ที่มา Thai E-News
ภาพ เดลินิวส์ |
ที่มา เดลินิวส์ "จับผู้ต้องหาส่งสาวไทยค้ากามบาห์เรน"
วันนี้ ( 23 ส.ค.) ที่
กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.)
พล.ต.ต.ชวลิต แสวงพืชน์ ผบก.ปคม. พ.ต.อ.ประคัลภ์ แสงส่องฟ้า พ.ต.อ.ประเสริฐ
พัฒนาดี รอง ผบก.ปคม. พ.ต.อ.ชิตภพ โตเหมือน ผกก.1 บก.ปคม.พร้อมด้วย
นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี แถลงข่าวจับกุม
นางอินทิรา หรือปุ๋ย สินศักดิ์โค อายุ 45 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ที่
1435/2555 ลงวันที่ 21 สิงหาคม 2555 ข้อหาร่วมกันตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป
กระทำผิดฐานค้ามนุษย์ เป็นธุระจัดหา
ล่อไปหรือชักพาไปซึ่งบุคคลเพื่อการค้าประเวณี จับกุมได้ที่บ้านเลขที่ 1/21
หมู่ 1 ต.บางกระสอ อ.เมือง จ.นนทบุรี
พล.ต.ต.ชวลิต กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้เนื่องจากได้รับการประสานจากมูลนิธิปวีณาฯ ว่า มีมารดาของ น.ส.ส้ม (นามสมมติ) อายุ 26 ปี ผู้เสียหายที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง และอยู่ระหว่างหางานทำ เข้าร้องเรียนว่าถูกผู้ต้องหา หลอกลวงไปค้าประเวณีที่ประเทศบาห์เรน เหตุเกิดตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม- 6 มิถุนายนที่ผ่านมา ต่อเนื่องกัน จึงมอบหมายให้ชุดสืบสวน กก.1 บก.ปคม.ประสานไปยังตำรวจประเทศบาห์เรน เพื่อเข้าช่วยเหลือผู้เสียหายกลับประเทศไทย
พล.ต.ต.ชวลิต กล่าวต่อว่า หลังจากผู้เสียหายเดินทางกลับมาแล้วได้สอบปากคำจนทราบว่า ได้รับการชักชวนผ่านเพื่อนสาวที่รู้จักกัน อ้างว่ามีงานด้านการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการท่องเที่ยวที่ประเทศบาห์เรน โดยจะทำงานเป็นครั้งคราว ในช่วงเวลา 20 วัน ได้รับค่าตอบแทนเป็นเงิน 50,,000 บาท จึงหลงเชื่อ จากนั้นได้ติดต่อกับผู้ต้องหาและตกลงเดินทางไปพักที่รีสอร์ทบ้านสวน จ.นนทบุรี 2 วัน ก่อนจะเดินทางไปประเทศบาห์เรน แต่เมื่อไปถึงแล้วกลับถูกยึดหนังสือเดินทาง และถูกบังคับให้ค้าประเวณี โดยผู้ต้องหาอ้างว่าเป็นหนี้อยู่ 80,000 บาท ระหว่างนั้นจึงพยายามแอบใช้โทรศัพท์ติดต่อมารดา เพื่อขอให้หาทางช่วยเหลือ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการสอบปากคำผู้เสียหายพบว่า ยังมีผู้ต้องสงสัยที่ร่วมขบวนการค้ามนุษย์รายนี้อีก 2 ราย เป็นสองสามีภรรยา โดยฝ่ายชายเป็นชาวบาห์เรน กับผู้หญิงไทย ซึ่งอาศัยอยู่ที่ประเทศบาห์เรน ทั้งนี้ พนักงานสอบสวน บก.ปคม.อยู่ระหว่างเร่งรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ ต้องหาเพิ่มเติมต่อไป
สอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ โดยอ้างว่า รู้จักกับเพื่อนของผู้เสียหายที่แนะนำมาจึงเป็นผู้เปิดห้องที่รีสอร์ทดัง กล่าวและช่วยเหลือเกี่ยวกับการพาเดินทางไปประเทศบาห์เรน แต่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบังคับผู้เสียหายไปค้าประเวณีแต่อย่างใด
ขณะที่ นางปวีณา กล่าวว่า การค้าประเวณีที่ประเทศบาห์เรน นั้น ผู้กระทำความผิดเป็นรูปของขบวนการข้ามชาติ ซึ่งมีเครือข่ายอยู่ทั้งในประเทศไทย และประเทศบาห์เรน โดยเครือข่ายที่อยู่ในประเทศบาห์เรน เป็นกลุ่มคนที่เคยถูกบังคับให้ไปค้าประเวณีมาก่อน จากนั้นจึงผันตัวมาเป็นธุระจัดหาหญิงสาวชาวไทย เพื่อไปค้าประเวณี ซึ่งตนอยากฝากไปถึงหญิงไทยที่ต้องการเดินทางไปทำงาน หรือเรียกว่าไปขุดทองที่ประเทศดังกล่าว อย่าไปหลงเชื่อบุคคลใดว่าสามารถพาไปทำงานที่มีรายได้ดี เพราะนอกจากจะเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางสูงแล้ว ยังถูกยึดหนังสือเดินทางแล้วบังคับค้าประเวณี ด้วยการอ้างว่าติดหนี้หลายแสนบาท
