ที่มา ประชาไท
Tue, 2012-08-21 17:59
ปริญญา เทวานฤมิตรกุล นำเสนอผลการวิจัย
“การป้องกันและแก้ไขปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียงในการเลือกตั้ง”
พบยอมรับเงินจากผู้สมัคร แต่ไม่เลือก 46.79
และแม้ไม่ได้รับเงินก็จะเลือก 48.62
สำนักข่าวไทยรายงานเมื่อวันที่ 17 ส.ค. ที่โรงแรมเซ็นทารา
คอนเวนชั่นเซ็นเตอร์
ในการสัมมนาทางวิชาการของสถาบันพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้ง
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่า นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล
ได้นำเสนอผลการวิจัยเรื่อง
“การป้องกันและแก้ไขปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียงในการเลือกตั้ง”
โดยการวิจัยดังกล่าวได้สุ่มตัวอย่างผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศ จำนวน
941 คน ในการเลือกตั้งส.ส.เมื่อวันที่ 3 ก.ค.54 ที่ผ่านมา พบว่า
ในส่วนการเลือกตั้งระดับชาติปัจจุบันการใช้เงินเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิ
เลือกตั้งลงคะแนนเลือกตนเองในการเลือกตั้งระดับชาติ
มีผลต่อการตัดสินใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้งน้อยลงจากเดิม
และไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุดในการแพ้หรือชนะการเลือกตั้งอีกต่อไป
ข้อมูลจากการสำรวจพบว่า ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ยอมรับเงินจากผู้สมัคร
แต่ไม่เลือกผู้สมัครรายนั้น ถึงร้อยละ 46.79 และที่ตอบว่า
แม้ไม่ได้รับเงินก็จะเลือก มีร้อยละ 48.62
ส่วนผู้ที่ตอบว่าเลือกเพราะได้รับเงินมีเพียง 4.59
ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับผลการสัมมนากลุ่มย่อยของผู้นำชุมชนในพื้นที่ต่างๆ
ที่พบว่า ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ไม่ได้เลือกผู้สมัครเพราะเงิน
นอกจากนี้ยังพบว่า
ความตื่นตัวทางการเมืองของประชาชนที่มีเพิ่มขึ้นและความรู้สึกผิดที่รับเงิน
แล้วไม่เลือกหรืออาจเป็นบาปที่เลือกลดลงไป ทำให้ในการตัดสินใจเลือกตั้ง
ส.ส.ระดับชาติ ปัจจุบันผู้มีสิทธิเลือกตั้งเลือกพรรคมากกว่าตัวบุคคล
โดยจากผลสำรวจในการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 54 แม้ในแบบแบ่งเขต
ซึ่งเลือกเฉพาะชอบตัวบุคคลคิดเป็นร้อยละ 46.26
ขณะที่เลือกเพราะชอบนโยบายพรรค ร้อยละ 37.64
และเลือกเพราะอยากได้หัวหน้าพรรค ร้อยละ 16.10
แต่เมื่อรวมผลสำรวจระหว่างการเลือกเพราะชอบนโยบายพรรคและอยากให้หัวหน้า
พรรค เป็นนายกฯ เท่ากับว่า ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาประชาชน
เลือกพรรคมากกว่า 53.74
การนำระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนมาใช้ทำให้พรรคการเมืองต้องแข่งขันกันในทาง
นโยบายมากขึ้น ตัวผู้สมัครมีความสำคัญลดลง
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเลือกพรรคมากขึ้น
ส่งผลให้การใช้เงินซื้อเสียงได้ผลน้อยลง
นอกจากนี้ความแตกแยกแบ่งข้างทางการเมืองในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา
ยังทำให้ประชาชนพิจารณาเลือกพรรคมากกว่าตัวบุคคล
และทำให้การรับเงินแล้วไม่เลือกมีมากขึ้น
ผลวิจัยยังระบุว่า
การให้เงินปัจจุบันไม่ใช่ความสัมพันธ์ในลักษณะการซื้อและการขายเสียงอีกแล้ว
เพราะการให้จะไม่มีการตรวจสอบควบคุมให้คนรับเงินต้องเลือกตนเอง
แต่เป็นการให้ลักษณะให้เปล่าคล้ายเบี้ยเลี้ยงหรือสินน้ำใจ
โดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ได้รับเงินก็ไม่รู้สึกว่าถ้าได้รับแล้วไม่เลือกจะ
เป็นบาปหรือเป็นการไม่ซื่อสัตย์ โดยจำนวนเงินที่มีการจ่ายกันก็เพียง
300-500 บาท ไม่มากเหมือนสมัยก่อน
ซึ่งผู้สมัครที่ยังใช้เงินก็รู้ว่าได้ผลน้อย
แต่ที่ยังต้องจ่ายเพราะกลัวแพ้หรือกลัวว่าอีกฝ่ายให้เงินจึงต้องให้เงินด้วย
ที่มา: สำนักข่าวไทย