ที่มา thaifreenews
โดย ป้าพลอย
รำค๊าญ รำคาญที่ยังมีคนพูดว่าอภิสิทธิ์ได้เป็นนายกฯตามระบอบประชาธิปไตย
ได้ เสียงสนับสนุนมากกว่าคุณประชา จึงได้เป็นนายกฯรัฐมนตรี นั่นเป็นการมองที่ปลายเหตุหรือเปล่าครับ ซึ่งผมสงสัยคนกลุ่มนี้จริงๆ ทำไมจึงไม่เคยมองถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น ทำไมคนส่วนใหญ่จึงไม่ยอมรับ มามะ เดี๋ยวผมจะเท้าความเพื่อกระตุกจิตสำนึกและฟื้นฟูความทรงจำ อีกทั้งให้กับผู้ที่ไม่เคยติดตามข่าวสารมาตลอด จะได้ไม่หลงเชื่อว่า การเป็นนายกฯของคุณอภิสิทธิ์เป็นไปอย่างถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตย
เรามาดูเส้นทางการสู่นายกฯของคุณอภิสิทธิ์ดูนะครับ
เริ่ม จากความที่รัฐบาลที่มาอย่างชอบธรรม และยังสร้างผลงานมากมายจนเป็นที่ยอมรับของประชาชนทั้งประเทศ และเป็นรัฐบาลชุดแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามา เป็นครั้งที่สอง ด้วยคะแนนเสียงที่ถล่มทลายยิ่งกว่าครั้งแรกเสียอีก นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายที่เกิดขึ้น เพราะฝ่ายค้านคงจะคาดการณ์ได้ว่า ถ้าคุณทักษิณยังอยู่ อย่าหวังว่าจะได้เป็นรัฐบาล คงต้องทนอดอยากปากแห้งไปอีกนานแสนนาน ผสมกับกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์มากมายจากนโยบายของรัฐบาลในสมัยนั้น โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจสีเทาและกลุ่มธุรกิจดำมืด
ดังนั้นจะรอให้รัฐบาล ครบวาระหรือถูกประชาชนขับไล่ตามวิธีปกติคงไม่ได้ จึงได้มีการร่วมมือกันหลายฝ่าย เพื่อสร้างความวุ่นวายให้กับประเทศ โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมาภายหลัง ขอแค่ได้อำนาจอยู่ในมือก็เพียงพอ ไม่จำเป็นต้องแคร์ความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ เพราะอย่างน้อยก็ยังมีคนส่วนน้อยที่หน้ามืดตาบอด มองการเมืองแค่การรับข้อมูลจากฝ่ายที่ตัวเองพึงพอใจ
และด้วยยุทธวิธี ที่ทำการอย่างเป็นขบวนการ ทำให้นายกฯคนหนึ่งที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์และยอมรับ ไม่ว่าจากคนในชาติหรือคนต่างชาติให้กลายเป็นปีศาจร้ายของประเทศไปเสียฉิบ สร้างความเกลียดชังให้กับคนหมู่หนึ่ง แล้วบอกว่า นี่คือการกู้ชาติ จนประเทศเกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
จาก นั้นก็ใช้วิธีทำรัฐประหาร ด้วยวจีเด็ด ประเทศไม่มีทางออก อีกทั้งการทำรัฐประหารดีกว่าคนทุจริตคอรัปชั่น พอมองเห็นภาพแล้วหรือยังครับ เพราะหลายปีที่ผ่านมา การทำรัฐประหารไม่ได้ทำให้การทุจริตคอรัปชั่นลดน้อยลง แล้วยังมีอัตราการคอรัปชั่นเพิ่มขึ้นเสียด้วยซ้ำไป แต่เรื่องนี้ผมจะยังไม่พูดถึง
แต่ที่จะพูดถึงกลับเป็นแผนบันไดสี่ขั้นของหัวหน้ารัฐประหารต่างหากครับ
