ที่มา Voice TV
ใบตองแห้ง Baitonghaeng
VoiceTV Staff
Bio
คอลัมนิสต์อิสระเห็นภาพม็อบพันธมิตรแอลเอไล่ทักษิณแล้วทั้งขบขันและสมเพช
เปล่า ผมไม่ได้พลิกข้างเสียจนนิยมชมชื่นอดีตนายกฯ หน้าเหลี่ยม ผมยืนยันเสมอว่าการที่พันธมิตรประชาชนลุกฮือขึ้นไล่ทักษิณเมื่อปี 2549 เป็นการเคลื่อนไหวที่ถูกต้อง ชอบธรรม ตามวิถีประชาธิปไตย ถ้าไม่แปลงสถาบันเป็นอาวุธ ถ้าไม่จุดความเกลียดชังอย่างไร้สติ ถ้าไม่ปลุกชาตินิยม ถ้าไม่ทำให้การเมืองเข้าสู่จุดอับเพื่อขอ ม.7 ถ้าไม่ออกบัตรเชิญรัฐประหาร ถ้าไม่แห่แหนเผด็จการแฝงโดยอำนาจตุลาการ
กระทั่งกลายเป็นพันธมิตรไม่เอาประชาธิปไตย ไม่ยอมรับอำนาจอธิปไตยของปวงชนที่ใช้ผ่านการเลือกตั้ง
ผมสนับสนุนให้ไล่ทักษิณ เพราะผมต่อต้านความเป็นอำนาจนิยม ไม่เป็นประชาธิปไตย และไม่อาจปฏิเสธว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อน ผมไม่เอารัฐบาลไทยรักไทยตั้งแต่ทุบม็อบท่อก๊าซ (แม้ผมไม่เห็นด้วยกับม็อบบรรจง นะแส แต่รัฐบาลละเมิดสิทธิมนุษยชน) ตามมาด้วยปราบยาเสพย์ติดผสมฆ่าตัดตอน และอุ้มฆ่าที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ (อย่าลืมว่าทักษิณก็ปลุกชาตินิยม)
แต่ดูเหมือนประเด็นเหล่านี้หายสูญไปหมดแล้ว แม้แต่พวกพันธมิตรเอง หรือประชาธิปัตย์ ก็จะหยิบมาเล่นการเมืองชั่วครั้งคราวเท่านั้น เช่นที่จะไปยื่นศาลอาญาระหว่างประเทศ กรณีฆ่าตัดตอน (โห เป็นรัฐบาลสองปีกว่าไม่ยอมลงสัตยาบัน ตอนนี้จะมาร้อง ICC แก้เกี้ยว แน่จริงร่วมกับเสื้อแดงเรียกร้องให้ลงสัตยาบันสิครับ จะได้ขึ้นศาลไปด้วยกันทั้งทักษิณ อภิสิทธิ์)
6 ปีผ่านไป ประเด็นทักษิณเป็นอำนาจนิยม ไม่เป็นประชาธิปไตย หายหดหมดสิ้น อธิบายได้ไม่ยาก เพราะอีกฝ่ายที่โค่นล้มทักษิณไม่เป็นประชาธิปไตยกว่า อำนาจนิยมกว่า แถมยังอ้างอำนาจศักดิ์สิทธิ์ปิดกั้นสิทธิเสรีภาพ ปราบปรามประชาชน จนมีคนตายเกือบร้อย และจับกุมคุมขังอย่างไม่เป็นธรรมอีกนับพัน
เผลอๆ มวลชนพันธมิตรอาจลืมไปแล้วว่า จุดเริ่มต้นที่พวกเขาต่อต้านทักษิณคือความไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะปลุกอุดมการณ์ราชาชาตินิยมเสียจนอัดกระป๋องสมองบวม ในหัวมีแต่ทำลายทักษิณ ไม่ว่าจะนำไปสู่ประชาธิปไตยหรือไม่ก็ตาม
ป้ายที่ชูไล่ทักษิณในแอลเอ ในซานฟราน จึงมีเพียงน้อยนิดที่ยกเรื่องฆ่าตัดตอน กรือเซะ ตากใบ ส่วนใหญ่เป็นการระบายอารมณ์ “กูเกลียดมึง” “ไอ้ทรราชซาตาน” “Go to Hell” “แม้ว นรกกำลังรอมึงอยู่” “กลับไปติดคุก” “สัตว์นรก”
นอกจากนั้นยังมีป้าย “Leave Our king Alone” ขณะที่พันธมิตรบางคนโพสต์ข้อความ (ตามที่เว็บ ASTV ลง) ด่านิติราษฎร์และสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล บางคนก็แต่งกลอนลงเฟซบุค หาว่าอเมริกาสมคบ “ล้มเจ้า” ซะอย่างนั้น
