ที่มา ประชาไท
Thu, 2012-08-23 20:07
ปัญหาตามมามากมายเมื่อคนงานต้องเจ็บป่วยและประสบอุบัติเหตุจากการทำงาน การยอมรับของนายจ้าง หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงชะตากรรมที่ตกอยู่ที่ตัวคนงาน ครอบครัว ที่ต้องสูญเสีย หรือ กลายเป็นภาระของสังคม ปัญหาของสถานประกอบการที่ต้องเสียชื่อเสียง เสียเงินค่ารักษาเยียวยา ค่าทดแทน จนเกิดการฟ้องร้องเป็นคดีความมากมาย กลับมาถูกปฏิเสธทางกฎหมายด้วยการไม่ยอมรับการวินิจฉัยของแพทย์เชี่ยวชาญสาขา อาชีวเวชศาสตร์
กว่าจะได้สิทธิคนป่วยจากการทำงาน ต้องเข้าร่วมชุมนุมเรียกร้องสิทธิ ในนามสมัชชาคน นานถึง 99 วัน ถึงได้รับสิทธิจากกองทุนเงินทดแทน จากวันนั้นมาวันนี้คนงานก็ยังถูกปฏิเสธเช่นเดิม กองทุนวินิจฉัยกลับคำแพทย์เชี่ยวชาญมือหนึ่งของเมืองไทยจากป่วยในงาน ว่าไม่ป่วยในงาน
หลายภาคส่วนที่เห็นพ้องต้องกัน ทั้งผู้ถูกผลกระทบ นักวิชาการ เอ็นจีโอ ทั้งในและต่างประเทศ พูดคุยกันว่า จะทำอย่างไรถึงแก้ไขปัญหาความไม่ปลอดภัยในการทำงาน เพื่อลดปัญหาภาระทุกภาคส่วน และยังไม่เกิดการสูญเสีย จึงมองไปที่นโยบาย กฎหมาย ภาพรวมทั้งในและต่างประเทศ ได้มองเห็นปัญหาร่วมกันว่า ไทยยังขาดระบบกลไกที่สำคัญที่จะมารองรับผลกระทบจากการพัฒนาอุตสาหกรรม จึงมีความเห็นพร้องต้องกันว่า ควรจะมีองค์กรอิสระด้านความปลอดภัยเพื่อทำหน้าที่คุ้มครองป้องกัน ส่งเสริม และพัฒนา งานด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน อย่างมีส่วนร่วม
จากผลการตั้งวงคุยกันหาข้อสรุป ได้ตุ๊กตา รูปแบบการจัดตั้งสถาบันคุ้มครองสุขภาพความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมในสถาน ประกอบการ มาจากการริเริ่มของอาจารย์ธีรนาถ กาญจนอักษร ท่านโดดเด่นเรื่องผู้หญิงกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ รศ.ดร.วรวิทย์ เจริญเลิศ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์จุฬาลงการณ์ มหาวิทยาลัย พญ.อรพรรณ์ เมธาดิลกกุล คุณจะเด็จ เชาน์วิไล ตอนนั้นท่านอาจารย์ธีรนาถ กาญจนอักษร ท่านได้นำเอาร่าง พ.ร.บ.จัดตั้งสถาบันคุ้มครองสุขภาพความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมในสถานประกอบ การ เข้าสู่วงพิจารณาของผู้ที่ถูกผลกระทบจากการทำงาน แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ฯ ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงเพื่อปรับปรุง จนเป็นที่เห็นชอบร่วมกัน