ตั้ง ธงแต่แรกต้องมีการยุบพรรค ดังนั้น พรรคไทยรักไทยจึงเกิดขึ้น เหลือไว้แต่ ปชป.พรรคเดียว ถ้าไม่ตาบอดกันล่ะก้อ คลิปนั่นคงได้ผ่านตากันบ้างแล้ว และเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของบันไดขั้นแรก
ขั้นสอง ความผิดอาญาจากการทุจริต ดังนั้นเราจึงได้เห็นคดีคนซื้อไม่ผิด คนขายไม่ผิด ผิดที่คนเซ็นและยังต้องรับผิดโดยไม่รอลงอาญา เพียงเพราะคดีนี้สามารถพิสูจน์ได้อย่างรวดเร็วกว่าคดีอื่น แต่ก็ขัดกับความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ และยังเป็นที่ถกเถียงของนักกฎหมายจนถึงทุกวันนี้
ขั้นสาม ต้องทำให้พรรคแตกกระจาดกระจายและสิ้นสุด ก็เป็นไปตามแผนอย่างแยบยลด้วยการย้อนหลังตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค เหลือพรรคเดียวที่ไม่แตกเพราะไม่โดนยุบพรรค พรรคไหนรู้ไหมครับ
ขั้น สุดท้ายคือการทำประชามติ ให้ยอมรับรัฐธรรมนูญฉบับเจ้าปัญหาที่ทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอ และเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลอภิสิทธ์ ดังที่คนกลุ่มนี้พยายามจะอ้างการได้เสียงสนับสนุนจากรัฐสภาไงครับ
แต่ ปัญหามันไม่จบตรงบันไดสี่ขั้น เพราะถึงแม้ทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนที่วางไว้ แต่สิ่งเดียวที่ไม่เป็นตามแผนก็คือ คนเหล่านี้มองข้ามความคิดของคนส่วนใหญ่ ไม่เคยรับรู้ถึงความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ ข้อสำคัญไม่เคยรู้เลยว่า คนส่วนใหญ่เวลานี้เข้าใจระบอบประชาธิปไตยดีกว่าคนกลุ่มน้อยเสียอีก
ดัง นั้นพรรคพลังประชาชนจึงได้เป็นรัฐบาล ขบวนการล้มรัฐบาลและฝืนใจคนส่วนใหญ่ยังไม่ยอมหยุด จึงมีการปลดนายกฯด้วยข้อหาทำกับข้าวออกทีวี แต่เมื่อยังไม่สัมฤทธิ์ผล เพราะคุณสมชายกลับได้มาเป็นนายกฯแทน ขบวนการดังกล่าวเริ่มทำงานต่อไป คราวนี้ทำขนาดเอาความเสียหายของประเทศเป็นตัวประกัน ไม่ว่าจะเป็นกรณียึดเอ็นบีที ยึดทำเนียบ ร้ายสุดถึงขั้นปิดสนามบิน แต่ก็ไม่สามารถที่จะทำให้รัฐบาลต้องสละได้
ท้ายสุดก็ต้องหันมาพึ่ง บริการการยุบพรรค แต่คราวนี้ยุบทีเดียวหลายพรรค ซึ่งใช้เวลาไม่นานนัก แถมยังอ่านผิดๆถูกๆ ทั้งๆที่การสอบพยานยังไม่ครบเสียด้วยซ้ำไป นี่เป็นการยุบพรรคการเมืองที่มีประชาชนให้ความศรัทธามากที่สุดของประเทศได้ อย่างเรียบง่ายด้วยคนเพียงไม่กี่คน นี่คือประชาธิปไตยแบบของคนเสียงข้างน้อย