ไม่อายฝรั่งบ้างหรือครับ อุตส่าห์ไปทำมาหากินในประเทศเสรี แบบอย่างประชาธิปไตย มาประท้วงทั้งทีแทนที่จะชูประเด็นประชาธิปไตยกลับใช้คำหยาบระบายความเกลียด แสดงความไร้สติของตน
ผมไม่ได้บอกว่าคนไทยในอเมริกาต้องเป็นเสื้อแดง ไม่จำเป็นต้องไปแห่แหนทักษิณ แต่เป็นผู้รักประชาธิปไตยที่มีเหตุผล มีไหม
มันน่าประหลาดใจ ที่คนไปใช้ชีวิตในอเมริกา บางคนอยู่ตั้งแต่หนุ่มสาวจนแก่ แต่กลับไม่ซึมซับทัศนะและจิตใจประชาธิปไตยแม้แต่น้อย “มึงไทยมาก” แต่ถ้าไม่อยากเป็นประชาธิปไตยแล้วไปอยู่อเมริกาทำไมไม่รู้ ไม่รักประชาธิปไตยก็ออกมาจากแผ่นดินอเมริกาเสีย (ฮา)
แต่อย่างว่า ในแผ่นดินประชาธิปไตย เขาให้เสรีภาพทั้งคนที่รักและไม่รัก
เสรีภาพทักษิณ
ตบหน้ากฎหมายไทย
การที่ทักษิณสามารถลอยนวลไปทุกประเทศในโลก ยุโรป อังกฤษ ญี่ปุ่น อเมริกา เหลือประเทศเดียวที่มาไม่ได้ คือไทยแลนด์แดนดราม่า (คงจะได้ไปดาวอังคารเสียก่อน แบบนาซ่า) ทำให้พวกพันธมิตรแค้นแทบกระอัก
กระทั่งต้องอำพรางตัวอ้างเป็นกลุ่มประชาชนทนไม่ไหว ไปโวยวายสถานทูตอเมริกา ซึ่งอ่านข่าวแล้วก็ฮา “มึงไทยมาก” อีกแล้ว ด่าทูตอเมริกันว่าเป็นแค่แม่บ้าน อาศัยสามีสนิทกับโอบามา จึงได้เป็นทูตฟิลิปปินส์ อยู่ฟิลิปปินส์มารยาททราม จึงมาอยู่ประเทศไทย (อ้าว ไหนว่าเมืองไทยยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก แสดงว่าทูตฟิลิปปินส์สำคัญกว่าทูตไทยหรือ)
“อเมริกาไม่มีวัฒนธรรม ภาษาของตัวเองก็ไม่มี แต่ทำตัวเป็นเจ้าโลก”
“ประเทศไทยมีประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่กว่าอเมริกาหลายเท่า เรามีประวัติศาสตร์เป็นพันปี ในขณะที่อเมริกาเพิ่งตั้งประเทศเพียงร้อยปี”
ขำดีครับ ไม่ต่างกับ กษิต ภิรมย์ ด่าอเมริกาสาดเสียเทเสีย ต่อไปถ้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลจะสร้างความสัมพันธ์กับเขาอย่างไร อ้อ ไม่คิดเป็นรัฐบาลแล้วสิ
คนพวกนี้ไม่ตระหนักเลยว่า “อำมาตย์” และพวกเขาเองนั่นแหละที่ทำให้ภาพลักษณ์ทักษิณเปลี่ยนไปในสายตาชาวโลก ทักษิณสมัยเป็นนายกฯ ในสายตาสื่อมวลชนและองค์กรสิทธิมนุษยชนระดับโลก ก็ไม่ต่างกับซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี อำนาจนิยม เป็นเศรษฐี มีผลประโยชน์ทับซ้อน แม้หลังรัฐประหาร ภาพลักษณ์ของทักษิณก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับนัก แต่พอพรรคพลังประชาชนชนะเลือกตั้ง ก็ถูกม็อบยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน ตุลาการภิวัตน์ยุบพรรค มือที่มองเห็นจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร พอมวลชนเสื้อแดงประท้วงในปี 2552,2553 ก็ถูกปราบ ถูกฆ่า