พล.ต.ต.ชวลิต กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้เนื่องจากได้รับการประสานจากมูลนิธิปวีณาฯ ว่า มีมารดาของ น.ส.ส้ม (นามสมมติ) อายุ 26 ปี ผู้เสียหายที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง และอยู่ระหว่างหางานทำ เข้าร้องเรียนว่าถูกผู้ต้องหา หลอกลวงไปค้าประเวณีที่ประเทศบาห์เรน เหตุเกิดตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม- 6 มิถุนายนที่ผ่านมา ต่อเนื่องกัน จึงมอบหมายให้ชุดสืบสวน กก.1 บก.ปคม.ประสานไปยังตำรวจประเทศบาห์เรน เพื่อเข้าช่วยเหลือผู้เสียหายกลับประเทศไทย
พล.ต.ต.ชวลิต กล่าวต่อว่า หลังจากผู้เสียหายเดินทางกลับมาแล้วได้สอบปากคำจนทราบว่า ได้รับการชักชวนผ่านเพื่อนสาวที่รู้จักกัน อ้างว่ามีงานด้านการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการท่องเที่ยวที่ประเทศบาห์เรน โดยจะทำงานเป็นครั้งคราว ในช่วงเวลา 20 วัน ได้รับค่าตอบแทนเป็นเงิน 50,,000 บาท จึงหลงเชื่อ จากนั้นได้ติดต่อกับผู้ต้องหาและตกลงเดินทางไปพักที่รีสอร์ทบ้านสวน จ.นนทบุรี 2 วัน ก่อนจะเดินทางไปประเทศบาห์เรน แต่เมื่อไปถึงแล้วกลับถูกยึดหนังสือเดินทาง และถูกบังคับให้ค้าประเวณี โดยผู้ต้องหาอ้างว่าเป็นหนี้อยู่ 80,000 บาท ระหว่างนั้นจึงพยายามแอบใช้โทรศัพท์ติดต่อมารดา เพื่อขอให้หาทางช่วยเหลือ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการสอบปากคำผู้เสียหายพบว่า ยังมีผู้ต้องสงสัยที่ร่วมขบวนการค้ามนุษย์รายนี้อีก 2 ราย เป็นสองสามีภรรยา โดยฝ่ายชายเป็นชาวบาห์เรน กับผู้หญิงไทย ซึ่งอาศัยอยู่ที่ประเทศบาห์เรน ทั้งนี้ พนักงานสอบสวน บก.ปคม.อยู่ระหว่างเร่งรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ ต้องหาเพิ่มเติมต่อไป
สอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ โดยอ้างว่า รู้จักกับเพื่อนของผู้เสียหายที่แนะนำมาจึงเป็นผู้เปิดห้องที่รีสอร์ทดัง กล่าวและช่วยเหลือเกี่ยวกับการพาเดินทางไปประเทศบาห์เรน แต่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบังคับผู้เสียหายไปค้าประเวณีแต่อย่างใด
ขณะที่ นางปวีณา กล่าวว่า การค้าประเวณีที่ประเทศบาห์เรน นั้น ผู้กระทำความผิดเป็นรูปของขบวนการข้ามชาติ ซึ่งมีเครือข่ายอยู่ทั้งในประเทศไทย และประเทศบาห์เรน โดยเครือข่ายที่อยู่ในประเทศบาห์เรน เป็นกลุ่มคนที่เคยถูกบังคับให้ไปค้าประเวณีมาก่อน จากนั้นจึงผันตัวมาเป็นธุระจัดหาหญิงสาวชาวไทย เพื่อไปค้าประเวณี ซึ่งตนอยากฝากไปถึงหญิงไทยที่ต้องการเดินทางไปทำงาน หรือเรียกว่าไปขุดทองที่ประเทศดังกล่าว อย่าไปหลงเชื่อบุคคลใดว่าสามารถพาไปทำงานที่มีรายได้ดี เพราะนอกจากจะเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางสูงแล้ว ยังถูกยึดหนังสือเดินทางแล้วบังคับค้าประเวณี ด้วยการอ้างว่าติดหนี้หลายแสนบาท
นางปวีณา กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้ทางตำรวจบาห์เรน
เคยเข้าไปช่วยเหลือหญิงไทยในประเทศบาห์เรน กว่า 200 คน ที่ถูกจำคุก
ซึ่งเท่าที่ได้สอบถามเหยื่อเหล่านี้แล้วจึงทราบว่าส่วนใหญ่เป็นสาวฉันทนาที่
มีหนี่สินติดตัวหรือบางส่วนก็ตกงานจึงถูกหลอกได้ง่าย
สำหรับสภาพความเป็นอยู่ที่บาห์เรน
ก็พบว่าเป็นอพาร์ตเม้นต์ซึ่งมีความเป็นอยู่อย่างแออัด
ห้องพักหนึ่งต้องอยู่ร่วมกันไม่ต่ำกว่า 10 คน
“นอกจากในประเทศบาห์เรน ก็ยังพบอีกว่า มีทั้งประเทศแอฟริกาใต้
มาเลเซีย ซาอุดิอาระเบีย ที่มีปัญหาลักษณะเดียวกันนี้ด้วย
ขณะนี้อยู่ระหว่างประสานหน่วยงานต่างๆ หลายฝ่าย ทั้งกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เพื่อเข้าให้การช่วยเหลือหญิงสาวที่ตกเป็นเหยื่อในขบวนการค้ามนุษย์ เช่นที่
แอฟริกาใต้ สามารถช่วยเหลือผู้เสียหายมาได้แล้ว 11 คน” นางปวีณา กล่าว