ที่มา Thai E=News
ที่มา ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมเดือน เม.ย.-พ.ค.53 (ศปช.)
ศูนย์
ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมเดือน เม.ย.-พ.ค.53 หรือ
(ศปช.) จัดแถลงข่าวนำเสนอรายงาน "ความจริงเพื่อความยุติธรรม:
เหตุการณ์และผลกระทบจากการสลายการชุมนุม เมษา-พฤษภา 53" เมื่อ19 ส.ค.55
ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
“นี่
เป็นรายงานที่สะท้อนเสียงและมุมมองของประชานที่ตกเป็นเหยื่อ
และเป็นเสมือนคำประกาศต่อสังคมไทย ว่า เราจะไม่มีวันยอมรับความพยายามใดๆ
ที่จะให้ผู้ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง ผู้ที่สูญเสีย ลืม
เงียบเฉยและยอมจำนน ต่อความอยุติธรรม
เราไม่มีวันยอมรับการเปลี่ยนการก่ออาชญากรรมต่อประชาชนให้เป็นสิ่งถูกกฎหมาย
เราไม่มีวันไม่ยอมรับวัฒนธรรมการบูชาความปรองดองและความมั่นคงของรัฐ
แต่ดูถูกเหยียบย่ำสิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ถูกกระทำ
เราจะไม่มีวันยอมรับวัฒนธรรมการเมืองที่ช่วยโอบอุ้มประเพณีของการปล่อยให้
ผู้กระทำผิดที่มีอำนาจลอยนวล” พวงทองกล่าว
เปิดรายงาน ศปช. "ความจริงเพื่อความยุติธรรม" เหตุการณ์และผลกระทบจากการสลายการชุมนุม เมษา-พฤษภา 53
รอบบ่ายช่วงแรก-เปิดรายงาน ศปช. "ความจริงเพื่อความยุติธรรม" เหตุการณ์และผลกระทบจากการสลายการชุมยุม เมษา-พฤษภา 53
รอบบ่ายช่วงสุดท้าย-เปิดรายงาน ศปช. "ความจริงเพื่อความยุติธรรม" เหตุการณ์และผลกระทบจากการสลายการชุมนุม เมษา-พฤษภา 53
เวทีเสวนา "ปรองดองกับความเป็นธรรม?"-วันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม 2555 เวลา 16.30-22.00 น. ที่ Book Re:public
ติดตามรายงานฉบับเต็ม 1 กันยายนนี้ที่ http://www.pic2010.org/
ไม่นานหลังการปราบปรามการชุมนุมคน
เสื้อแดง เสียงเรียกร้องให้มีการสมานฉันท์ สามัคคี ปรองดองก็ดังกระหึ่มขึ้น
เสียงร้องเหล่านี้มักแฝงมากับการบอกให้ประชาชนช่วยกัน “ทำ
ให้สังคมก้าวไปข้างหน้า” “หันหน้ามาคืนดีกัน” “เลิกแบ่งสีแบ่งฝ่าย”
ซึ่งแท้ที่จริงก็คือการบอกให้ผู้ถูกกระทำ “ลืม เงียบเฉย และยอมจำนน” ต่อ
ความอยุติธรรมนั่นเอง
เหตุการณ์ทำนองนี้เป็นสิ่งที่ผู้มีอำนาจและปัญญาชนที่สนับสนุนพวกเขากระทำ
บ่อยครั้งในอดีต ดังจะเห็นว่าความรุนแรงทางการเมืองทุกครั้งในประเทศไทย
จบลงด้วยการนิรโทษกรรมให้แก่ผู้อยู่เบื้องหลังการปราบปรามประชาชน
ซึ่งเป็นการเปลี่ยนอาชญากรรมของรัฐต่อประชาชน
ให้กลายเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย
ความ