สื่อระดับโลก องค์กรสิทธิมนุษยชนสากล ตลอดจนรัฐบาลประชาธิปไตยในประเทศต่างๆ ก็เริ่ม “ตาสว่าง” มองสองด้านมากขึ้น มองเห็นว่าขั้วอำนาจเก่าและพลังมวลชนที่เป็นศัตรูกับทักษิณ แท้จริงคือพลังที่ต่อต้านประชาธิปไตย หลังพฤษภา 53 สื่อตะวันตกรายงานวิกฤตการเมืองไทยในทัศนะใหม่ องค์กรสิทธิมนุษยชนสากลสั่งปลดตัวแทนในไทย รัฐบาลหลายประเทศโยนรายงานด้านเดียวของเจ้าหน้าที่สถานทูต สถานกงสุลทิ้ง เพราะพวกนี้ส่วนหนึ่งเป็นคนไทย ส่วนหนึ่งก็อยู่เมืองไทยนานจนกลายเป็นสลิ่ม
การที่ทักษิณไปเยือนได้ทุกประเทศในโลก จึงไม่ใช่แค่เรื่องผลประโยชน์ แค่เพราะน้องสาวเป็นนายกฯ แต่เพราะประเทศต่างๆ เขาแสดงออกแล้วว่า “เลือกข้างประชาธิปไตย”
พันธมิตรและแมลงสาบพยายามปลุกคำพิพากษาคดีที่ดินรัชดามาอ้างกับชาวโลกว่า ทักษิณหนีคดีคอรัปชั่น แต่ยิ่งพูดก็ยิ่งฉีกหน้าระบบกฎหมายไทย “ไม่ทุจริตแต่ติดคุก 2 ปี” รู้ถึงไหนอายเขาถึงนั่น มันเป็นไปได้อย่างไร แน่นอน ประเทศประชาธิปไตยอารยะจะมองว่าพฤติกรรมของทักษิณกับภริยา ที่ไปซื้อที่ดินของรัฐเสียเอง เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมสำหรับผู้ดำรงตำแหน่ง เป็นสีเทา แต่การเอาผิดถึงขั้นติดคุกทั้งที่ศาลบอกเองว่าไม่ทุจริต ไม่มีอยู่ในกฎหมายฉบับใดในโลก นอกจากกฎหมายไทย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเอาผิดทักษิณใช้กระบวนการรัฐประหาร ออกคำสั่งตั้ง คตส. เข้าข่ายความผิดทางการเมือง ซึ่งขัดต่อสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน
ใจผมอยากให้ทักษิณพิสูจน์ตัวเองด้วยซ้ำ ขอวีซ่าเข้าอเมริกา แล้วให้รัฐบาลไทยขอตัว ดูซิว่าศาลอเมริกาจะตัดสินอย่างไร ยอมอยู่ในอเมริกาสัก 5-6 เดือน แล้วจะเดินทางไปทุกประเทศในโลกอย่างสบาย เพราะสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระบุชัดเจนว่า
“ความผิดที่จะถึงขนาดที่จะนำมาซึ่งการส่งตัวข้ามแดนนั้น ต้องเป็นความผิดทางอาญาที่มีโทษทางตามกฎหมายให้ลงโทษประหารชีวิต จำคุก หรือทำให้ปราศจากเสรีภาพเป็นระยะเวลาเกินกว่า 1 ปี ตามกฎหมายทั้งในประเทศผู้ร้องขอให้ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนและประเทศผู้รับคำ ร้องขอ และความผิดนั้นจะต้องไม่ขาดอายุความตามกฎหมายของประเทศที่ร้องขอ ประการสำคัญคือความผิดนั้นต้องไม่ใช่ความผิดทางการเมือง หรือความผิดที่เกี่ยวกับศาสนา”
เห็นไหมครับ ความผิดนั้นต้องเป็นความผิดตามกฎหมายทั้งสองประเทศ อเมริกาและทุกประเทศในโลกไม่มีความผิดฐานเซ็นชื่อให้เมียซื้อที่ดินแน่นอน
ความรับผิดฆ่าตัดตอน
ในบรรดามวลชนพันธมิตรที่มาชูป้ายในอเมริกา มีรายหนึ่งเขียนว่า บินลาดินฆ่าคนบริสุทธิ์ 2,750 คน ทักษิณฆ่าคนบริสุทธิ์ 3,200 คน สำนักข่าวอิหร่านที่ ASTV เอามาอ้าง ก็พูดทำนองเดียวกัน
เว่อร์นะครับ ไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลข ตัวเลขที่สรุปโดยคณะกรรมการอิสระตรวจสอบ ศึกษา และวิเคราะห์การกำหนดนโยบายปราบปรามยาเสพติดให้โทษ และการนำนโยบายไปปฏิบัติจนเกิดความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย ชื่อเสียง และทรัพย์สินของประชาชน หรือ คตน.ที่มี อ.คณิต ณ นคร เป็นประธาน คือ 2,873 คน
