WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Tuesday, September 29, 2009

WAR ?

ที่มา บางกอกทูเดย์

ถึงวันนี้ท่าทีของผู้นำกัมพูชา ชัดเจนว่าไม่มีการไว้หน้านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อีกต่อไปแล้ว เปิดขุมกำลังกองทัพกัมพูชา ที่ทำให้เชื่อมั่นว่าจะรับมือทหารไทยได้ประเทศไทยในฐานะผู้นำอาเซียน ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เชื่อมั่นนักหนาในฐานะผู้นำรัฐบาล ว่าประเทศเพื่อนบ้านให้การยอมรับ และพร้อมให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีนั้นในวันนี้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์คงต้องตอบคำถามกับคนไทยทั้งประเทศแล้วว่า ทำไมผู้นำประเทศกัมพูชา ถึงได้กล้าที่จะแสดงท่าทีแข็งกร้าวใส่ไทยได้ถึงขนาดนี้สมเด็จฯฮุน เซน ยืนยันท่าทีแข็งกร้าวและชัดเจนว่า จะไม่เจรจากับนายอภิสิทธิ์ เกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ตราบที่ฝ่ายไทยยังคงใช้แผนที่ซึ่งฝ่ายไทยเขียนขึ้นเองแถมซัดเปรี้ยงว่า ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา มาจากปัญหาการเมืองภายในของไทยเองเล่นเอารัฐบาลไทยอ้ำอึ้งไปตามๆ กัน โดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการ ไม่มีท่าทีจะทำอะไรเพื่อพิทักษ์รักษาศักดิ์ศรีของประเทศไทยเลยแต่ที่บรรดาผู้นำเหล่าทัพของไทยควรที่จะต้องให้ความสำคัญที่สุดก็คือ ประโยคที่สมเด็จฮุน เซน บอกว่า “หากพวกเขาเข้ามาอีก พวกเขาจะถูกยิง” “ทหาร ตำรวจ และกองกำลังติดอาวุธทั้งหมด จะต้องยึดปฏิบัติตามคำสั่งนี้ สำหรับผู้บุกรุกจะไม่มีการใช้โล่ จะมีแต่ลูกปืน”คำถามนี้ คงต้องถามว่า ไล่ลงมาตั้งแต่ พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก พลอากาศเอก อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ พลเรือเอก กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ รวมไปถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

และแม้แต่กระทั่งบรรดาเหล่านายทหารแห่ง คมช.ทั้งหลาย โดยเฉพาะ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินรู้สึกกันอย่างไรบ้างเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ ทางผู้นำกัมพูชา แสดงท่าทีแข็งกร้าวใส่ไทยก่อนหน้านี้ ก็เคยประกาศลั่นๆ มาแล้วว่า ให้ทหารไทยออกไปจากพื้นที่ภายใน 24 ชั่วโมงอีกครั้งหนึ่งก่อนหน้าครั้งนี้ ก็พูดชัดว่า ถ้าเครื่องบินของกองทัพไทยรุกล้ำน่านฟ้าเข้าไป ก็ช่วยไม่ได้หากจะถูกยิงเพราะทางกัมพูชาเชื่อมั่นใน จรวดแซม (SA7) ที่พร้อมจะยิงเข้าใส่เครื่องบินของไทยได้ตลอดนั่นเองโดนพูดแรงๆ ครั้งนี้เป็นรอบที่ 3 แล้ว แต่บรรดาผู้นำเหล่าทัพของไทยทำไมถึงเงียบกันนัก ไม่มีกระแอมกระไอเลยแม้สักแอะประวัติศาสตร์ชาติไทยกับกัมพูชานั้น ไม่ใช่ครั้งแรกที่กระทบกระทั่งกัน แต่มีมานานแล้ว เพียงแต่ในยามที่ประเทศไทยเข้มแข็ง ไม่มีปัญหาในประเทศปัญหาก็จะไม่เกิด แต่เมื่อใดที่การเมืองภายในประเทศของไทยอ่อนแอปัญหาก็จะเกิดขึ้นอยู่เนืองๆ ทั้งนายอภิสิทธิ์ และผู้นำเหล่าทัพจะต้องจดจำประวัติศาสตร์เหล่านี้ให้ได้เกียรติภูมิของประเทศชาติถือเป็นสิ่งสำคัญในเมื่อผู้นำรัฐบาล ผู้นำเหล่าทัพมั่นใจว่าเราคือพี่เอื้อยในพื้นที่สุวรรณภูมิ ในกลุ่มประเทศอาเซียน ก็สมควรที่จะต้องตั้งคำถามแล้วว่า ทำไมทางกัมพูชาถึงได้แสดงท่าทีไม่ยี่หระกับประเทศไทยเลยในเชิงการข่าว บางกอก ทูเดย์ ได้รับข้อมูลว่า การที่กองทัพกัมพูชา แสดงท่าทีเหมือนพร้อมที่จะรบกับไทยเมื่อไรก็ได้นั้น เป็นเพราะทางกองทัพกัมพูชา ได้มีการสอดแนมประเมินกำลังของกองทัพไทยมาก่อนแล้วและผลจากการประเมินทางกัมพูชา คิดว่าไม่มีอะไรที่เสียเปรียบ หากจำเป็นจะต้องรบกัน ทำให้คำพูดคำจาในระยะหลังๆ คล้ายกับเป็นการท้ารบอยู่ในทีตลอดเวลา