ขยายวงไปสู่ NGO เช่น อาจารย์ศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา มูลนิธิฟรีดิชเอแบรท FES มูลนิอารมณ์ฯ มูลนิธิเพื่อนหญิง ผู้นำแรงงานในพื้นที่ต่างๆ สภาแรงงาน สมาพันธ์แรงงาน สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจฯ เช่น คุณสมศักดิ์ โกศัยสุข คุณอรุณี ศรีโต คุณวันเพ็ญ เปรมแก้ว (และท่านอื่นๆ ที่ไม่ได้กล่าว) เกิดการพูดคุยครั้งแรกที่สำนักงานกลางคริสเตียน โดยการประสานของคุณจะเด็จ เชาว์วิไล จนเกิดเป็นมติเห็นชอบร่วมกันทุกฝ่าย นำมาสู่ข้อเรียกร้องกับรัฐบาลในนามสมัชชาคนจน จนได้เปิดโต๊ะเจรจากับรัฐบาลสมัยนั้น
ผลการชุมนุมสมัชชาคนจน ทำให้ ครม.มีมติเห็นชอบ ในหลักการให้จัดตั้งสถาบันส่งเสริมความปลอดภัยฯ มติ.ครม. 3 เมษายน 2538 และ 26 มีนาคม 2540 ตั้งคณะทำงานยกร่าง พ.ร.บ.ร่วมกัน 6 เดือนแล้วเสร็จ ขณะเจรจายังต้องประชุมทำความเข้าใจ ถามความเห็นชอบจากวงประชุมกรรมการกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงาน วงประชุมที่ปรึกษาสมัชชาคนจน และภาคีเครือข่ายต่างๆ องค์กรพัฒนาเอกชนด้านแรงงาน แล้วนำผลไปประชุมกับร่วมกับคณะกรรมการยกร่าง ที่รับการแต่งตั้งจากนายฉัตรชัย เอียสกุล รมว.แรงงาน 32 คนโดยมีคุณเอกพร รักความสุข รมช.แรงงานเป็นประธาน ศ.นิคม จันทรวิฑูร รองประธาน รศ.ดร.วรวิทย์ เจริญเลิศ กรรมการเลขานุการ คุณทวีป กาญจนวงศ์ ผู้ช่วยเลขานุการ สมัชชาคนจน ร่วมกับกระทรวงแรงงาน กรมสวัสดิการ ประกันสังคม ผู้นำแรงงาน แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ฯ สภาองค์การลูกจ้าง นายจ้างฯสภาพัฒนาเศรษฐกิจสังคมแห่งชาติ รัฐบาล สำนักงบประมาณ สำนักกฎหมาย กฤษฎีกา กระทรวงพัฒนาสังคม สำนักนายกรัฐมนตรี ฯลฯ
มีปัญหาอุปสรรคเกิดขึ้น หลังจากที่ได้ร่างที่ยกเสร็จเป็นที่ยอมรับกันทั้งฝ่ายประชาชน และฝ่ายรัฐบาล ราชการ ต่างๆ แต่ร่างกฎหมายฉบับประชาชน ก็ถูกปฏิเสธบ่ายเบี่ยงโดยกระทรวงแรงงานไป ร่างกฎหมายฉบับกระทรวง แรงงานที่ไม่มีส่วนร่วมมา ยื่นเข้า ครม.