แต่เรื่องที่เว่อร์มากคือ คนที่ถูกฆ่าตัดตอน 2,500 ศพ จริงๆ ก็ไม่สามารถเรียกว่า “ผู้บริสุทธิ์” แม้ในทางกฎหมายเราจะถือว่าผู้ที่ศาลยังไม่ตัดสิน ถือเป็นผู้บริสุทธิ์ไว้ก่อน แต่ส่วนข้างมากในจำนวนนี้ก็คือผู้ค้ายาเสพย์ติดรายย่อย หรือรายกลาง แม้มีหลายรายเป็นผู้บริสุทธิ์จริงๆ เช่น คดีที่ตำรวจเอาผู้ต้องหาลักรถจักรยานยนต์วัย 17 ไปฆ่าแขวนคอ ตามที่ศาลพิพากษาไปแล้ว หรือบางราย สองสามีภรรยาถูกลอตเตอรี่แล้วปกปิดไม่ให้ใครรู้ ถูกมองว่ารวยโดยไม่มีที่มาที่ไป ก็ถูกฆ่าตายโดยอ้างว่า “ฆ่าตัดตอน” แล้วเจ้าหน้าที่เข้าไปยึดทรัพย์ เหล่านี้มีอยู่จริงแต่ก็มีไม่มาก ส่วนใหญ่เมื่อถูก “ฆ่าตัดตอน” แล้ว ผู้คนรอบข้าง ผู้อยู่ในชุมชน ต่างก็ยอมรับว่ามีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพย์ติดจริง
ที่พูดเช่นนี้ไม่ใช่เห็นด้วย หรือสนับสนุน เพราะการฆ่าตัดตอนปราบยาเสพย์ติดผิดเต็มประตู ผิดหลักความยุติธรรม ล่วงล้ำกระบวนการใช้ “ศาลเตี้ย” ผู้ถูกฆ่าตายส่วนใหญ่แม้เกี่ยวพันยาเสพย์ติดแต่พวกเขาก็มีสิทธิต่อสู้คดี กฎหมายยังให้โอกาสพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง หรือไม่เช่นนั้น ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีความผิดถึงขั้นประหารชีวิต
ก็เหมือนกรณีโจ ด่านช้าง ที่ยอมมอบตัวกับตำรวจแล้วยังพากลับไปค้นอาวุธ พอลับตากล้องทีวีก็มีเสียงปืนสนั่นหวั่นไหว อ้างว่าโจ ด่านช้าง รวมกับลูกน้อง 6 ศพ พยายามต่อสู้ขัดขืน ตอนนั้นคนกรุงคนชั้นกลางจำนวนมากก็เชียร์ตำรวจนะครับ อ้างว่าโจ ด่านช้าง เป็นผู้ร้ายค้ายา ยังไงศาลก็คงตัดสินประหารอยู่ดี แต่ลืมคิดไปว่าอีก 5 คนที่เหลือไม่ได้มีประวัติยาวเป็นหางว่าวเหมือนลูกพี่
นั่นพูดถึงคนที่ยังไม่มีความผิดถึงขั้นประหาร แต่ถ้าเป็นคนบริสุทธิ์ด้วยแล้ว กระบวนการยุติธรรมยึดหลักว่าปล่อยคนผิด 10 คนดีกว่าลงโทษผู้บริสุทธิ์คนเดียว คือถ้าสงสัยก็ยกประโยชน์ให้จำเลยไว้ก่อน แต่นี่ฆ่าคนบริสุทธิ์เลยนะครับ แม้จะฆ่าผิดคนแค่ 1% หรือ 1 คน ก็ถือว่าเลวร้ายแล้ว
ถามว่าทักษิณรู้เห็นการฆ่าตัดตอนไหม ตอน “ประกาศสงครามขั้นแตกหักเพื่อเอาชนะยาเสพย์ติด” ทักษิณเล็งเห็นผลไหม ว่าจะทำให้ผู้ค้ายารายเล็กรายน้อยตายเป็นเบือแถมพ่วงผู้บริสุทธิ์ ก็ยังสรุปได้ยาก ทักษิณอาจไม่ได้คาดคิดว่าตำรวจจะ “มันมือ” ถึงขั้นมีคนตาย 2,873 ศพในเวลาเพียง 3 เดือน
แต่ที่ชัดเจนคือ หลังจากเกิดการฆ่าตัดตอนไปแล้ว ทั้งทักษิณและปุระชัย รมว.มหาดไทยในตอนนั้น ก็แสดงท่าทีปกป้อง “ให้ท้าย” ตำรวจ โดยท้องที่ไหนมี “ฆ่าตัดตอน” นายตำรวจล้วนได้ความดีความชอบ
อ.คณิตในฐานะประธาน คตน.ทำหนังสือชี้แจงถึงเฉลิม อยู่บำรุง แย้งคำอ้างที่ว่า อ.คณิตยืนยันว่าไม่มีฆ่าตัดตอน มีผลสรุปและข้อเสนอ 4 ประเด็นคือ
