มา บางกอกทูเดย์
วันใดที่ ประชาชนเกิดวิกฤติศรัทธาต่อเผอเผด็จการมากๆ พวกเขาก็จะรีบโยน “กระดูกติดมัน” อ้างว่าเพื่อปฏิรูป การเมือง ที่เรียกว่า “แก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย” เพื่อ “ลดความไม่พอใจ” และ “เบี่ยงเบน”
ท่ามกลางความวิกฤติอันหนักหน่วงของชาติ ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมไทย อันมีปฐมเหตุมาจากความต้องการ “ประชาธิปไตย” ตามกฎของทุนนิยมที่ครอบงำโลกคนไทยผู้รักชาติ ต่างคิดหามรรควิธีในการแก้ไขกันไปต่างๆ นานา แบบเดียวกับคนยุโรปก่อนการปฏิวัติเมื่อ 200 ปีก่อนแต่ด้วยอวิชาต่อกฎเกณฑ์ทุนนิยม ซึ่งเป็นปฐมเหตุแห่งปัญหา ทำให้ผู้ไม่เข้าถึง ซึ่งทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคทางการเมือง หลงเพียรไปด่าทอ “บุคคล” กันเป็นบ้าเป็นหลังทั้งๆ ที่แท้จริงแล้ว “ปัญหาหลักการ” ของขบวนเผด็จการต่างหาก ที่ทำให้ชาติบ้านเมืองต้องพังพินาศวันใดที่ ประชาชนเกิดวิกฤติศรัทธาต่อเผด็จการมากๆพวกเขาก็จะรีบโยน “กระดูกติดมัน” อ้างว่าเพื่อปฏิรูปการเมือง ที่เรียกว่า “แก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย” เพื่อ “ลดความไม่พอใจ” และ“เบี่ยงเบน”ความสนใจของประชาชนที่เดือดร้อน อันเกิดจากระบอบเผด็จการอุบาทว์ เพื่อไม่ให้ประชาชนมองลึกลงไปถึงสมุทัยที่แท้แห่งปัญหาชาติตลอดระยะเวลา 77 ปี ของการปกครองตามแนวทางระบอบเผด็จการตั้งแต่ พ.ศ.2475 จึงเห็นใครต่อใครต่างโยน ยาผีบอก แห่งการปฏิรูปการเมือง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาให้ประชาชนเป็นระยะๆเพื่อรักษา “การปกครองเผด็จการ” ที่สูบเลือดกินแรงประชาชนเอาไว้มาโดยตลอดด้วยเหตุนี้ พวกเผด็จการจึงโยน “การปฏิรูปทางการเมือง” ลงมาใส่ประชาชนที่ไม่รู้เท่าทันอย่างสอดคล้องกับสถานการณ์
เพื่อลดการกดดันของประชาชนที่มีต่อระบอบเผด็จการ ที่ใช้เป็นเครื่องมือ “ทำนาอยู่บนหลังคน”แท้จริงแล้ว “การปฏิรูปการเมือง” (Political Reform)นั้นไม่มีในโลก เพราะ “การเมือง” เป็น Reality เช่นเดียวกับนิพพาน ซึ่งไม่มีใครสามารถไปปฏิรูปหรือปฏิวัติ เพราะเป็นนามธรรมมนุษย์ทำได้ก็แค่เพียงเปลี่ยนแปลง “การปกครอง”คือ เปลี่ยนอำนาจอธิปไตยที่ถือครองจากคนส่วนน้อยให้เป็นอำนาจอธิปไตยของประชาชนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงทำGovernment Reform คือ เปลี่ยนจากเวียง วัง คลัง นาเป็น กระทรวง ทบวง กรม และสถาปนาความเป็นรัฐแห่งชาติให้แล้วเมื่อ 100 ปีก่อนเช่นเดียวกันคณะราษฎรก็ได้สร้าง “รูปการปกครอง”คือ “ระบบรัฐสภา” ให้เมื่อ พ.ศ.2475การตอ่ สกู้ นั เองระหวา่ ง “ผปู้ กครองดว้ ยกนั เองแบบทนุสามานย์ออกไป ทุนจัญไรกลับมา” โดยใช้สีเหลือง-แดงเป็นสัญลักษณ์ได้สร้างความวินาศให้แก่ชาติบ้านเมืองอย่างอเนกอนันต์ท่ามกลางวิกฤติศรัทธาของประชาชนต่อพวกเผด็จการประเทศไทยก้าวเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรมด้วยการกำเนิดขึ้นของโรงสีไฟของชาวอเมริกันในปี 2401 ในสมัยรัชกาลที่ 4 ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นก้าวเข้าสู่ “สถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูง”หลังจากที่ญี่ปุ่นถูกมหาอำนาจ อเมริกา อังกฤษเนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และรัสเซีย บีบให้เปิดประเทศ และใช้สนธิสัญญาที่ได้เปรียบเข้ารุกรานทางเศรษฐกิจสมัยใหม่อย่างรุนแรงทำให้ญี่ปุ่นปรับตัวไม่ทัน เกิดวิกฤติข้าวยากหมากแพงรัฐบาลศักดินาขาดเงินตราในการบริหาร จึงจำต้องเก็บภาษีมหาโหดเมื่อชาวนาทั่วประเทศเดือดร้อนจึง “ลุกขึ้นสู้” (เกิดวิกฤติที่สุดในโลกของญี่ปุ่น) พวกเขาบุกเข้าไปทุบทำลายบ้านพักและทรัพย์สินของพวกขุนนางเจ้าหน้าที่ของรัฐและนายทุนเงินกู้ดอกเบี้ยสูง มีการเผาโฉนดที่ดินทำกินและสัญญากู้ยืมมหาโหดของพวกโชกุนเจ้าของที่ดินและเรียกร้องให้มีการ“ปฏิรูปที่ดิน” และ “ยกเลิกหนี้สิน” เฉลี่ยทรัพย์ให้เกิดความเป็นธรรมเรียกร้ององค์พระจักรพรรดิให้ขับไล่“บากุฝุ” รัฐบาลศักดินาป่าเถื่อนออกไปเพียงปีเดียวเกิดการจลาจลขนาดใหญ่ถึง
43 ครั้ง การไม่ยอมรับการปกครอง ของประชาชนขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวางส่งผลทำให้ผู้ปกครองเกิดการต่อสู้กันเอง เพื่อแย่งอำนาจการปกครอง ระหว่าง “นายทุนผูกขาดใหม่” กับ “อำนาจชนชั้นสูงเก่า” ซึ่งเป็นพวกอนุรักษ์พ.ศ.2406 รัฐบาลศักดินาตระกูลโชกุนโตกูกาวา ชื่อ อิเอโมฉิพยายามแก้ไขวิกฤติด้วยการประกาศดำเนินการปกครองแบบใหม่ (ปฏิรูปการเมือง) ด้วยการทำรัฐประหารเพื่อปราบปรามฝ่ายก้าวหน้าและรักษาอำนาจการควบคุมองค์จักรพรรดิไว้ในกำมือตนแต่ก็ล้มเหลวเพราะเป็นฝ่ายล้าหลัง!พ.ศ.2410 การต่อสู้ของ “ชาวนา” ได้ประสานเข้ากับ“กรรมกร” ในเขต “ควานโต” ซึ่งเป็นฐานที่มั่นคงของรัฐบาลต่อมา “กรรมกรญี่ปุ่น” ในแคว้นอื่นๆ ได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรในการขับไล่รัฐบาล ทำให้โชกุนโตกูกาวาที่ครองอำนาจมานานถึง 200 ปี ต้องยอมถวายอำนาจคืนให้แก่องค์จักรพรรดิ เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2411พ.ศ.2411 รัฐบาลเมจิรวมศูนย์อำนาจเป็นรัฐเดียว และทรงทำการ “ปฏิวัติประชาธิปไตย” ด้วยการยกเลิก“ระบอบเผด็จการ”ปฏิรูปที่ดินให้ชาวนามีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน และทำการปฏิวัติอุตสาหกรรมขนาดใหญ่อย่างเต็มตัว หลังจากใช้“กองทัพแห่งชาติ” ปราบขบถในแคว้น “ชัตสุมา”ของตระกูลโตกูกาวาอย่างราบคาบในปี 2420การปฏิวัตินี้เรียกว่า “การปฏิวัติประชาธิปไตยของกรรมกร” เพราะเป็นช่วงที่อุตสาหกรรมขยายตัวไปอย่างกว้างขวางแล้วทั่วประเทศ ส่งผลทำให้การปฏิวัติของพระจักรพรรดิมีกำลังเข้มแข็งเอาประวัติศาสตร์การปฏิวัติประชาธิปไตยของญี่ปุ่นมาให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบ การปฏิวัติของญี่ปุ่น ก็ไม่ต่างอะไรกับการปฏิวัติในอังกฤษหรือประเทศใดๆ ที่ไม่ได้ถูกมหาอำนาจรุกราน (จนต้องทำการ “ปฏิวัติประชาชาติ”เพื่อให้ได้ปฏิวัติประชาธิปไตยไปด้วย)ไม่ได้บอกเป็นนัยยะอะไรว่า ประเทศไทยกำลังเดินตามประวัติศาสตร์ของประเทศอื่นๆ ทั่วโลก