ที่มา ประชาไท
สำนัก งานทรัพย์สินฯ ชี้แจงย้ำอีกครั้ง พระราชทรัพย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นคือทรัพย์สินส่วนพระองค์ ส่วนทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นทรัพย์สินของรัฐและของแผ่นดิน ซึ่งมีรัฐบาลโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการเป็นผู้รับ ผิดชอบ โดยสำนักงานฯ เป็นผู้ดูแลทรัพย์สินของแผ่นดิน
17 มิ.ย. 54 - มติชนออนไลน์รายงาน ว่าตามที่นิตยสารฟอร์บสเคยลงข่าวว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระ มหากษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก เพราะเป็นเจ้าของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ รายงานประจำปีล่าสุดของสำนักงานฯ ปฏิเสธเรื่องดังกล่าว
โดยในรายงาน ประจำปี พ.ศ. 2553 ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ในบทส่งท้ายระบุว่า ตามที่นิตยสารฟอร์บสได้เคยลงข่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก เพราะสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มีทรัพย์สินโดยเฉพาะที่ดินมี มูลค่ามากมายมหาศาล ซึ่งรัฐบาลโดยกระทรวงการต่างประเทศก็ได้ชี้แจงไปยังนิตยสารนี้แล้วว่าข้อมูล นี้ไม่เป็นความจริง เพราะในประเทศไทยมีกฎหมายแบ่งแยกทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจน
ถึง แม้ว่าจะชี้แจงไปแล้วว่าพระราชทรัพย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นั้นคือทรัพย์สินส่วนพระองค์ ส่วนทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นทรัพย์สินของรัฐและของแผ่นดิน ซึ่งมีรัฐบาลโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการเป็นผู้รับ ผิดชอบ โดยสำนักงานฯ เป็นผู้ดูแลทรัพย์สินของแผ่นดิน และมีนโยบายที่ได้รับมอบหมายมาจากคณะกรรมการ ซึ่งเป็นเรื่องการดำเนินงานเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมมาโดยตลอด แต่ยังมีผู้เข้าใจผิดเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย
รายงานดังกล่าว ยังระบุว่าที่ดินที่ได้มอบให้สำนักงานทรัพย์สินฯดูแลตั้งแต่ก่อตั้งสำนักงาน ปี 2479 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้สำนักงานปฏิรูป ที่ดิน(สปก.) นำที่ดินประมาณครึ่งหนึ่ง(ประมาณ 44,000 กว่าไร่) ไปจัดสรรให้ประชาชนได้มีที่ทำกิน และได้ทรงตั้งกองทุนขึ้นมาเพื่อสนับสนุนการพัฒนาบนที่ดินเหล่านี้ ส่วนที่ดินที่เหลือที่ยังอยู่ในความดูแลของสำนักงานฯ ก็ไม่ได้ถูกใช้เพื่อแสวงหาผลประโยชน์สูงสุดอย่างเช่นเอกชนทั่วๆไป แต่มีการบริหารจัดการโดยมีนโยบายการพัฒนาระยะยาวเพื่อประโยชน์สังคมเป็นเป้า หมายหลัก
โดยที่ที่ดินร้อยละ 93 ให้เช่ากับหน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรที่ทำงานเพื่อสังคม และประชาชนที่มีรายได้น้อยถึงปานกลางในอัตราค่าเช่าที่ต่ำกว่าราคาตลาดมาก มีเพียงร้อยละ 7 ที่ให้เอกชนเช่าออกไปพัฒนาในทางธุรกิจโดยได้ค่าเช่าในอัตราใกล้เคียงกับ อัตราตลาด
รายงานฉบับดังกล่าว ยังระบุถึงทรัพย์สินที่เป็นเงินลงทุน ว่าปัจจุบันมีการลงทุนหลักในสองกิจการ คือ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) และบริษัทปูนซีเมนต์ไทย (SCG) ซึ่งมีนโยบายที่เข้มงวดในการบริหารกิจการโดยมีหลักธรรมาภิบาลและรับผิดชอบ ต่อสังคม
โดยปี 2553 สำนักงานได้เพิ่มบทบาทการดำเนินการและสนับสนุนกิจการด้านสังคมที่หลากหลาย มากขึ้น ทั้งบนพื้นที่ของสำนักงานและโดยทั่วไป โดยผลสำเร็จของงานหลายๆประการได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ต่างๆ ซึ่งสามารถจำแนกเป็นหมวดหมู่ดังต่อไปนี้
1.การพัฒนาศักยภาพและมอบโอกาสให้เยาวชนที่จะเป็นคนเก่งคนดี เป็นคนมีความสุขในสังคม
2.การพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนที่อาศัยบนพื้นที่ของสำนักงานฯ
3.การบรรเทาปัญหาสังคมอันเกิดจากความด้อยโอกาส การเข้าไม่ถึงบริการหรือสวัสดิการของรัฐ
4.การรักษาและอนุรักษ์คุณค่าทางศิลปะ สถาปัตยกรรม วัฒนธรรมและทางศาสนา
5.การสนับสนุนการวิจัยเชิงกลยุทธ์เพื่อการพัฒนา และเพื่อแก้ไขปัญหาที่สำคัญของประเทศ
รายงาน ประจำปีล่าสุดของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ยังระบุว่าปี 2553 สำนักงานฯพอใจกับผลงานที่กิจการและโครงการต่างๆก้าวหน้าตามพันธกิจและนโยบาย อย่างดี และปลายปี 2553 ได้ริเริ่มกระตุ้นรณรงค์ให้ผู้บริหารมุ่งสร้างความสำนึกและพัฒนาความใส่ใจ ใฝ่รู้ของบุคลากร นำไปสู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ เพื่อคุณภาพการบริหารจัดการทุกๆด้านให้อยู่ในระดับมาตรฐานโลกภายในปี 2554 .
(จากสำนักข่าวอิศรา /รายงานประจำปี 2553 สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์)
คลิกอ่าน อ่านรายงานประจำปี 2553 สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่นี่!!