ที่มา ประชาไท
ชำนาญ จันทร์เรืองยกประเด็นทางกฎหมายกรณีซื้อขายที่ดินยายเนื่อมที่ทำพินัยกรรมยกที่ดินให้วัดธรรมิการามวรวิหาร แล้วต่อมาแทนที่ที่ดินจะถูกโอนมาเป็นของวัดกลับกลายไปเป็นสนามกอล์ฟอัลไพน์และบ้านจัดสรร
เรื่องราวของที่ดินที่คุณยายเนื่อมยกเป็นมรดกให้วัดแต่ถูกเล่นแร่แปรธาตุกลายเป็นสนามกอล์ฟและบ้านจัดสรรได้กลับมาเป็นประเด็นขึ้นมาอีกหลังจากที่เงียบหายไปพักใหญ่ หลายๆคนอาจจะลืมไปแล้ว หลายๆคนอาจจะสงสัยในปัญหาข้อกฎหมายว่าจริงๆแล้วเป็นอย่างไร ใครจะต้องรับผิดชอบบ้าง ผมเห็นว่าในกรณีนี้มีประเด็นทางกฎหมายที่สนใจและน่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง จึงขอนำมาเสนอ ดังนี้
แรกเริ่มเดิมทีนั้น คุณยายเนื่อม ชำนาญชาติศักดา ผู้เป็นอุปัฏฐายิกาของเจ้าอาวาสวัดธรรมิการามวรวิหาร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้ทำพินัยกรรม ณ ที่ว่าการอำเภอดุสิต ต่อหน้าว่าที่ร้อยตรีเสมอใจ พุ่มพวงนายอำเภอดุสิตในขณะนั้น เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2512 ยกกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 20 ตำบลคลองซอยที่ที่ 5 ฝั่งตะวันออก (บึงตะเคียน) อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เนื้อที่ 730 ไร่ 1 งาน 51 ตารางวา ถวายเป็นกรรมสิทธิ์ให้แก่วัดธรรมมิการามวรวิหาร
ต่อมาคุณยายเนื่อมได้ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2514 จึงมีการตั้งผู้จัดการมรดก แต่การณ์ปรากฏว่าแทนที่ที่ดินดังกล่าวจะถูกจดทะเบียนโอนให้เป็นกรรมสิทธิ์ของวัด แต่พระราชเมธาภรณ์อดีตเจ้าอาวาส แสดงเจตจำนงจะขายที่ดินของวัด แต่ผู้จัดการมรดกเดิมที่มีจำนวน 3 คนไม่ยอมจึงได้มีการตั้งผู้จัดการมรดกใหม่คือมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัยฯ ต่อมาก็ได้โอนที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่มูลนิธิมหามกุฏฯ แล้วจดทะเบียนขายในวันที่ 31 สิงหาคม 2533 ให้แก่บริษัท อัลไพน์ เรียลเอสเตท กับ บริษัท อัลไพน์ กอล์ฟแอนด์สปอร์ตคลับ โดยมีนางอุไรวรรณ เทียนทอง และนายชูชีพ หาญสวัสดิ์เป็นผู้ถือหุ้น ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่มูลนิธิมหามงกุฎฯ รับโอนที่ดินมาเป็นของตน โดยขายในราคาไร่ละ 1.5 แสนบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 130 ล้านบาท
แต่เนื่องจากตามประมวลกฎหมายที่ดิน ผู้ใดจะถือครองที่ดินของวัดเกิน 50 ไร่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะต้องอนุมัติก่อน ซึ่งในการนี้ผู้ทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในสมัยนั้นคือ นายเสนาะ เทียนทอง ก็ได้อนุมัติที่ดินแปลงดังกล่าว และต่อมาก็ได้มีการขายต่อให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในปี 2543
จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้กรมการศาสนาได้ส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา วินิจฉัยในข้อกฎหมายในวันที่ 25 ธันวาคม 2543 และได้รับคำตอบตามหนังสือ ที่ นร 0601/0175 ลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2544 โดยสรุปว่าวัดฯได้กรรมสิทธิ์ทันทีที่นางเนื่อมถึงแก่กรรม ที่ดินดังกล่าวจึงเป็นที่ธรณีสงฆ์ ตามมาตรา33(2) (13) แห่ง พรบ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ซึ่งการโอนที่ธรณีสงฆ์ต้องทำโดยพระราชบัญญัติ ตามมาตรา 34(14)แห่ง พรบ.คณะสงฆ์ โดยมาตรา 84 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินที่ใช้อ้างในการโอนไม่ใช่บทบัญญัติยกเว้นการได้มาดังกล่าว
มูลนิธิฯ ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางเนื่อมจึงต้องโอนที่ดินมรดกตามพินัยกรรมที่ระบุไว้ให้ตกแก่วัดฯเท่านั้น จะโอนให้แกบุคคลอื่นนอกเหนือจากวัดฯไม่ได้ การโอนที่ดินมรดกให้แก่บุคคลอื่นนอกเหนือจากที่ระบุให้เป็นผู้รับมรดกตามพินัยกรรม จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อเจตนารมณ์ของเจ้ามรดก ซึ่งไม่ผูกพันทายาทและจะต้องรับผิดชอบต่อทายาท ตามมาตรา 1720(21) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
จากคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกาดังกล่าว กรมที่ดินจึงมีคำสั่งเพิกถอนรายการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมและโฉนดที่ดินดังกล่าวซึ่งถือได้ว่าเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา 5 แห่ง พรบ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 จากนั้นประชาชนเจ้าของบ้านจัดสรรในสนามกอล์ฟอัลไพน์จึงอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองดังกล่าวต่อผู้มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ซึ่งก็คือปลัดกระทรวงมหาดไทย
นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ รักษาการปลัดกระทรวงมหาดไทยในสมัยนั้นในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของกระทรวงมหาดไทยกลับมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของกรมที่ดิน(ที่ให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมและโฉนดที่ดิน) ก่อนเกษียณอายุราชการเพียงไม่กี่วัน จนมาถูกรื้อฟื้นเมื่อเดือนธันวาคม 2551 เมื่อมีการสั่งให้กรมที่ดินตรวจสอบใหม่
จากข้อเท็จจริงที่กล่าวมานั้นมีประเด็นทางกฎหมายที่น่าสนใจสมควรที่จะพิจารณาเป็นอย่างยิ่งในหลายๆประเด็น
ประเด็นแรก ปลัดกระทรวงมหาดไทยคนปัจจุบันจะสามารถทบทวนคำวินิจฉัยอุธรณ์หรือเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ถือว่าเป็นคำสั่งทางปกครองของนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ได้หรือไม่
คำตอบก็คือ ได้อย่างแน่นอน เพราะมาตรา 49 แห่ง พรบ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ บัญญัติให้เจ้าหน้าที่หรือผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่อาจเพิกถอนคำสั่งทางปกครองได้ตามหลักเกณฑ์ในมาตรา 51 มาตรา 52 และ มาตรา 53 ไม่ว่าจะพ้นขั้นตอนการกำหนดให้อุทธรณ์หรือโต้แย้งตามกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นมาแล้วหรือไม่
ประเด็นที่สอง หากมีการทบทวนโดยการกลับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของนายยงยุทธแล้วบริษัทฯหรือประชาชนจะใช้สิทธิเรียกร้องหรือเยียวยาความเสียหายได้หรือไม่ อย่างไร
คำตอบก็คือ ถ้าเป็นผู้ซื้อโดยสุจริต (มิใช่มาจากกลฉ้อฉล) ย่อมมีสิทธิรับการชดใช้จากการไล่เบี้ยเอากับผู้ขายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ประเด็นที่สาม หากปลัดกระทรวงมหาดไทยคนปัจจุบัน (ไม่ว่าจะชื่อวิชัยหรือมานิตก็ตาม) ไม่ยอมกลับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของนายยงยุทธแล้วจะทำอย่างไร
คำตอบก็คือ สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (ทำหน้าที่แทนกรมศาสนาเดิม) ต้องนำคดีขึ้นสู่ศาล ซึ่งศาลในที่นี้คือศาลยุติธรรมเพื่อชี้ขาดกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ซึ่งกรณีการวินิจฉัยกรรมสิทธิ์ในที่ดินนี้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลเคยวินิจฉัยไว้ในคำวินิจฉัยที่ 4/2545 ว่า คดีพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินอันเป็นสิทธิในทรัพย์สินของบุคคล ซึ่งจะต้องดำเนินการตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายที่ดินและประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ อยู่ในเขตอำนาจของศาลยุติธรรม ซึ่งผมเห็นว่ากรณีนี้ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของวัดอย่างแน่นอน
ประเด็นสุดท้าย ใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบบ้างในกรณีนี้
1) กระทรวงมหาดไทย ที่จะต้องรับผิดตาม พรบ.ว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ที่เจ้าหน้าที่ของตนคือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและปลัดกระทรวงมหาดไทยปฏิบัติหน้าที่แล้วทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่น โดยกระทรวงมหาดไทยก็ไปไล่เบี้ยในภายหลังเอากับบุคคลทั้งสองว่าจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงหรือไม่ หากไม่ได้จงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงความเสียหายที่กระทรวงมหาดไทยชดเชยไปก็เป็นตกเป็นพับไป แต่ถ้า บุคคลทั้งสองจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงกระทรวงมหาดไทยก็ใช้มาตรการบังคับทางปกครองบังคับ เช่น การยึด อายัด เอากับบุคคลทั้งสองมาชดใช้คืนต่อไป
2) มูลนิธิฯในฐานะผู้จัดการมรดกและผู้รับโอน ก็ต้องรับผิดทางอาญาหากมีการพิสูจน์ว่าเจตนาฉ้อโกงที่ดินของวัดจริง
3) นายเสนาะ เทียนทอง นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ ในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ต้องรับผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 หากพิสูจน์ฯ ได้ว่าจงใจกระทำการหรือละเว้นกระทำการโดยทุจริตจริง
ส่วนบุคคลอื่น เช่น อดีตเจ้าอาวาส หรือผู้ที่ตั้งบริษัทขึ้นมารองรับการโอนที่ดินดังกล่าวหรือซื้อขายที่ดินต่อๆมาทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นที่วัด กฎหมายอาจจะเอื้อมไปไม่ถึงเพราะเป็นการกระทำโดยอ้อมหรือห่างไกลจากพยานหลักฐาน แน่นอนว่าย่อมต้องตกนรกหมกไหม้อย่างแน่นอนเพราะโกงที่ธรณีสงฆ์ การตกนรกนี้ไม่ต้องรอให้ตายหรือร่างกายแตกดับล่วงพ้นโลกนี้ไปแล้วแต่อย่างใด หลายๆ คนที่เกี่ยวข้องในกรณีนี้ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าขณะนี้ตนเองตกนรกทั้งเป็นอยู่ขุมไหนแล้ว ใช่ไหมครับ
หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 23 กันยายน 2552