ที่มา ประชาไท
เว็บไซต์วอยซ์ทีวี เผยแพร่รายงานการวิจัยของ ดร.วิโรจน์ ณ ระนอง เรื่อง 'ความเป็นอิสระของทีวีสาธารณะและการถ่ายทอดวาทกรรมและปฏิบัติการจิตวิทยาของ รัฐ: กรณีศึกษาการชุมชุมทางการเมืองในเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2553' ระบุว่า ทีวีไทยเป็นส่วนหนึ่งขององค์การกระจายเสียงและแพร่ ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 โดยออกแบบไว้อย่างระมัดระวังเพื่อให้มีหลักประกันด้านความเป็นอิสระจาก รัฐบาล (ด้วยโครงสร้างตามกฎหมาย) และจากกลุ่มทุนอื่น (โดยกำหนดให้มีแหล่งทุนสนับสนุนหลักที่ชัดเจนจากภาษีบาปปี ละไม่เกิน 2,000 ล้าน)
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมายังมีข้อวิพากษ์วิจารณ์และมีการศึกษาที่ชี้ว่า ทีวีไทยยังเป็นสถานีที่ไม่มีความโดดเด่นในด้านความเป็นอิสระอย่างที่ควรจะ เป็น (และสามารถเป็นได้) หรือเป็นกลางทางการเมือง(ในความหมายของ unbiased/impartiality) อย่างแท้จริง หรือมีความเป็นมืออาชีพที่สามารถเป็นต้นแบบที่คนทางทีวีช่องอื่นๆ (ที่อาจจะไม่มีโอกาสที่ดีเท่า เพราะต้องรับใช้ทุน รัฐ หรือกองทัพ) ได้ยึดถือเป็นแบบอย่างการศึกษานี้พยายามวิเคราะห์ความเป็นอิสระและความเป็น กลางทางการเมืองของทีวีไทย โดยใช้วิธีหาหรือแสดงหลักฐานในกรณีที่การนำเสนอของทีวีไทยมีความเบี่ยงเบนไป จากมาตรฐานชั้นเลิศ (ideal standard) ในด้านเหล่านี้ของทีวีสาธารณะ
วิธีการศึกษาประกอบด้วย การติดตามดูทีวีไทยในช่วงเดือน มี.ค.–พ.ค. 2553 การสัมภาษณ์ ผู้ที่เกี่ยวข้อง และ/หรือ รับฟังความเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องจากการประชุมอื่นๆ และการรับฟังข้อมูลจากผู้ที่อยู่ในวงการสื่อจำนวนหนึ่งที่สนใจปัญหานี้และ ติดตามชมทีวีไทยในช่วงดังกล่าว
การศึกษานี้เป็นส่วนหนึ่งของการตรวจสอบการทำหน้าที่ของสื่อสาธารณะที่ใช้ ภาษีของประชาชนและมุ่งหวังให้เกิดความตระหนักถึงมาตรฐาน/ความเป็น อิสระ/จริยธรรมของสื่อสาธารณะในการนำเสนอข่าวสารที่รอบด้านให้ประชาชน
ผลการศึกษาพบว่า แม้ว่าในบางช่วงทีวีไทยเป็นช่องที่เสนอข่าวการชุมนุมมากกว่าฟรีทีวีโดย เฉลี่ย แต่การที่ทีวีไทยไม่ได้เสนอข่าวที่รัฐพยายามใช้สื่อโทรทัศน์ในการทำสงคราม จิตวิทยาต่อสาธารณะ ในขณะที่มีการรับและถ่ายทอดวาทกรรมต่างๆ ที่รัฐสร้างขึ้นภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้ง (ซึ่งอย่างน้อยบางส่วนเป็นวาทกรรมทีเห็นได้ชัดว่าเกิดขึ้นเพื่อดำเนินการตอบ โต้กับผู้ชุมนุมและ/หรือฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง) มาใช้เป็นภาษาข่าวของสถานี โดยปราศจากการตั้งคำถามหรือมุมมองที่วิเคราะห์วิจารณ์ต่อสาธารณะ และการที่แทบจะไม่เสนอข่าวการแทรกแซงสื่อและการปิดกั้นเว็บไซท์ต่างๆ ของรัฐและกองทัพ จึงทำให้ภาพของทีวีไทยในด้านความเป็นอิสระของ “สื่อสาธารณะ” ไม่ได้มีความโดดเด่นไปจากสื่อโทรทัศน์ของรัฐหรือสื่อโทรทัศน์ทั่วไปที่มัก อยู่ภายใต้วัฒนธรรมกำกับการทำงานของรัฐ และมีแนวโน้มที่จะให้พื้นที่เต็มที่กับภาครัฐ และรับวาทกรรมที่รัฐสร้างขึ้นมาเหมือนโดยปราศจากคำถามหรือมุมมองวิพากษ์ วิจารณ์ ทำให้ทีวีไทยยังไม่ได้มีภาพของสื่อที่มีความเป็นมืออาชีพและเป็นอิสระจาก อำนาจรัฐ ซึ่งเป็นความคาดหวังของคนจำนวนมากต่อทีวีไทยในช่วงที่มีการผลักดันให้ตั้ง ทีวีช่องนี้ขึ้นมา