ทางออกของเครือข่ายแรงงาน คือ ยับยั้งไปที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรี และยับยั้งได้สำเร็จ เรียกร้องต่อรัฐบาล ระงับการพิจารณาร่างสถาบันฯ ฉบับไม่มีส่วนร่วมของผู้ใช้แรงงานและประชาชน
ต่อมาในที่ประชุมหารือกันมีมติใช้กระบวนการเข้าชื่อตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ปี 2540 มาตรา 170 ซึ่งต้องเข้าชื่อ 50,000 รายชื่อ มีขั้นตอนการนำแบบฟอร์ม การประชุมทุกเครือข่าย ทุกภาคี วางแผนในการเข้าชื่อและประชาสัมพันธ์ ร่วมกันลงขันการเข้าชื่อ เตรียมคนโดยระบุคนกับพื้นที่ในการเข้าชื่อสนับสนุน ที่สำคัญ คือ การทำความเข้าใจกับตัวแทนที่จะเข้าชื่อสามารถอธิบายสาระสำคัญของ ร่าง พ.ร.บ.สถาบันฯ ได้ โดยตั้งศูนย์กลางบัญชาการที่คลินิกอาชีวเวชศาสตร์และสิ่งแวดล้อม รพ.ราชวิถี ที่มี พ.ญ.อรพรรณ์ เมธาดิลกกุล เป็นหัวหน้าคลินิก มีผู้พิมพ์รายชื่อและแจ้งสถานการณ์เข้าชื่อให้เครือข่ายทราบ โดยมีการประชุมสรุปผลกันเป็นระยะ ใช้เวลาร่วม 1 ปี คือ ตั้งแต่ 15 มีนาคม 2541 - 10 พฤษภาคม 2542 สำเร็จได้ 55,000 รายชื่อ
เครือข่ายแรงงานมาจากพื้นที่ต่างๆ จำนวนคน 200 คน ร่วมยื่นรายชื่อกับประธานรัฐสภา นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา นับเป็นกฎหมายฉบับแรกๆ ของประชาชนที่ได้เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรอันทรงเกียรติในขณะนั้น แต่การยื่นกฎหมายครั้งนั้นต้องล้มเหลว เพราะกฎหมายลูกที่มาออกทีหลังระบุว่า ให้แนบหลักฐานเอกสาร คือ ใบสำเนาบัตร ปปช. และสำเนาทะเบียนบ้าน กฎหมายจึงตกไป
หาแนวร่วมโดยการเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย 2545 -2555 สภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยฯ ลงพื้นที่ทำงานขยายผลเผยแพร่ทำความเข้าใจเรื่องสุขภาพความปลอดภัยในการทำงาน โดยจัดอบรม สัมมนา ฝึกอบรมผู้นำแรงงาน ตามที่ร่างหลักสูตรร่วมกัน ให้เป็นวิทยากรเพื่อส่งเสริมและพัฒนาการจัดการด้านความปลอดภัยในการทำงาน สร้างเครือข่ายแกนนำด้านสุขภาพความปลอดภัยในการทำงานในหลายพื้นที่ เช่น กรุงเทพฯ นนทบุรี รังสิต ปทุมธานี อ่างทอง อยุธยา สุมทรปราการ อ้อมน้อยอ้อมใหญ่ นครปฐม สมุทรสาคร สระบุรี ชลบุรี ระยอง ทำงานรณรงค์ จนเกิดความตระหนักร่วมกันผลักดัน การจัดตั้งสถาบันส่งเสริมความปลอดภัยฯ ให้เป็นข้อเรียกร้องต้นๆ ของขบวนการแรงงาน ในวัน 8 มีนา (วันสตรีสากล) 1 พฤษภา (วันกรรมกร) 10 พฤษภา (วันความปลอดภัยแห่งชาติ) จนเป็นกระแสของสังคมไทยมาอย่างต่อเนื่องมากว่า 19 ปี
เจรจากับทุกรัฐบาล สภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยฯ ในฐานะแกนนำสมัชชาคนจน ก็ร่วมเสนอข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลในนามสมัชชาคนจน มาทุกยุคทุกสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง ปี 2544 วงประชุมกระทรวงแรงงานมีการนำร่างของฝ่ายราชการกระทรวงแรงงาน กับร่างของผู้ใช้แรงงาน มาบูรณาการร่วมจนเป็นฉบับเดียวกันใน ปี 2545 เป็นร่าง พ.ร.บ.สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน
ผู้นำเครือข่ายแรงงานด้านสุขภาพในพื้นที่ สภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยฯ เข้าทำความเข้าใจกับภาคการเมืองอย่างต่อเนื่องหนักหน่วง โดยช่วงนั้นเป็นการร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ได้ใช้สื่อต่างๆ เช่น การจัดรายการวิทยุเสียงกรรมกร ออกสื่อต่างๆ แจกแผ่นพับ จุลสารไปชี้แจงกับวุฒิสภา และยื่นหนังสือต่อประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
จนปี 2550 กฎหมายรัฐธรรมนูญบรรจุเรื่องของผู้ใช้แรงงานเป็นครั้งแรก โดยในมาตรา 44 บุคลย่อมมีสิทธิได้รับหลักประกันในการทำงานรวมทั้งหลักประกันในการดำรงชีพ ทั้งในระหว่างการทำงานและเมื่อพ้นสภาพการทำงาน ทั้งนี้ตามที่กฎหมายกำหนด นับว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของผู้ใช้แรงงานโดยตรงเป็นครั้งแรก ในเมืองไทย นอกจากนี้ยังได้ยื่นหนังสือต่อพรรคการเมืองต่างๆ จนเกิดเป็นนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ที่บรรจุให้มีการจัดตั้งสถาบันส่งเสริม ความปลอดภัยฯ
เข้าชื่อสนับสนุนตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ปี 2550 มาตรา 163 เป็นมติคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย มีมติ 5 สิงหาคม 2550 แต่มีปัญหาอุปสรรคยังต้องมีเอกสารแนบซึ่งคนงานส่วนใหญ่ไม่ได้พกสำเนาทะเบียน บ้าน จึงเข้าชื่อไม่สำเร็จ 10,000 รายชื่อ โดยใช้เวลาถึง 3 ปีจนถึง กรกฎาคม 2552 ได้เพียง 7,000 รายชื่อ
สมัชชาคนจนได้เจรจากับรัฐบาลชุดท่านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยการช่วยเหลือจากนักการเมืองทั้งสองพรรค คือ ท่าน ส.ส.รัชฎาภรณ์ แก้วสนิท พรรคประชาธิปัตย์และ ท่าน ส.ส.สถาพร มณีรัตน์ พรรคเพื่อไทย (ปัจจุบันถึงแก่กรรมแล้ว) เข้าชื่อ ส.ส. 20 ท่าน ยื่นกฎหมายภาคประชาชนประกบกับร่างรัฐบาล 1 ฉบับและ ส.ส.อื่นอีก 5 ฉบับ รวมเป็น 7 ฉบับ
อีกทั้งมีเครือข่ายคุณภาพชีวิตแรงงานเกิดขึ้นโดยการสนับสนุนของแผนพัฒนา คุณภาพชีวิตแรงงาน จนทำให้กฎหมายผู้ใช้แรงงานและประชาชนได้เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรสมัย นิติบัญญัติ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2552 และแต่งตั้งผู้แทนแรงงานและได้โควต้ารัฐบาล 1 คน ได้แก่ คุณสมบุญ สีคำดอกแค โควต้าจากพรรคเพื่อไทย 1 คน ได้แก่ รศ.ดร.วรวิทย์ เจริญเลิศ เข้าไปเป็นกรรมาธิการวิสามัญ ร่วมพิจารณา พ.ร.บ. ทั้ง 7 ฉบับ เข้าด้วยกัน ออกมาเป็น พ.ร.บ.ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ซึ่งบังคับใช้เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2554 โดยได้บรรจุให้มีการจัดตั้งสถาบันส่งเสริมความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวด ล้อมในการทำงาน พ.ศ...ในหมวด 7 มาตรา 52 ให้ออกเป็นพระราชกฤษฎีกา ในการจัดตั้งสถาบันฯ ถือว่าเป็นความสำเร็จขั้นตอนหนึ่ง
