ที่มา บางกอกทูเดย์
โดยพฤตินัยแล้ว... การใช้กำลังทหารถืออาวุธออกมาปราบประชาชนเมื่อช่วง “สงกรานต์เลือด” ครั้งนั้น น่าจะได้ชื่อว่าเป็นการปฏิวัติยึดอำนาจของรัฐบาลประชาธิปัตย์อย่างถูกกฎหมายอาจจะต่างกันใน “นามธรรม” แต่มันไม่ต่างกันมากนักโดย “รูปธรรม” ของการปฏิวัติยึดอำนาจของทหาร คมช.เมื่อ 3 ปีผ่านมาที่มีภาพดอกไม้ติดปลายปืน และภาพสาวโคโยตี้ออกไปเต้นรำ ถ่ายรูปกับทหารม้ายานเกราะหน้าพระบรมรูปทรงม้านอกจากเป็นการยึดอำนาจที่ “เสียของ” อย่างยิ่งแล้ว... ยังเป็นการปฏิวัติเพื่อขจัด บุคคลคนเดียว ให้พ้นจากวงการเมืองโดยแท้แต่กลับกล้าทำลายประชาธิปไตยอันเป็นที่รักของประชาชนลงไปได้ทั้งระบบนับเป็นความชั่วร้าย... เสมือนไล่จับจิ้งหรีดตัวเดียวแต่ต้องเผาป่าวอดวายไปทั้งเทือกเขาเหมือนพวกเสียสติเมื่อใช้อำนาจรัฐริดรอนสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนได้ครั้งหนึ่ง รัฐบาลประชาธิปัตย์ดูจะเริ่มรู้จักว่า... อำนาจรัฐนั้นมีอิทธิฤทธิ์จึงคิดใช้ผ่านกฎหมายความมั่นคงบ่อยครั้งขึ้นด้วยข้ออ้างสารพัด โดยลืมสนิทถึงภาพลักษณ์ที่ทำลายบรรยากาศประชาธิปไตยอย่างร้ายกาจในสายตานานาชาติสถานการณ์การเมืองถูกวาดให้เลวร้ายมากขึ้นๆ จนเกิดข่าวลือหนาหูตามมาว่า จะมีการรัฐประหารอีกหรือไม่ ทั้งที่การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงก็ยังถูกต้องตามรัฐธรรมนูญโดยสงบเมื่อ รัฐบาลประชาธิปัตย์ ติดใจกับการใช้ทหารไล่ยิงประชาชนจนบรรลุเป้าหมายของการกุมอำนาจรัฐมาแล้ว...จึงย่ามใจและสนุกมือที่จะใช้การปฏิวัติด้วยข้ออ้างทางกฎหมายเช่นนี้ต่อไปอีกหากแต่ใน “แวดวงทหาร” กลับไม่คิดเช่นนั้น เนื่องจากการยึดอำนาจเมื่อ 3 ปีก่อน โดย “พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน” อดีตประธาน คมช.ได้เผยเคล็ดลับอย่างไม่ตั้งใจออกมาว่า...
ทหารผู้ก่อการปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 ได้พยายามปล่อยข่าวลือว่าจะมีการปฏิวัติให้ถี่ยิบและให้ออกคำสั่งเสมือนจะมีปฏิวัติจริง แต่กลับเป็นข่าวลวงตลอดมา จนทหารเองก็ไม่เชื่อว่าจะมีปฏิวัติในที่สุดข่าว ลับ ลวง พราง ก็เป็นข่าวจริงที่ยึดอำนาจสำเร็จ ด้วยเวลาและสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมและ “เป็นใจ”คราวนี้เป็นจังหวะที่ นายอภิสิทธิ์ เดินทางไปต่างประเทศอีกแล้ว ซึ่งคล้ายช่วง พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางไปต่างประเทศจนถูกปฏิวัติเช่นกันแต่ด้วยเวลา และสิ่งแวดล้อมที่ต่างกัน เกมการเมืองจึงถูกสร้างกลลวงด้วยการกล่าวหาว่า จะมี “มือที่ 3” เข้ามาสร้างความวุ่นวาย เพื่อข่มขู่ไม่ให้กลุ่มเสื้อแดงชุมนุมด้วยปริมาณที่มากเกินไปในขณะเดียวกัน “ผู้กำหนดเกม” ก็สร้างละครบทใหม่ให้พันธมิตรฯ เสื้อเหลืองยกขบวนไปทวงคืนปราสาทพระวิหารที่ศรีสะเกษ (สังเกตไหมว่าทำไมแกนนำกลุ่มเสื้อเหลืองไม่เดินหน้านำแม้แต่คนเดียว )โดยมีแค่ “นายวีระ สมความคิด” ที่ไปหาเรื่องทะเลาะกับชาวบ้านแถวนั้น เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์ถึงขั้น “ตีกันเอง” จนบาดเจ็บระนาว และมีทีท่าจะทำให้ภาพพจน์ม็อบกลายเป็น “แก๊งค์อันธพาล”แกนนำเสื้อเหลืองก็ออกมาปฏิเสธกันเป็นแถวว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง!แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่ทำให้ประชาชนรู้สึกได้ว่า...ม็อบเสื้อแดงเป็นม็อบที่เคลื่อนไหวชุมนุมทางการเมืองอย่างถูกต้องตามครรลองประชาธิปไตยในขณะที่กลุ่มเสื้อเหลืองกลายเป็น “ม็อบเถื่อน” อย่างที่เคยทำมาแล้วในอดีตหลายคดีที่ร้ายแรงทั้งนั้นควบคู่ไปกับอาการ “เมาดิบ” ของนายกรัฐมนตรีที่แสดงภาวะผู้นำ บกพร่อง ซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งหมดจึงเป็นแผนที่สร้างขึ้นโดยไม่ได้หวังจะปฏิวัติจริงแต่ข่าวลือแบบนี้จะถูกสร้างเป็นกลเม็ด “ปฏิวัติลวง ปฏิวัติ” อย่างเป็นจังหวะๆ เพื่อรอให้เกิดจังหวะ “สุกงอม”ก่อนที่แผนจริงจะปรากฏภายในไม่เกิน 3 เดือนนี้มากกว่า...เอ้าไม่เชื่อ คอยดูก็แล้วกัน? ■