1.ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน 2546 พ.ต.ท.ทักษิณใช้นโยบายแข็งกร้าว เป็นที่ทราบกันว่าเป็น "การประกาศสงครามขั้นแตกหักเพื่อเอาชนะยาเสพติด" กระบวนการมอบนโยบายของผู้บริหารประเทศเป็นไปในทิศทางที่สร้างความเข้าใจผิด ให้กับผู้ปฏิบัติหน้าที่ว่า ตนมีอำนาจที่ที่จะจัดการทุกรูปแบบเพื่อให้ปัญหายาเสพติดหมดไป และหากผู้ปฏิบัติไม่สามารถดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบายได้ ย่อมต้องได้รับผลกระทบต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ
2.เมื่อผู้ปฏิบัติตามนโยบายมีความจำเป็นต้องดำเนินการ ไม่ว่าเพราะการถูกจูงใจหรือถูกบีบบังคับ เป็นผลให้วิธีการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติเกิดความผิดพลาดด้วย จึงเห็นได้ว่าการดำเนินนโยบายการปราบปรามยาเสพติดก่อให้เกิดผลหลายประการ และที่เห็นชัดที่สุดคือการสูญเสียชีวิตของประชาชนเป็นจำนวนมากในช่วงระยะ เวลาแค่ 3 เดือน
3.ผลผิดพลาดดังกล่าวทำให้ประเทศไทยต้องตกเป็นที่วิพากษ์ของประชาคมโลก เป็นเหตุให้รัฐบาลไทยถูกเรียกร้องให้มีการไต่สวนหาผู้รับผิดชอบต่อผลที่เกิด ขึ้น
4.คตน.เห็นว่าอาจมีการกระทำความผิดอาญาเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีความรับผิดตามประมวลกฎหมายอาญา หรือความรับผิดตามกฎหมายอาญาระหว่างประเทศ ว่าด้วยอาชญากรรมต่อมนุษยชาติเกิดขึ้น ในการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ แต่การจะหาผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจะต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จ จริงเพิ่มเติมต่อไปอีก
ข้อสรุปนี้ค่อนข้างรัดกุม แม้ข้อเท็จจริงยังไม่กระจ่างชัด แต่ก็ชี้ว่ารัฐบาลมีส่วนร่วมรับผิดชอบ รัฐบาลอาจไม่ได้สั่งโดยตรง ไม่ได้สั่งโต้งๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าตำรวจทำเกินกว่าเหตุโดยพลการ ตำรวจถูกจูงใจหรือบีบคั้น ถ้าไม่มี “ผลงาน” ก็จะโดนเด้ง ถ้าผู้ค้าไม่กลัวเกรง ยังซื้อง่ายขายคล่อง อย่ากระนั้นเลย “ตัดตอน” มันเสีย สงบราบคาบแล้วยังได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งกันอีกต่างหาก
ในข้อ 4 อ.คณิตยังเสนอให้ใช้กฎหมายอาญาระหว่างประเทศว่าด้วยอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ซึ่งน่าสนใจมาก เพียงไม่ทราบว่าทำไม กษิต ภิรมย์ และพรรคประชาธิปัตย์มาทำตอนนี้ ตอนเป็นรัฐบาลไม่ให้สัตยาบัน
ไหนๆ ก็ไหนๆ ทั้งเสื้อเหลือง เสื้อแดง แมลงสาบ มาร่วมมือกันไหมละครับ เข้าชื่อให้รัฐบาลลงสัตยาบัน ICC จะได้เอาทักษิณขึ้นศาลคดีฆ่าตัดตอน กรือเซะ ตากใบ และนับแต่นี้บ้านเมืองเราจะได้อยู่ใต้หลักนิติรัฐตามมาตรฐานสากลเสียที ฮิฮิ
ความรับผิด ศอฉ.