เงียบและการยอมจำนนของเหยื่อจึงเป็นด้านมืดของวัฒนธรรมการเมืองไทยที่บูชา
“ความมั่นคง” “ความสามัคคี” “ความปรองดอง” แต่ดูถูกเหยียบยํ่าสิทธิ เสรีภาพ
และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ถูกกระทำ
เป็นวัฒนธรรมการเมืองที่ช่วยกันโอบอุ้มประเพณีของการปล่อยให้ผู้กระทำผิดที่
มีอำนาจ ลอยนวล (culture of impunity)
เป็นภาวะด้านชาและมืดบอดต่อความเจ็บปวดของคนร่วมสังคมเดียวกัน
เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่จนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกันกับจิตวิญญาณของการเป็นพลเมือง
ไทยที่ดี ที่ถูกกล่อมเกลาด้วยวาทกรรมรักชาติตลอดมา
ในขณะที่ปัญญาชนในสังคมมักหยิบยืม
แนวคิด ทฤษฎี หรือวาทกรรมจากตะวันตกเพื่อแสดงถึงความทันสมัยของตนเอง
แต่เมื่อต้องรับมือกับปัญหาความรุนแรงและความอยุติธรรมภายในสังคมไทยที่มี
สาเหตุมาจากกลุ่มอำนาจเดิม
ซึ่งไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ฐานอำนาจอยู่ที่เสียงส่วนใหญ่ของ
ประชาชน พวกเขากลับไม่สามารถเรียนรู้บทเรียนใดๆ จากสังคมภายนอกได้เลย
แม้แต่ คอป.
ที่ยืมเอาแนวคิดเรื่องการแสวงหาความจริงในฐานะที่เป็นด้านที่แยกไม่ได้จาก
การแสวงหาความยุติธรรม ก็ดูจะรับเอามาแต่ส่วนที่เป็นวาทศิลป์
มากกว่าจะรับเอาแก่นสารของแนวคิดดังกล่าวมาผลักดันให้เป็นจริง
ขณะที่พวกเขาไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า สังคมต้องรับรู้ “ความจริง” และรื้อฟื้น
“ความยุติธรรม” ให้แก่เหยื่อ
แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่สามารถสลัดหลุดออกจากความปรองดองแบบไทย ๆ
ที่มุ่งปกป้องสถาบันอำนาจในสังคมเป็นสำคัญ
หากเราหันไปดูสังคมอื่นที่เคยประสบ
กับความรุนแรงทางการเมืองโดยรัฐ เช่น แอฟริกาใต้ อาร์เจนตินา ชิลี ฯลฯ
การสร้างความปรองดองล้วนต้องเดินควบคู่ไปกับการคืนความยุติธรรมให้แก่เหยื่อ
อย่างน้อยที่สุด
ความยุติธรรมขั้นพื้นฐานที่จะต้องมีให้ได้คือการเปิดเผยความจริงว่าใครคือ
ผู้กระทำและอยู่เบื้องหลังอาชญากรรมต่อประชาชน ในสังคมเหล่านี้
ความจริงและความยุติธรรมดูจะเป็นคุณค่าที่มีความสำคัญมากกว่าการปรองดอง
ความสามัคคี ความสงบสุข และความมั่นคงของรัฐ
เพราะพวกเขาเชื่อว่าหนทางเดียวที่จะป้องกันไม่ให้การละเมิดสิทธิในชีวิตของ
ประชาชนอย่างรุนแรงโดยอำนาจรัฐเกิดขึ้นอีก
มีแต่ต้องเรียนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในอดีต ใครคือผู้สั่งการ
ใครคือผู้สมรู้ร่วมคิดก่ออาชญากรรมต่อเพื่อนร่วมแผ่นดินของตน