เริ่มยกร่าง พ.ร.ฎ.สถาบันฯ ประมาณมีนาคม 2554 จนถึงการบังคับใช้ พ.ร.บ.ความปลอดภัยฯ วันที่ 16 กรกฎาคม 2554 ตัวแทนเครือข่ายแรงงาน ได้เข้าไปมีส่วนร่วมยกร่างกับกระทรวงแรงงานคือ รศ.ดร.วรวิทย์ เจริญเลิศ นางสมบุญ สีคำดอกแค นายพรชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ ในขณะนั้นมีคณะทำงานวางแผนยุทธศาสตร์ เพื่อกำหนดทิศทางและเป้าหมายในการทำกิจกรรมขับเคลื่อนสถาบันส่งเสริมความ ปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน เพื่อทำความเข้าใจให้ความรู้ ลงพื้นที่จัดเวทีสาธารณะรับฟังความเห็น ทำข้อมูลเอกสารเผยแพร่ สื่อสารสังคม และจัดแถลงข่าว เพื่อให้ผู้ใช้แรงงาน และสังคม สาธารณะชน ได้ติดตามความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง
การยกร่าง พ.ร.ฎ.สถาบันฯ ส่อเค้าไปด้วยกันยาก ด้วยมีความคิดที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างอนุฝ่ายผู้ใช้แรงงานกับฝ่าย ราชการ ซึ่งคอยปฏิเสธข้อเสนอเครือข่ายแรงงาน และด้วยโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรม การลงมติย่อมเป็นวิธีการที่ยอมรับไม่ได้ ข้อเสนอการให้ตั้งศูนย์รับร้องเรียน และที่มาของคณะกรรมการมาให้มาจากการสรรหา ประธานไม่ควรมีตำแหน่งราชการกินเงินเดือน กรรมการโดยตำแหน่งจากให้มีแค่สองคน ส่วนตัวแทนลูกจ้าง นายจ้างให้มาจากการใช้ประชาธิปไตยทางตรงคือเลือกตั้ง 1 คน 1 เสียง จึงถูกปฏิเสธ และการขอเข้าพบรัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน ไม่มีผล รัฐมนตรีไม่ว่างพบ ต่อมารัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน ได้ลงนามเห็นชอบตามความเห็นของราชการ โดยไม่ฟังเสียงข้อเสนอของฝ่ายผู้ใช้แรงงานเลย
สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายจัดเวทีประชาพิจารณ์รับฟังความเห็นอย่าง รอบด้าน โดยมีทั้งตัวแทนภาครัฐเอกชน นักวิชาการ อย่าง เช่น รศ.ดร.วรวิทย์ เจริญเลิศ คุณพรชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ อ.ลัดดาวัลย์ ตันติวิทยาพิทักษ์ อ.สุนี ไชยรส คณะกรรมการปฎิรูป ผู้นำแรงงาน คุณชาลี ลอยสูง เครือข่ายแรงงาน และ สภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยฯ
ศาสตร์จารย์คณิต ณ นคร ประธานสำนักงานคณะกรรมการปฎิรูปกฎหมาย ส่งความเห็นไปยังรัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน และนายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หนังสือตอบจากรองเลขาธิการ นายกรัฐมนตรี ว่ารัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน ให้ความเห็นต่อร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันฯ ที่ยังปฏิเสธการตั้งศูนย์รับร้องเรียน โดยให้เหตุผลว่า จะเป็นการทำงานเกินหน้าที่ของสถาบันส่งเสริมความปลอดภัยฯ อีกทั้งไปทำงานซ้ำซ้อนกับกรมสวัสดิการ และการร้องเรียนผ่านสถาบันฯ แล้ว ส่งให้กรมสวัสดิการจะทำให้เกิดความล่าช้า ไม่เป็นผลดีต่อผู้ใช้แรงงาน