ทางกองทัพกัมพูชา ประเมินว่า ด้วยความที่เป็นประเทศที่ตกอยู่ในสภาวะสงครามมายาวนาน ทำให้ทหารเขมรมีประสบการณ์ในการรบสูง เชื่อมั่นถึงขนาดที่ว่า ทหารเขมร 1 คน สามารถรับมือทหารไทยได้ถึง 4 คน ดังนั้น หากจะล้มทหารเขมร 120,000 คน ที่มีอยู่ นั่นแปลว่าต้องใช้ทหารไทยมากถึง 480,000 คน หากคิดตามตรรกะของกัมพูชาในด้านของอาวุธปืน เขมรนั้นใช้อาวุธปืนอาก้า จากสายสัมพันธ์เดิมสมัยรัสเซีย และจีน ในขณะที่กองทัพไทยใช้ เอ็ม 16 ของทางสหรัฐฯ แต่จุดที่สร้างความเชื่อมั่นให้ทหารเขมรคือ การมี RPG เป็นอาวุธประจำกาย ทหารเขมรจะสะพายกันคนละ 3-4 ลูก และพร้อมใช้ตลอดเวลาในขณะที่ปืนไร้แรงสะท้อนถอยหลัง (ปรส.) หรือ Recoilless Rifle หรือ Recoilless Gun (RCL) เป็นอาวุธต่อสู้รถถัง ซึ่งของเขมรที่ใช้ประจำการอยู่คือขนาด 82 มิลลิเมตร ทำให้เขมรเชื่อว่าด้านกำลังอาวุธในส่วนนี้ไม่น่าที่จะเป็นรองไทยเช่นเดียวกับอาวุธหนัก ปืนใหญ่ 130 มม. ที่ทำในจีน ปืน 155 มม. อิราเอล ที่เป็นปืนใหญ่หนักวิถีราบ 20X M 71 Tempara และปืนใหญ่ 105 มม. ทางเขมรก็เชื่อมั่นว่าปัจจุบันมีเพียงพอที่จะใช้รับมือกองทัพไทยรวมทั้งเขมรมีเครื่องยิงจรวดคัตยูช่า (Katyusha) ที่มีส่วนอย่างมากในการทำลายแนวตั้งรับของฝ่ายตรงข้าม ที่ได้มาจากรัสเซีย ที่มีรัศมีทำการระดับ 20 กิโลเมตร ในแง่ฝูงบิน แม้เขมรอาจจะคิดว่าไม่มีอะไรได้เปรียบไปกว่าฝูงบินของไทย แต่ทางทหารเขมร เชื่อว่า เครื่องยิงจรวดแซม SA3 และ SA 7 ที่ทหารเขมรใช้อยู่น่าจะรับมือกับกองทัพอากาศของไทยได้