อุดมการณ์แบบไหนที่ทำให้ผู้มีอำนาจสามารถระดมคนชาติเดียวกันให้ช่วยกัน
สังหารคนอีกกลุ่มหนึ่งได้อย่างเลือดเย็น โครงสร้างทาง
อำนาจหรือระบบราชการหรือระบบกฎหมายแบบใดที่อนุญาตให้ผู้สั่งการเชื่อว่าพวก
เขาจะสามารถรอดพ้นจากการรับผิดได้ ใครบ้างที่จะต้องถูกลงโทษ ฯลฯ
ประเด็นเหล่านี้คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ประชาชนในประเทศอื่น ๆ
เห็นความสำคัญของการแสวงหาความจริง
และร่วมกันต่อสู้เพื่อคืนความยุติธรรมให้แก่เหยื่อให้ได้
แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะต้องเสี่ยงภัยและใช้เวลาต่อสู้กับอำนาจเผด็จการอย่าง
เนิ่นนานก็ตาม
แต่ในกรณีของไทย
เสียงเรียกร้องให้มีความปรองดองนั้นดังกระหึ่ม
ขณะที่เสียงเตือนให้สังคมต้องมุ่งไปที่การแสวงหาความจริงและนำผู้กระทำผิดมา
ลงโทษกลับอ่อนแอกระปลกกระเปลี้ย สำหรับสังคมไทย
ความจริงและความยุติธรรมไม่ใช่สิ่งที่มีความสำคัญแม้แต่น้อย
ฝ่ายที่มีอำนาจรัฐและบรรดาปัญญาชนที่ช่วยปกป้อง อำนาจเหล่านี้ต่างช่วยกัน
“มอมยา” ให้ผู้คนในสังคมคล้อยตามไปกับการปล่อยให้ผู้กระทำผิดลอยนวล
โดยไม่ต้องคิดมากว่าเหตุการณ์อาชญากรรมโดยรัฐจะกลับมาทำร้ายประชาชนในอนาคต
ซํ้าแล้วซํ้าเล่าอีกหรือไม่
เราอยู่กับปัจจุบันเสียจนไม่ยี่หระกับอนาคตของตนเอง
ไม่หยี่หระต่ออนาคตของสังคมไทย
ไม่หยี่หระกับโศกนาฏกรรมที่เราทิ้งไว้ให้แก่ของคนรุ่นหลัง
ฉะนั้น
ความพยายามของคนกลุ่มหนึ่งในนามของ ศปช. ที่ท่านถืออยู่ในมือนี้
จึงเกิดขึ้นด้วยความหวังว่า สักวันหนึ่ง
หากผู้คนในสังคมนี้ไม่กลายเป็นโรคความจำเลอะเลือนทางการเมืองไปหมดเสียก่อน
เราจะสามารถสถาปนาความจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ปราบปรามประชาชนในเดือน
เมษายน-พฤษภาคม 2553 และนำผู้ที่เกี่ยวข้องมารับผิดได้ในที่สุด
เรามีความหวังว่าข้อมูลที่รวบรวมขึ้นมานี้จะมีประโยชน์ต่อกระบวนการยุติธรรม
ในอนาคตได้บ้าง
รายงานฉบับนี้เป็นเสมือนคำประกาศต่อสังคมไทยว่า วัฒนธรรม
แห่งการปล่อยให้ผู้กระทำผิดที่มีอำนาจลอยนวล
และการเหยียบยํ่าสิทธิในชีวิตและความเป็นคนจะต้องยุติลงในสังคมไทยเสียที
ถึงเวลาที่คนรุ่นใหม่จะต้องช่วยกันรื้อถอนวัฒนธรรมการเมืองอันน่ารังเกียจ
ที่ครอบงำสังคมไทยนี้ เราขอเน้นยํ้าว่า
ความจริงและความยุติธรรมมีความสำคัญมากกว่าความปรองดองอันหลอกลวงฉาบฉวย
ความจริงและความยุติธรรมมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างสังคมใหม่
ที่คุณค่าและศักดิ์ศรีของประชาชนทุกชนชั้นต้องได้รับการเคารพและปฏิบัติ
อย่างเท่าเทียมกัน
ณ จุดหนึ่งบนแผ่นดินที่เปื้อนเลือด