พวกพันธมิตรที่ไปโวยวายหน้าสถานทูตสหรัฐ ว่าทักษิณละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้น ลืมไปว่ารัฐประหาร กองทัพ และรัฐบาลประชาธิปัตย์ ละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงกว่าหลายเท่า
ไม่ต้องพูดถึงปัญหาภาคใต้ที่ว่ายุคทักษิณตำรวจอุ้มฆ่า ไปถามคนใต้ดูว่า หมดยุคทักษิณแล้วยังมีฆ่ามั่ว จับดะ อยู่ไหม
ไม่ต้องพูดถึงรัฐประหาร ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นสูงสุด ยึดอำนาจอธิปไตยของปวงชนและยึดสิทธิเสรีภาพทางการเมืองไปจนหมด
เอาแค่การสลายการชุมนุมเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2553 ที่มีคนตาย 98 ศพก็พอ
ผบ.ทบ.กับไก่อูออกมาเต้น อ้างว่าไม่มี “สไนเปอร์” มีแต่ปืนติดกล้อง กล้องหาซื้อได้ตามตลาดนัด (ช่วยบอกหน่อยมีขายตลาดไหน) ทหารที่เห็นเล็งปืนติดกล้องท่านเรียกว่า “พลแม่นปืนระวังป้องกัน”
อ้าว ก็มีปืนไว้ “สอย” ระยะไกล ก็ถูกต้องตามความเข้าใจของชาวบ้านแล้วครับ จะเรียกสไนเปอร์หรือเรียกอะไรก็ตามแต่ มวลชนเขาเข้าใจว่านี่แหละ ที่เอาไว้เด็ดหัวผู้ชุมนุม
ผบ.ทบ.อ้างว่าถามลูกน้องแล้วไม่ได้ยิงคน โห ผมเชื่อท่านสนิทใจ ลูกน้องคงไม่ไปรายงานท่านหรอกว่า จัดการเสื้อแดงไปแล้ว 3 ศพที่ดินแดง 5 ศพที่มักกะสัน ฯลฯ ผมเชื่อด้วยว่าผู้นำรัฐบาล ไม่ว่าอภิสิทธิ์ เทพเทือก หรือผู้นำกองทัพ สั่งทหารว่า เห็นเสื้อแดงที่ไหนฆ่าให้เรียบ
ไม่มีใครเขาสั่งกันอย่างนั้นหรอกครับ ไม่ว่าถนอม ประภาส หรือ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ก็ไม่ได้สั่ง
แต่การที่คุณส่งทหารอาวุธครบมือ พร้อมพลแม่นปืน ปักป้าย “เขตใช้กระสุนจริง” ในการ “กระชับพื้นที่” นั้น ถามว่าพวกท่านเล็งเห็นผลหรือไม่ ตั้งแต่ออกคำสั่ง ว่าจะทำให้มีคนตาย ตายเป็นเบือด้วย ผมมองว่าใครที่ออกคำสั่งอย่างนี้ รู้อยู่แก่ใจว่าจะต้องมีคนตาย ตายเยอะ
ถ้ามองอย่างเป็นขั้นตอน อันดับแรก ต้องถามว่ามีความจำเป็นเพียงไรที่ต้องใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุม ประเด็นนี้พวกคนกรุงคนชั้นกลาง “เอาเวิลด์เทรดของกูคืนมา” อาจจะเห็นว่าจำเป็น แต่ถ้ามองสถานการณ์ทางการเมืองขณะนั้น ขอบอกว่าไม่จำเป็นเลย เพราะหลังจากแกนนำ นปช.ยึกยัก เจรจากันแล้วไม่ยอมรับผลการเจรจา บอกจะเลิกม็อบแล้วไม่ยอมเลิก แถมยังงี่เง่าบุก ร.พ.จุฬาฯ กล่าวได้ว่าม็อบ “พ่ายแพ้ทางการเมือง” และถูกกดดัน แม้แต่ผู้ที่เคยสนับสนุน อย่าง อ.สมศักดิ์ อย่างผม ก็ยังด่าเช็ด บอกให้ถอยได้แล้ว
สภาวะเช่นนั้น ม็อบกำลังจะพ่ายแพ้ อย่างเก่งก็อยู่ได้อีก 6-7 วัน แต่อย่างที่รู้กัน ศอฉ.ตัดสินใจใช้กำลังกระชับพื้นที่ การเมืองจึงพลิก
อันดับถัดมา ศอฉ.ออกคำสั่งกับกำลังพลอย่างไร แน่นอน ไม่มีใครออกคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรว่าเห็นม็อบถือก้อนอิฐ ท่อนไม้รี่เข้ามา ให้ยิงหัวแม่-เลย แต่ต้องดูว่าคำสั่งนั้น เปิดช่องให้กำลังพลใช้อาวุธปืนและกระสุนจริงได้อย่างไร ในสถานการณ์ไหนบ้าง คำสั่งนั้น “เล็งเห็นผล” หรือไม่ว่าในภาวะที่ตึงเครียด สับสน โกรธแค้น มีอารมณ์ หรือเอาตัวรอด กำลังพลอาจใช้อาวุธและกระสุนโดยขาดความรับผิดชอบก็ได้