ส่วนรถถังรถหุ้มเกราะ ทหารเขมรนั้นมี รถถังเบา PT-76 จากรัสเซีย รถถังหลัก T-55 จากรัสเซีย รถถังหลัก Type-59 จากจีน ซึ่งผ่านการรบที่ เดียน เบียน ฟู มาแล้ว ทำให้ทหารเขมรเชื่อว่าน่าจะมีประสิทธิภาพที่ทรงอานุภาพได้ไม่น้อยในการรับมือกับกองทัพไทยแต่จุดที่ทหารเขมรคิดว่าได้เปรียบมากที่สุด ก็คือประเทศไทย นั้นยึดมั่นกับสัญญาออตตาวา ในเรื่องของการห้ามใช้กับดักระเบิด ไม่ว่าจะเป็น M14 M16 และเคโม ทำให้ปัจจุบันกองทัพไทย อยู่ในสถานะ ไม่มี ไม่ใช้ ไม่ผลิต แต่ในขณะที่ทหารเขมรนั้นมีกับดักระเบิดเพียบอีกประเด็นที่ผู้นำกัมพูชา คิดว่าน่าจะเป็นแรงกดดันประเทศไทยก็คือ ประเทศพันธมิตรของกัมพูชา ที่มีการซ้อมรบกันอยู่ประจำ คือ เวียดนาม จีน รัสเซีย และพม่า ทำให้หากมีสงครามเกิดขั้นจริง ประเทศไทยก็น่าที่จะโดดเดี่ยวไม่น้อยเพราะในขณะที่ไทยมีการฝึกร่วมรบ คอบบร้า โกลด์ กับทางสหรัฐฯ แต่ปรากฏว่าสหรัฐกลับมอบรถยีเอ็มซีให้กับทางเขมรนับ 100 คัน ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าคิดว่า ทำไมสหรัฐฯมหามิตรของไทย จึงทำเช่นนี้???ความเชื่อมั่นเหล่านี้ แม้ว่าจะเป็นความเชื่อมั่นในกำลังของตนเองเป็นหลัก โดยใช้การสอดแนมประเมินกำลังกองทัพไทยว่าบางอย่างน่าจะใกล้เคียง หรือบางอย่างน่าจะเสียเปรียบนั้น จริงๆแล้วกัมพูชาเองมั่นใจเพียงใด ว่าสิ่งที่รู้นั่นใช่ของจริงหรือไม่เพราะจริงๆแล้ว แม้จะใช้คำพูดที่ดุดันก้าวร้าวท้ารบอยู่ในที แต่ สมเด็จ ฮุน เซน ก็จะพูดในทำนองว่า จริงๆแล้วพร้อมรบหากไทยรุกรานกัมพูชาวันนี้จึงต้องถามบรรดาผู้นำเหล่าทัพทั้งหลายว่า ความเชื่อมั่นของกัมพูชาที่มีล้นปรี่นั้น กองทัพไทยมีมากน้อยเพียงใด เพราะในระยะหลังๆท่าทีของผู้นำเหล่าทัพนิ่งเฉยไปหมดในทุกกรณีก็ว่าได้ยกเว้นกับการรับมือกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ดูจะคึกคักเหลือเกินและเมื่อท่าทีของสมเด็จฮุน เซน ไม่ไว้หน้า นายอภิสิทธิ์ แล้วเช่นนี้รัฐบาลไทย นายอภิสิทธิ์และบรรดาเหล่าทัพ นายกษิตและกระทรวงต่างประเทศ จะทำอย่างไร เพื่อรักษาศักดิ์ศรี และอธิปไตยบนผืนแผ่นดินไทย