ผลการศึกษาที่พบว่า ทีวีไทยมีแนวโน้มที่ไม่เป็นอิสระหรือเข้าข้างรัฐบาล ในช่วงการชุมนุมทางการเมืองในระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม 2553 นี้อาจจะไม่ได้หมายความว่าทีวีไทยเข้าข้างรัฐบาลหรือกองทัพเสมอไป แต่อาจจะสะท้อนความไม่เป็นกลางหรือการเลือกข้างของทีวีไทย ซึ่งมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าเอียงข้างฝ่ายตรงข้ามกับรัฐในการชุมนุมทางการ เมืองในช่วงก่อนปี 2552
แม้ว่าในสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรงในปัจจุบัน จะเป็นเรื่องยากที่ทีวีไทยหรือสื่ออื่นใดจะสามารถทำให้ผู้ชมทุกคนเห็นว่ามี ความเป็นกลาง ซึ่งกรรมการนโยบายและผู้บริหารทีวีไทยหลายท่านได้แย้งว่าทีวีไทย “ถูกด่า/วิจารณ์จากทั้งแดงทั้งเหลือง” และบางท่านมองดูปรากฏการณ์นี้ว่าเป็นเครื่องยืนยันถึงความเป็นกลาง เพราะแสดงว่าได้ให้พื้นที่กับทั้งสองฝ่ายแล้ว แต่ปรากฏการณ์นี้อาจสะท้อนปัญหาความเอนเอียงไปมาตามกระแสหรือเสียงวิจารณ์ใน ช่วงต่างๆ ก็เป็นได้ ซึ่งถ้าทีวีไทยสามารถท างานได้อย่างเป็นมืออาชีพที่ไม่เลือกข้างอย่างแท้จริง ก็น่าจะทำให้ข้อครหาเหล่านี้น้อยลงหรือหมดไป (และเปลี่ยนจากการ “ถูกด่าจากทั้งแดงทั้งเหลือง” เป็น “ไม่ถูกด่าจากทั้งเหลืองและแดง” แทน) ซึ่งถ้าทีวีไทยสามารถไปถึงจุดที่คนจำนวนมากเกิดความเชื่อมั่นว่าทีวีช่องนี้ เป็นทีวีที่อิสระและมีความเป็นมืออาชีพที่เชื่อถือได้และกล้าที่จะแสวงหา ความจริงมาตีแผ่ โดยไม่เอนเอียงไปข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดแล้ว คนเหล่านั้นก็จะเกิดความหวงแหนและจะช่วยปกป้องทีวีช่องนี้ ซึ่งสิ่งนี้จะเป็น “สินทรัพย์” (asset) ที่มีค่าและเกราะกำบังของทีวีไทยในอนาคต
เป็นที่น่าสังเกตว่า ถึงแม้ทีวีสาธารณะในบางประเทศมีภาพลักษณ์ที่มีจุดยืนทางการเมืองและในเรื่อง ต่างๆ ที่ไม่ใช่ตรงกลาง ตัวอย่างเช่น PBS ในสหรัฐได้ชื่อว่าเป็นทีวีเสรีนิยม (liberal) รวมทั้งรายการและพิธีกรที่มีชื่อเสียงของช่องบางคนด้วย อย่างไรก็ตาม ทีวีเหล่านี้มักจะมีนโยบายที่ชัดเจนในการเปิดพื้นที่ให้กับรายการที่ได้ชื่อ ว่ามีจุดยืนทางการเมืองต่างออกไป นอกจากนี้การทำงานของทีวีอย่าง PBS ก็ได้รับความยอมรับในความเป็นมืออาชีพค่อนข้างสูง และโดยทั่วไปแล้วไม่มีข้อครหาเรื่องการบิดเบือนใดๆ ความยอมรับในส่วนนี้ทำให้พิธีกรข่าวของ PBS มักได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในผู้ด าเนินรายการ (moderator) ในการโต้วาทีในการเลือกประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีอยู่บ่อยๆ โดยไม่มีข้อคัดค้านหรือข้อครหาเรื่ องความไม่เป็นกลางทางการเมืองแต่อย่างใด ซึ่งสิ่งนี้น่าจะเป็นเป้าหมายที่ทีวีไทยควรจะตั้งและพยายามดำเนินงานแบบมือ อาชีพในการนำเสนอข่าวสารและรายการอย่างตรงไปตรงมา ปราศจากการยัดเยียด บิดเบือน หรือโจมตีเพื่อช่วยฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ซึ่งจะทำให้ทีวีไทยกลายเป็นทีวีสาธารณะที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายและยัง สามารถรักษาจุดยืนขององค์กร (ถ้ามี) ไปพร้อมกันด้วย
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบของประชาไท รายงานวิจัยส่วนบุคคลของ วิโรจน์ ณ ระนอง ชิ้นนี้เวลาจัดทำขึ้นในเดือนตุลาคม 2553 ในช่วงเข้าอบรม บสก.2 (หลักสูตรอบรมผู้บริหารการสื่อสารมวลชนระดับกลาง (บสก.) รุ่นที่ 2) ของสถาบันอิศรา โดยผู้วิจัยได้ชี้แจงในท้ายข่าวของวอยซ์ทีวีว่า
"TPBS โดยคุณหมอพลเดช (ปิ่นประทีป) เชิญผมไปประเ
Attachment | Size |
---|---|
ความ เป็นอิสระของทีวีสาธารณะ และการถ่ายทอดวาทกรรมและ ปฏิบัติการจิตวิทยาของรัฐ: กรณีศึกษาการชุมชุมทางการเมืองใน เดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2553 โดย ดร.วิโรจน์ ณ ระนอง.pdf | 938.84 KB |