ทหารชั้นประทวนกับไอ้เณรนะครับ ไม่ใช่พระ
เราก็เห็นกันแล้วจากคลิป “สไนเปอร์” ที่จะถูกเรียกมาสอบสวน ว่าผู้ชี้เป้าชี้ให้ยิงเสื้อแดงที่ขว้างระเบิดขวด (ซึ่งก็ขว้างมาหลายครั้งแสดงว่าไม่สามารถทำอันตรายใคร) เมื่อล้มแล้ว ผู้ชี้เป้าบอกให้หยุด แต่พลยิงก็ยังซ้ำ นี่คงไม่ใช่ทหารรายเดียวที่ใช้อาวุธกระสุนจริงเกินกว่าเหตุ
แล้วผู้บังคับบัญชารู้หรือไม่ ว่าจะเกิดเหตุอย่างนี้ขึ้น
คำสั่ง ศอฉ.ที่ประชาไทเอามาลง และไก่อูรับว่าจริง มีข้อสังเกตว่าคำสั่งเดิม (ที่อยู่ในข้อ 1 ตอนท้าย) ลงวันที่ 8 เมษายน 2553 นั้นเข้มงวดรัดกุม เช่น
“1.2 การใช้อาวุธในการป้องกันตนเอง และรักษาความปลอดภัยฯ ต้องการเป็นป้องกันอันตรายที่ใกล้จะมาถึง และเป็นอันตรายต่อชีวิตของเจ้าหน้าที่ รวมทั้งบุคคลอื่นหรือทรัพย์สินทางราชการ และเอกชนที่อยู่ในความคุ้มครองของเจ้าหน้าที่ ยกตัวอย่างเช่น ผู้ก่อเหตุกำลังระเบิดใส่ กำลังเล็งปืนใส่ กำลังถือมีดเข้าทำร้ายร่างกาย เป็นต้น
1.3 การป้องกันตนเองและรักษาความปลอดภัยฯ ต้องเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตนเองหรือผู้อื่น และสมควรแก่เหตุ รวมทั้งการใช้อาวุธนั้น ต้องใช้เท่าที่จำเป็น จากเบาไปหาหนัก และมีแจ้งเตือนการปฏิบัติกับผู้ก่อเหตุก่อนเสมอ
1.4 การใช้อาวุธจะไม่อนุญาตให้ใช้ในสถานการณ์ที่ไม่กระจ่างชัด หรือการใช้อาวุธที่ปราศจากความแม่นยำ ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายต่อผู้ไม่เกี่ยวข้องได้ เช่น การยิงกราด การยิงสุ่ม และการยิงที่ไม่เล็ง รวมทั้งไม่อนุญาตให้ใช้การยิงอัตโนมัติ โดยหากจะใช้อาวุธต้องทำการยิงทีละนัดเท่านั้น และห้ามใช้อาวุธเล็งศีรษะหรือส่วนสำคัญของร่างกายโดยเด็ดขาด”
แต่คำสั่งใหม่เปิดช่องให้ใช้อาวุธกระสุนจริงได้ง่ายขึ้น เช่น
“2.2 แนวทางปฏิบัติเฉพาะเหตุการณ์ ในกรณีผู้ชุมนุมพยายามที่จะบุกรุกเข้ามาในที่ตั้งหน่วยและสถานที่สำคัญที่ ศอฉ. กำหนด: ได้เพิ่มเติมรายละเอียดการปฏิบัติโดยให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้โล่และไม้พลอง ยาว เพื่อต้านทานการบุกรุก และเมื่อมีแนวโน้มจะต้านทานไม่อยู่ให้ใช้การฉีดน้ำ และ/หรือคลื่นเสียงได้ แต่ถ้าผู้ชุมนุมยังสามารถปีนรั้ว/เครื่องกีดขวาง/ฝ่าแนวห้ามผ่านเด็ดขาดเข้า มาได้ หากมีผู้บุกรุกมีจำนวนน้อยและไม่มีอาวุธ ให้เข้าทำการจับกุม หากมีจำนวนมาก ให้ใช้แก๊สน้ำตา, กระบอง, กระสุนยาง และยิงเตือนตามลำดับและเมื่อปฏิบัติตามขั้นตอนแล้ว ผู้ชุมนุมยังคงบุกรุกเข้ามาจนอาจก่อให้เกิดอันตราย ให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้อาวุธตามสมควรแก่เหตุ โดยการใช้กระสุนจริงจาก ปลซ. และ ปลย. ตามลำดับทั้งนี้ หากผู้บุกรุกมีอาวุธเช่น มีด, ปืน, วัตถุระเบิด ฯลฯ และฝ่าแนวห้ามผ่านเด็ดขาดเข้ามาได้ เจ้าหน้าที่สามารถข้ามขั้นตอนการใช้แก๊สน้ำตา, กระบอง หรือกระสุนยาง ไปสู่การใช้กระสุนจริงได้ โดยในการใช้อาวุธกระสุนจริง ทั้งสองกรณี ผู้มีอำนาจตกลงใจสั่งการ คือ ผบ.หน่วยที่รับผิดชอบสถานที่นั้น หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย”
ข้อความที่ผมเน้นจะเห็นได้ว่าแม้ผู้ชุมนุมไม่มีอาวุธ แต่คำสั่งก็ยังอนุญาตให้ใช้กระสุนจริงได้ ถ้าแก๊สน้ำตา กระบอง กระสุนยาง และการยิงเตือน เอาไม่อยู่
ให้สังเกตว่าคำสั่งแรกออกมาวันที่ 8 เมษายน ก่อนม็อบเสื้อแดงบุกสถานีไทยคมในวันที่ 9 อาศัยมวลชนจำนวนมากใช้มือเปล่าปลดอาวุธทหาร จากนั้นก็ตามมาด้วยการขอคืนพื้นที่ วันที่ 10 ซึ่งมวลชนก็ยังแย่งยึดอาวุธได้เช่นกัน ศอฉ.จึงออกคำสั่งลงวันที่ 17 เมษายนให้ “ใช้กระสุนจริง” เป็นขั้นตอนสุดท้าย โดยเริ่มจากปืนลูกซองไปหาปืนเล็กยาว
นี่คือตัวอย่างของ “คำสั่งปลายเปิด” เปิดช่องให้ทหารใช้อาวุธกระสุนจริงโดยง่าย โดยยังเป็นที่น่าสงสัยว่านี่เป็นเพียงคำสั่งวันที่ 17 เมษายน ก่อน “กระชับพื้นที่” วันที่ 19 พฤษภาคม ศอฉ.ยังทยอยออกคำสั่ง “ปลายเปิด” อันเล็งเห็นผลว่าทำให้คนตายอีกหรือไม่
มองในทางปฏิบัติคือ กองทัพได้รับคำสั่งให้เข้าสลายการชุมนุม แต่อ้างว่ากลัว “ชายชุดดำ” จึงขอใช้กระสุนจริง แถมมี “พลแม่นปืนระวังป้องกัน” ที่ได้รับคำสั่งว่าถ้าเห็น “ชายชุดดำ” อยู่ในม็อบให้ยิงได้ทันที แต่ในสถานการณ์ตึงเครียด สับสน อลหม่าน บ้างก็กลัว บ้างก็โกรธ บ้างก็เหนื่อยล้า บ้างก็เจ็บแค้น คุณรับประกันได้อย่างไรว่า เห็นแค่มวลชนใส่เสื้อดำหรือเสื้อทึบ หรือเสื้อแดงก็เหอะ แต่มีแค่บั้งไฟ ระเบิดขวด ก้อนอิฐ ท่อนไม้ แล้วทหารจะไม่ยิง
นี่พูดอย่างมองโลกแง่ดีที่สุดแล้ว คือไม่เชื่อว่าจะมีใครไปสั่งทหารจงใจยิงมวลชนเสื้อแดง แต่ผู้ออกคำสั่งนั้นสั่งไปแล้ว เล็งเห็นผลที่จะเกิดตามมาหรือไม่ อย่าปฏิเสธความรับผิดชอบ โทษทหารชั้นประทวน หรือไอ้เณร ทำเกินกว่าเหตุ
ย้อนไปที่ อ.คณิตในฐานะประธาน คตน.สรุปเรื่องทักษิณกับฆ่าตัดตอน ก็หวังว่า อ.คณิตในฐานะประธาน คอป.จะเปรียบเทียบว่า ระหว่างการ “ประกาศสงครามยาเสพย์ติด” กับคำสั่ง “กระชับพื้นที่” นั้นใครเล็งเห็นผลที่จะเกิดขึ้นได้มากกว่ากัน ใครรู้อยู่แก่ใจกว่ากัน ใครปกป้อง ให้ท้าย ปูนบำเหน็จเจ้าหน้าที่ จนได้ตำแหน่งที่นั่งลอยหน้าอยู่เดี๋ยวนี้
ผมว่าสาธารณชนเห็นชัด ว่าใครต้องรับผิดชอบชัดเจนกว่า รู้ตั้งแต่แรกที่จะออกคำสั่งแล้วละ ว่าต้องมีคนตายเพียบ
นี่ยังไม่นับคำสั่ง “ขอคืนพื้นที่” ซึ่งเห็นชัดว่าสั่งด้วย “อารมณ์เด็ก” รู้สึกเสียหน้าที่มวลชนยึดสถานีไทยคม เลยต้อง “เอาคืน” และยังไม่นับการปฏิบัติต่อมวลชนเสื้อแดงที่ถูกจับกุมหลังเหตุการณ์ ซึ่งถูกละเมิดสิทธิอย่างอำมหิต ถูกปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรม ถูกยัดข้อหา ไม่ได้รับความยุติธรรมในกระบวนพิจารณา ขนาดถูกยิงบาดเจ็บยังถูกล่ามโซ๋ฐานฝ่าฝืน พรก.ฉุกเฉินมีโทษจำคุก 6 เดือน
หวังว่า คอป.จะรีบสรุปรายงานฉบับสุดท้ายออกมาเสียทีนะครับ อย่าให้เสียรังวัด
ใบตองแห้ง
20 ส.ค.55
.........................................
20 สิงหาคม 2555 เวลา 16:08 น.