ลำดับเหตุการณ์คำขู่ไทย ของ สมเด็จฯฮุน เซน

ครั้งที่ 1 ตุลาคม 2551
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานผลการเจรจายุติข้อพิพาทเรื่องดินแดนเขาพระวิหารและพื้นที่ทับซ้อนอื่นๆ ระหว่าง นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รมว.การต่างประเทศของไทย กับผู้นำและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลกัมพูชา ที่กรุงพนมเปญว่า…ไม่มีผลคืบหน้าใดๆ และนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ผู้นำกัมพูชา ยังให้สัมภาษณ์ขู่ยื่นคำขาดให้รัฐบาลไทยสั่งถอนทหารไทยออกจากดินแดน กัมพูชาภายใน 24 ชั่วโมง หรือภายในวันอังคาร ไม่เช่นนั้นทหารกัมพูชาจะทำให้พื้นที่ดังกล่าวกลายเป็นเขต "เดดโซน" หรือเขตมรณะ เพราะกัมพูชาจะไม่ยอมให้ไทยยึดครองดินแดนของตน“ถ้าฝ่ายไทยยังไม่ถอนทหารในคืนนี้ ก็ต้องถอนทหารในวันพรุ่งนี้เป็นอย่างช้า เราพยายามอดทน แต่ข้าพเจ้าได้แจ้งต่อ รมว.ต่างประเทศของไทยในวันนี้ว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่แห่งความเป็นความตาย”

ครั้งที่ 2 วันที่ 30 มิถุนายน 2552
สมเด็จฮุน เซน กล่าวว่า ได้บอกไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไทย และรองนายกรัฐมนตรีไทยตรง ๆ ในช่วงหารือกันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ขอให้มีการระมัดระวังเรื่องเครื่องบินที่บินเลยเข้ามาในดินแดนของกัมพูชา และผมเองก็ไม่สามารถสั่งการพวกที่ลั่นไกได้ด้วย ดังนั้นขอให้ระมัดระวังดูแผนที่ให้ชัดเจนและบินอยู่ในดินแดนของตัวเองเถิด อย่าบินเลยเข้ามาในดินแดนของคนอื่น “ผมรู้สึกเป็นห่วงว่า กลัวพวงมาลัยมันจะเลยเข้ามาโดยที่มีผู้นำไทยนั่งอยู่ในนั้นด้วย เพราะเราไม่มีเครื่องบินที่บินไป - บินมาแต่อย่างใด มีแต่ไทยเท่านั้นที่บินไป - บินมา ร่อนขึ้น - ร่อนลง เกรงว่าพวกทหารข้างล่างจะทนกันไม่ไหว” สมเด็จฯฮุน เซน ระบุว่า ได้บอกกับฝ่ายไทยตรง ๆ ว่า ทหารกัมพูชาที่อยู่ชายแดนมีอยู่เท่าไรก็จะไม่ล่าถอยอย่างแน่นอน ตราบใดที่ทหารไทย 30 นาย ไม่ล่าถอยไป กระดูกของพวกเขาก็จะถูกฝังอยู่ที่นี่

ครั้งที่ 3 วันที่ 28 กันยายน 2552
สมเด็จฮุน เซน มีคำสั่งให้ทหารและตำรวจ หรือกองกำลังติดอาวุธทุกหน่วยที่ประจำการอยู่บริเวณพรมแดนเขาพระวิหาร ยิงผู้บุกรุกคนใดก็ตามที่รุกล้ำเข้าไปในเขตแดนที่เป็นกรณีพิพาทระหว่างไทย กับกัมพูชา “หากมีใครรุกล้ำเข้าไปอีก จะต้องถูกยิง” นาย ฮุน เซน กล่าวว่านี่เป็นคำสั่งให้ยิงผู้ใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นทหารหรือพลเรือนที่เข้าไปในกัมพูชาอย่างผิดกฎหมาย โดยจะเรียกว่าเป็น “ศัตรูผู้บุกรุก”