ประธานที่ไม่ควรเป็นข้าราชการกินเงินเดือน รัฐมนตรีให้ความเห็นว่าต้องการคนที่มีความรู้ความสามารถ จึงสมควรเปิดกว้างไว้ กรรมการที่มาโดยตำแหน่งรัฐมนตรีให้มา 3 คน กรมสวัสดิการ กรมควบคุมโรค เลขาธิการประกันสังคม เครือข่ายแรงงานขอให้มีแค่ 2 คน คำตอบยืนยันให้มาโดยตำแหน่ง 3 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ 2 คนเหมาะสมแล้ว และการได้มาของกรรมการและผู้ทรงคุณวุฒิให้เป็นไปตามรัฐมนตรีกำหนด แต่เครือข่ายแรงงานเสนอว่า ที่มาของคณะกรรมการมาจากการสรรหา ส่วนตัวแทนลูกจ้าง นายจ้างฝ่ายละ 2 คน ให้มาจากการใช้ประชาธิปไตยทางตรงคือเลือกตั้ง 1 คน 1 เสียง รัฐมนตรีตอบว่า เห็นสมควรให้เป็นการเลือกตั้งแบบสัดส่วนของลูกจ้างในสถานประกอบการ และลูกจ้างที่อยู่นอกสถานประกอบการ ลูกจ้าง 50 คนเลือก 1 คนมาเป็นผู้แทนไปเลือก โดยผู้อยู่ในสถานประกอบการให้ใช้ฐานข้อมูลจากประกันสังคม และใช้สถานประกอบการเป็นหน่วยเลือกตั้ง
19 ปีที่แล้วสินะ ปีหน้าจะเข้าปีที่ 20 จนปัจจุบัน การเรียกร้อง “สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย” ยังเหมือนการพายเรือในอ่าง ถูกหลอกล่อ บ่ายเบี่ยง ด้วยการคิดล้าหลัง หวงอำนาจ การไม่เปิดใจ ต่อการมีส่วนร่วม บริหารจัดการ สถาบันฯ ทำให้ปัจจุบัน การคลอดสถาบันฯ ส่อแววจะแท้ง ! หรือไม่ก็คลอดออกมาอาจไม่ครบสามสิบสอง อาจจะหูแหว่ง ตาบอด แขนกุด ก็เป็นได้
ความไม่จริงใจของภาครัฐ และฝ่ายการเมือง ที่ไม่ยอมตัดสินใจต่อการจัดตั้งองค์กรอิสระที่สำคัญกับชีวิตความปลอดภัยของ ผู้ใช้แรงงาน ที่ทำหน้าที่ส่งเสริมพัฒนาป้องกันและแก้ไขปัญหาสุขภาพความปลอดภัยในการทำ งาน...เข้าสู่วังวนเดิม .พี่น้องเพื่อนผู้ใช้แรงงาน..ยังต้องเผชิญกับอันตรายและความตาย อยู่อย่างเงียบๆ ทุกๆ นาที มันทำให้ผู้ผลักดันต้องกัดฟันเดินหน้า เดินหน้าต่อไป แล้วก็ฉงนใจยิ่งนักว่า ข้อเสนอที่ดีๆ อย่างนี้ การเรียกร้อง ที่เรียกร้องเป็นประโยชน์กับผู้ใช้แรงงานจำนวนมากอย่างนี้ ทำไม มันถึงยากเย็น ทำไมมันถึงต้องใช้เวลายาวนาน.....แล้ว.ครั้งนี้จะมี.ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก ไหม ??
เราจะฝากความหวังไว้ .ให้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาลชุดนี้ และ ส.ส.อันทรงเกียรติทั้งหลาย ???? ในระหว่างนี้พี่น้องผู้ใช้แรงงานทั้งหลาย โปรดระวังความปลอดภัยกันเองไปพลางๆ ก่อน ได้แต่ภาวนา ว่าอย่าได้เกิดโศกนาฎกรรมอะไรขึ้นมาระหว่างนี้อีกนะ...........
หมายเหตุ: ปัจจุบัน สภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยฯ ยังเรียกร้องในนามสมัชชาคนจน โดยวันที่ 20-24 พฤษภาคม 2555 ร่วมชุมนุมในนามสมัชชาคนจน โดยท่านนายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล มารับผิดชอบดูแลแก้ไขปัญหาสมัชชาคนจน และท่านนายกรัฐมนตรีได้ลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการติดตามแก้ไขปัญหา เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2555 ปัจจุบันรอนัดเจรจายังไม่คืบหน้า
10 พฤษภาคม 2556 จะครบรอบ 20 ปีของโศกนาฎกรรมเคเดอร์
////////////////////////////////////
หมายเหตุ: ชื่อบทความเดิม: 19 ปีบนเส้นทางการผลักดัน การจัดตั้งสถาบันส่งเสริมความปลอดภัยฯ ส่อแววแท้ง..หรือ...คลอดออกมาอย่างพิการ !!