แต่ ทำกันขนาดนี้ ก็ใช่ว่าคุณอภิสิทธิ์จะได้เป็นนายกฯ เพราะประชาชนต้องการให้มาเป็นฝ่ายค้านต่างหาก เสียงจึงน้อยจนไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ จึงต้องอาศัยกลุ่มงูเห่า ดังนั้นการฟอร์มรัฐบาลในค่ายทหารจึงเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการประเคนกระทรวงสำคัญๆให้กับพรรคร่วม ยังมีอำนาจที่ยากปฏิเสธอีกต่างหากดังที่คุณชุมพลหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนาได้ อ้างถึง อย่างนี้คิดว่าเป็นเรื่องปกติในระบอบประชาธิปไตยหรือเปล่าครับ
เห็น หรือยังครับว่า เส้นทางการขึ้นสู่นายกฯของคุณอภิสิทธิ์มันไม่ธรรมดาจริงๆ แล้วจะมีความสง่างามได้อย่างไรกัน จะมาอ้างถึงการยกมือโหวตในสภาก็จริงอยู่ ท้ายสุดคุณอภิสิทธิ์จึงได้เป็นนายกฯไงครับ แต่ทว่าถ้ามีความสง่างามจริงล่ะก้อ ทำไมเราไม่เคยเห็นความกระตือรื้อร้นของเหล่าทูตต่างๆ เหล่าผู้นำประเทศต่างๆแสดงความยินดีมากมายเช่นเดียวกับที่นายกฯยิ่งลักษณ์ ได้รับล่ะครับ เคยมองเห็นจุดนี้หรือไม่
และถ้าเป็นนายกฯตามวิถีทาง ตามระบบรัฐสภา ถ้าเป็นนายกฯตามระบอบประชาธิปไตย ถ้าเป็นนายกฯของประชาชน ทำไมแค่เรียกร้องให้ยุบสภาจึงต้องมีคนตายเหยียดร้อย บาดเจ็บเกือบสองพัน ทำไมจึงไม่ยอมให้การเลือกตั้งพิสูจน์ความเป็นผู้นำอย่างสง่างาม เพื่อไม่ให้สังคมคลางแคลงใจในความสง่างามล่ะครับ
หรือเพียงแค่รออีก ไม่กี่เดือน เพื่อหวังเงินงบประมาณแผ่นดินมาช่วยด้านคะแนนเสียง หวังแค่มีคนของตัวไปช่วยเอื้อประโยชน์ในการเลือกตั้ง มันคุ้มหรือไม่กับการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินมากมายรวมทั้งชื่อเสียงของ ประเทศ และท้ายสุดก็ไม่สามารถกลับมาเป็นนายกฯได้อีก นี่จึงเป็นคำตอบสำหรับใครต่อใครที่พยายามออกมาพูดว่า คุณอภิสิทธิ์ได้เป็นนายกฯตามรัฐธรรมนูญเฉกเช่นเดียวกับรัฐบาลคุณสมัคร รัฐบาลคุณสมชาย เพราะมันต่างกันมากมาย โดยเฉพาะการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ได้บ่งบอกให้คนไทยทั่วประเทศได้รับรู้ว่า
การซื้อเสียงไม่ใช่เหตุผลหลักทีจะชนะการเลือกตั้ง
การทุจริตการเลือกตั้งก็ไม่สามารถทำให้ชนะการเลือกตั้งได้
การใช้อำนาจในการเอื้อประโยชน์การเลือกตั้งก็ไม่สามารถทำให้การเลือกตั้งเปลี่ยนแปลงได้
การซื้อ ส.ส.ในพื้นที่ก็ใช่ว่าจะเป็นหนทางสู่การเป็นรัฐบาลได้เสมอไป
ตราบ ใดที่คุณอภิสิทธิ์และพวกยังไม่เข้าใจถึงจิตวิญญาณของประชาธิปไตยที่ซื้อไม่ ได้ของคนกลุ่มใหญ่ ตราบนั้นคุณอภิสิทธิ์อย่าหวังกลับมาเป็นนายกฯตามวิถีทางปกติตามระบอบ ประชาธิปไตย นอกเสียจากอำนาจนอกระบอบเข้ามาช่วยจัดการให้ แค่นี้พอเข้าใจแจ่มแจ้งหรือยังครับว่า ทำไมคนส่วนใหญ่จึงไม่ยอมรับกับการเป็นนายกฯของคุณอภิสิทธิ์ เพียงแต่เคารพในกติกา จึงอดทนรอให้มีการเลือกตั้ง เพื่อที่จะแสดงออกผ่านทางเลือกตั้งว่า “กรูไม่เอาเมิง” แจ่มชัดหรือยังครับพลพรรคของคุณอภิสิทธิ์ทุกๆท่าน
จากคุณ : ทวดเอง
เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค.