธิปไตยแล้ว แต่ฝ่ายทหารเสือกเข้าไปสอดแทรก โดยเข้าไปวุ่นวาย จัดการยกเอาพรรคการเมืองโลซก (ที่สมาชิก Hijack เมียเพื่อนร่วมพรรคเดียวกัน จนโด่งดัง!) แถมพรรคนี้ยังพ่ายแพ้การเลือกตั้งมาแล้วอีกด้วย แต่ทหารยังเสือกดันให้มาเป็นแกนนำรัฐบาล โดยการอุ้มชูของพวกตน...
...ดูพวกมันทำ!!
ดังนั้น ผลพวงจากการยึดอำนาจของ “ไอ้บังกบฏ” ทำให้ประชาชนเกือบทั้งประเทศไม่พอใจ ส่งให้สถาบันต่างๆในประเทศ ทหาร ศาล อัยการ ตำรวจ ข้าราชการอื่นๆ ตกต่ำย่อยยับ อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ของชาติเรา เพราะเกือบทุกสถาบัน โดนถูกกล่าวหาว่า
โอนเอียงเข้าข้าง ฝ่ายที่พวกตนสนับสนุน!
ที่น่าอนาถที่สุด คือ
เมื่อเดือน เม.ย.ปีที่แล้ว ทหารเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองแบบ ‘สุดลิ่มทิ่มประตู’ โดยรับบัญชาฝ่ายการเมืองอย่างขมีขมัน ด้วยการจัดกำลังยานเกราะ พร้อมอาวุธเต็มอัตราศึก โดยอ้างเหตุผลว่า
จะเข้าผลักดันพี่น้องเพื่อนร่วมชาติของพวกตน ที่ชุมนุมกันบนถนนราชดำเนิน โดยฝ่ายทหารเปิดฉากการเข่นฆ่าประชาชน ด้วยกำลังส่วนล่วงหน้า ที่เป็นหน่วยลอบยิง จนผู้คนตายเกลื่อนถนนหลายสิบศพ บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
โหดร้ายทารุณ เหลือกำลัง!
เดชะบุญ!! ...
ก่อนทหารจะเคลื่อนพล เข้าปราบปรามประชาชนขึ้นเพื่อกวาดล้างเบ็ดเสร็จ แบบเดียวกันกับเหตุการณ์ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน นั้น
หน่วยทหารที่กำลังกระเหี้ยนกระหือรือ กลับก็โดน “กองกำลังไม่ทราบฝ่าย” (เพราะจนบัดนี้ ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร) ปฏิบัติการตีโต้ตอบ ยับยั้งการฆ่าหมู่แทนประชาชน เพื่อช่วยเหลือชาวบ้าน ที่มีเพียงมือเปล่าๆ จนทหารแตกพ่าย ต้องหนีกระเซอะกระเซิงกลับไป แบบน่าสมเพช
เคราะห์ดีที่กองกำลังไม่ทราบฝ่าย ไม่ตามตีต่อในลักษณะการไล่ติดตามกวาดล้างให้สิ้นซาก จึงไม่เสียหายไปกว่านั้น แต่ถึงกระนั้น ทหารบางนายถึงกับตายกลางเมือง นายทหารตัวกลั่นไปตายที่โรงพยาบาลก็มี และที่บาดเจ็บสาหัสไปสองสามร้อยคน รวมทั้งผู้นำหน่วยด้วย
ขายขี้หน้าไปทั่วโลก ที่ทหารไทยต้องมาถึงที่ตาย และบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ทั้งๆที่หลีกเลี่ยงได้ แต่พวกเขากลับโง่เขลา ไปรับบัญชาฝ่ายการเมือง ออกมาเข่นฆ่าประชาชน เพื่อนร่วมชาติของตัวเองได้...เหลือเชื่อจริงๆ
จึงนำมาซึ่งความวิปโยค และยิ่งตอกย้ำบาดแผลแห่งความแตกแยกของชาติ ให้ฉีกขาด แหกเบอะออกไปอีก อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน!
มาถึงวันนี้ สภาพคนและสังคมไทย จึงแตกแยกแหลกลาญยับย่อย แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายอย่างชัดเจน และต่างฝ่ายก็พร้อมที่จะเข้าห้ำหั่น เข่นฆ่ากันได้ตลอดเวลา...
เพียงแต่รอ...ให้โอกาสเปิดเท่านั้น!
ภายใต้สถานการณ์อันอึมครึม ไอ้รัฐบาลกาลีที่ทหารจัดตั้ง เลยได้โอกาส Hijack ประเทศไทย ต่อไป ด้วยการผลาญงบประมาณของชาติบ้านเมือง ไปบานทะโรค!!
ถ้าจับทุจริตไม่ได้ หรือไม่มีหลักฐานชัดเจน มันก็แดกกันเพลิดเพลินต่อไป โดยโยนเศษเนื้อข้างเขียง ในรูปงบประมาณให้กับฝ่ายทหาร ได้กินอิ่มนอนหลับกัน จะได้ไม่ลุกขึ้นมา ‘เอ๊กเซอร์ไซด์’ เหมือนที่เคยปรากฏมาในอดีต
ส่วนไอ้คนของพรรครัฐบาล ที่ถูกจับผิดได้ว่า สุมหัวกบาลกัน ฉ้อราษฎร์บังหลวง นั้น
พอโดนจับได้ ไอ้พรรคโลซกมันก็แค่ให้พวกของมัน ที่เกี่ยวข้องกับการโกง ลาออกไป ซึ่งมีทั้งสมาชิกที่สำคัญระดับรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี ไปจนถึงข้าราชการเมือง และสมาชิกสภาเขต
มันก็ทำเพียงแค่นั้นจริงๆ!
ไม่เคยคิดจะเอาพรรคพวกของมัน ไปรับโทษานุโทษ ตามกบิลเมืองแต่อย่างใด
มันน่าเจ็บใจนัก!!
ส่วนไอ้ที่ยังไม่โดนจับ ก็ลอยหน้าลอยตา...
รุม ‘แดกบ้าน-ผลาญเมือง’ กันต่อไป!!!
.........................
(***บทความประจำสัปดาห์ ตอน Hijack ประเทศไทย!!! ออนไลน์วันเสาร์ ที่ 26 มีนาคม 2554)